บทที่ 164 มันน่าทึ่งจริงๆ

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 164
มันน่าทึ่งจริงๆ

เหล่านักเรียนวิ่งเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ ตอนแรกพวกเธอก็ค่อยมองเฉยๆ แต่ไม่ช้านักเรียนสองสามคนก็เริ่มที่จะรวบรวมความกล้าและเดินเข้าไปหามู่หรงเสวี่ย “พี่สาว…เทพธิดา ฉันขอถ่ายรูปกับพี่ได้ไหมคะ?”

ถึงแม้มู่หรงเสวี่ยจะไม่ชอบถ่ายรูป แต่หลังจากเรื่องวิดีโอคราวที่แล้วที่เต็มไปด้วยใบหน้าที่จริงใจและคำพูดที่อบอุ่น เธอก็ปฏิเสธไม่ลงจึงพยักหน้าและพูดออกไปด้วยรอยยิ้ม “โอเค โอเค”

แล้วนักเรียนก็เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆและแม้แต่โม่อ้ายลี่ก็ถูกดึงไปอยู่ในวงถ่ายรูปด้วย มีเพียงผู้ชายรูปงานสองคนที่ไม่มีใครกล้าเข้าไปหา ตอนแรกมีเด็กสาวคนหรือสองคนที่อยากจะเข้ามาใกล้พวกเขาแต่ละคนแต่พวกเธอก็ต้องเจอกับสายตาที่เย็นชาก่อนที่จะได้เข้าไปใกล้

ดังนั้นที่ถนนของโรงเรียนจึงมีภาพเหตุการณ์แปลกๆ มู่หรงเสวี่ยที่ถูกล้อมรอบไปด้วยเหล่านักเรียนในระหว่างที่ฮวงฟูอี้และชูอี้เสิ่นยืนสูบบุหรี่ห่างออกไปสองเมตร พร้อมทำสีหน้าแข็งกร้าว

มู่หรงเสวี่ยหัวเราะเยอะมากจนเธอแทบจะอ้วกออกมาอยู่แล้ว มองไปที่เหล่านักเรียนที่ยังแห่แหนมาล้อมรอบตัวเธอ ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกแย่ขึ้นมา ที่อีกด้านโม่อ้ายลี่ก็ยังบิดเอวเธอต่อจนเดาว่าน่าจะช้ำไปหมดแล้ว แม่นี่มัวแต่ถ่ายรูปอยู่นั่นแหละซึ่งทำให้เธอไม่พอใจ มู่หรงเสวี่ยไม่สนใจสายตาอาฆาตของโม่อ้ายลี่และยังยิ้มต่อไปเรื่อยๆ คนเขาพูดกันว่าเพื่อนจะต้องเผชิญช่วงเวลาที่ยากลำบากด้วยกัน แล้วในเวลาแบบนี้จะปล่อยเธอไปได้ยังไงล่ะ? มู่หรงเสวี่ยจับมือที่พยายามดิ้นของโม่อ้ายลี่

จนกระทั่งระฆังเข้าเรียนดัง มู่หรงเสวี่ยและโม่อ้ายลี่ที่ยืนพิงกันเองรู้สึกทั้งเหนื่อยและเพลีย มู่หรงเสวี่ยค่อยๆนวดปากแล้วจึงพูดกับสองหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆว่า “พี่ชู เสี่ยวอี้ เราจะไปหาอาจารย์กัน พวกพี่อยากจะไปด้วยกันหรือว่าจะรอเราอยู่ข้างนอก?”
“ไปด้วยกัน…” เดิมทีพวกเขาอยากที่จะอยู่กับมู่หรง ถ้ามาแล้วต้องแยกกันมันจะน่าสนใจอะไรล่ะ?!!! อีกอย่างเสี่ยวเสวี่ยเองก็ดังมากๆ เขารู้สึกได้ถึงปัญหาอยู่ในใจ

“งั้นก็ไปกันเถอะ” มู่หรงเสวี่ยพูด
“เสี่ยวเสวี่ย เธอนี่เหลือเกินจริงๆนะ นักเรียนพวกนั้นต่างก็อยากใกล้เธอ แล้วทำไมต้องดึงฉันไปถ่ายรูปด้วยล่ะ?” เธอเกลียดการถ่ายรูป

มู่หรงเสวี่ยตบไปที่ไหล่ของโม่อ้ายลี่เบาๆ “ฮ่าฮ่าฮ่า ใครใช้ให้เธอมาเป็นเพื่อนฉันล่ะ โอเค ไม่ต้องห่วงนะ อีกอย่างเราแทบไม่เคยถ่ายรูปด้วยกันเลยนะใช่ไหม? ทำเราไม่ถ่ายรูปด้วยกันในครั้งนี้ไปเลยล่ะ?”

“ในรูปพวกนี้เนี่ยนะ?!! มีคนอยู่เป็นพันได้มั้ง!!! แล้วอีกอย่างคนพวกนี้ก็ใครไม่รู้ด้วย แถมเรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือเราไม่ได้รูปพวกนั้นเลยด้วยซ้ำ…” โม่อ้ายลี่พูดเสียงสูง

“นี่ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายใช่ไหมล่ะ?! นักเรียนพวกนี้ช่วยฉันไว้มากและฉันก็ยังอยากที่จะขอบคุณพวกเขาด้วย” มู่หรงเสวี่ยพูดกับเธอ

โม่อ้ายลี่เองก็จำเรื่องวิดีโอที่เธอได้เห็นเมื่อคืนก่อนได้แล้วเธอก็หุบปากเงียบ ครั้งนี้เพื่อนอย่างเธอไม่ได้ช่วยอะไรและเธอก็รู้สึกผิดอย่างมากด้วย บ้าจริง อีกหน่อยเธอจะต้องเข้าไปดูกระทู้ทุกวันและค่อยให้ความสนใจหน่อยแล้ว

“ช่างมันเถอะ ครั้งนี้ฉันจะถ่ายรูปกับเธอสวยๆเลย!”
มู่หรงเสวี่ยมองไปที่ท่าทางภูมิใจ รอยยิ้มมีความสุขและเสียงหัวเราะสดใสราวกับเสียงระฆังของโรงเรียนของเธอ

ทั้งสี่เดินไปที่ห้องทำงานของคุณฮวง
เมื่อเห็นมู่หรงเสวี่ย คุณฮวงลุกขึ้นและพูดว่า “มู่หรงกลับมาแล้วงั้นเหรอ?”

“อาจารย์หนูก็มาด้วยนะคะ ถึงแม้เกรดหนูจะไม่ดีเหมือนเสี่ยวเสวี่ย แต่อาจารย์ก็ไม่น่าจะลืมหนูได้นะคะ!” โม่อ้ายลี่บ่น

“ฮ่าฮ่า จะเป็นแบบนั้นได้ยังไงล่ะ?! โม่เองก็เป็นอัจฉริยะที่หายากเหมือนกันนะถึงได้ข้ามชั้นเหมือนมู่หรงได้ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนจะทำได้นะ” หลังจากที่มองไปที่โม่อ้ายลี่ด้วยสายตาชื่นชม คุณฮวงก็หันไปมองสองหนุ่ม สายตาของเขาแวบประกายประหลาดใจ ท่าทางของฮวงฟูอี้มันเกิดขอบเขตระหว่างชายและหญิงไปแล้ว ช่างเป็นความงามที่ยากจะอธิบายจริงๆ

“แล้วสองคนนี้ล่ะ?” คุณฮวงถามอย่างสงสัย
“สองคนนี้เป็นเพื่อนหนู่ค่ะ อาจารย์ไม่ต้องสนใจหรอกค่ะ ครั้งนี้หนูกลับมาเพื่อเยี่ยมโรงเรียนเลยแวะมาเยี่ยมอาจารย์ด้วย ขอบคุณที่ช่วยหนูครั้งที่แล้วนะคะ อีกอย่างหนูไม่ทราบว่าอาจารย์พอจะว่างไปทานอาหารกันไหมคะ แน่นอนว่าอาจารย์ท่านอื่นๆก็จะไปด้วย…”

คุณฮวงหัวเราะเบาๆพร้อมทั้งส่ายหัว “เดี๋ยวครูมีสอนต่อเลยคงไปทานด้วยไม่ได้ เอาไว้ครั้งหน้านะ แต่ไม่ต้องคิดมากหรอกแค่กลับมาเยี่ยมครูบ้างก็พอแล้ว…”

มู่หรงเสวี่ยรู้จักนิสัยของคุณฮวงดีและเขาไม่อยากให้นักเรียนต้องมาเลี้ยงอาหารเขาแน่ๆ ถึงแม้เขาจะรู้ว่ามู่หรงเสวี่ยมีเงินแต่ก็ดูเหมือนว่าเขาจะมีกฎเหล็กอยู่ในใจและเขาก็ค่อนข้างเป็นพวกหัวโบราณนิดหน่อยด้วย เขาไม่เคยรับของขวัญจากผู้ปกครองซึ่งเป็นเรื่องที่เขายึดมั่นอย่างมาก

หลังจากนั้นมู่หรงเสวี่ยและโม่อ้ายลี่ก็คุยกับคุณฮวงอีกมากมาย คุณฮวงยังถามถึงเรื่องการเรียนของมู่หรงเสวี่ยและโม่อ้ายลี่ในมหาลัยใหม่ด้วย คุณฮวงปฏิเสธที่จะรับโสมจาก มู่หรงเสวี่ย เธอไม่มีทางเลือกนอกจากเอามันกลับไปด้วย

สุดท้ายเพื่อที่จะพัฒนาสภาพของโรงเรียนมัธยม มู่หรงเสวี่ยจึงบริจาคเงินให้กับทางโรงเรียน คุณฮวงจึงปฏิเสธเรื่องนี้ไม่ได้เพราะมันเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์อย่างมากกับเหล่านักเรียน ในที่สุดมู่หรงเสวี่ยก็กลับออกมาจากโรงเรียนพร้อมกับคำขอบคุณอย่างมากจากอาจารย์ใหญ่และเหล่าอาจารย์ของโรงเรียน ชื่อสามพยางค์ของมู่หรงเสวี่ยถูกยกขึ้นไปสูงอีกระดับ

ทันทีที่เธอเดินออกมาจากประตูโรงเรียน ฮวงฟูอี้ก็รีบเข้าไปกอดมู่หรงเสวี่ย ก่อนที่ชูอี้เสิ่นและโม่อ้ายลี่จะทันได้ทำอะไร เขาก็รีบขึ้นรถเก๋งสุดหรูและขับออกไปอย่างเร็ว

ชูอี้เสิ่นเยือกเย็นแต่ก็ยังก้าวช้าไปจนห้ามไม่ทัน เขาชกไปที่ด้านข้างของกำแพง “ไอ้บ้าเอ๊ย เขาทำแบบนี้ได้ยังไง?”

โม่อ้ายลี่งงไปเลย โอเคไหมเนี่ย?!! นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย?! ผู้ชายราวเทพบุตรคนนั้นอยู่ดีๆก็หนีเข้ากลีบเมฆไป ทำให้หัวสมองช้าๆของเธองงไปหมดกับเรื่องที่เกิดขึ้นกะทันหันแบบนั้น ดังนั้นเธอจึงเบิกตากว้างและอ้าปากค้างมองรถซูเปอร์คาร์ที่ขับหายไปนานแล้วซึ่งทำให้เธอนิ่งอึ้งไปนานเป็นนาทีกว่าที่จะทำอะไรทัน เธอถามชูอี้เสิ่นที่กำลังยืนโกรธอยู่ข้างๆเธอ “พวกเขาทำอะไรกัน?! แล้วเสี่ยวเสวี่ยไม่ใช่แฟนของนายงั้นเหรอ? แฟนนายถูกพาตัวไปโน่นแล้วนะ”

โม่อ้ายลี่ไม่ได้เป็นกังวลเท่าไรเลยเพราะเสี่ยวเสวี่ยบอกว่าฮวงฟูอี้เป็นเพื่อน อีกอย่างมันเห็นได้ชัดว่าเหตุการณ์นี้เป็นเรื่องดราม่าระหว่างผู้ชายสองคนที่สู้กันเพื่อแย่งผู้หญิงหนึ่งคน ร้อนแรงจริงๆเลยนะเสี่ยวเสวี่ยของเธอเนี่ย!

สายตาโกรธเกรี้ยวของชูอี้เสิ่นแวบประกายความเจ็บปวดอย่างโดดเดี่ยว เขาจะมีคุณสมบัติอะไรที่จะไปแย่งเสี่ยวเสวี่ย? เขากับเสี่ยวเสวี่ยไม่ใช่แฟนกันจริงๆแต่ทั้งหมดนี้คือการหลอกตัวเองของเขาทั้งหมด

โม่อ้ายลี่ตัวแข็ง ไม่คิดว่าผู้ชายหยิ่งคนนี้จะมีท่าทางแบบนี้ “ฉันล้อเล่น นายไม่จำเป็นต้องทำหน้าแบบนั้นก็ได้ ไม่ต้องห่วงหรอก นายกับเสี่ยวเสวี่ยเป็นแฟนกันงั้นเสี่ยวเสวี่ยไม่มีทางเปลี่ยนใจหรอก…” ถึงแม้ความประทับใจแรกของเธอที่มีต่อเขามันจะแย่ แต่ต่อมาเขาก็อธิบายแล้วว่าเป็นเพราะเขารีบไปหาเสี่ยวเสวี่ย ในเมื่อมันเป็นเพราะเสี่ยวเสวี่ยงั้นเธอก็พร้อมที่จะยกโทษให้เขา

ชูอี้เสิ่นไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลยเพราะคำพูดของโม่อ้ายลี่ อันที่จริงเขายิ่งรู้สึกอายมากขึ้นไปอีก คำปฏิเสธของมู่หรงเสวี่ยเมื่อคืนยังดังก้องอยู่ในหูของเขาอยู่เลย “เราไม่ได้คบกัน…แค่แกล้งทำเป็นแฟนกันเท่านั้น…” หลังจากที่เขาพูดออกไปก็ดูราวกับว่าเขาจะทนไม่ได้อยู่หน่อยๆและร่างกายของเขาก็รู้สึกหมดแรงขึ้นมา เขายืนพิงไปกับกำแพงและสีหน้าก็เก็บซ่อนความหดหู่และโดดเดี่ยวไว้ไม่อยู่

โม่อ้ายลี่พูดไม่ออกไปชั่วขณะ ชูอี้เสิ่นที่อยู่ตรงหน้าเธอแตกต่างจากชายที่เธอได้เจอในครั้งแรกอย่างมาก เขาเหมือนกับสัตว์ร้ายที่บาดเจ็บ เธออยากกอดเขาไว้ในอ้อมแขนและลืมเรื่องทุกอย่างไปซะ ถึงแม้เธอจะไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเสี่ยวเสวี่ยว่าเป็นยังไง แต่เธอก็เห็นว่าเขาชอบเสี่ยวเสวี่ยอย่างมาก เธอกลัวว่าเขาจะไม่จบง่ายๆแบบนั้น

ในตอนแรกเธอรู้สึกแปลกๆ ที่ได้รู้เรื่องความรักของเสี่ยวเสวี่ย ในตอนนั้นเธอรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก เธอมีความสัมพันธ์ใหม่ได้เร็วแบบนี้ได้ยังไง? ถ้าเธอสามารถมีรักครั้งใหม่ได้อีกครั้งและลืมเรื่องบาดแผลที่ชางกวนโม่สร้างไว้ เธอก็คงจะมีความสุขอย่างมาก แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเธอเพียงแค่แกล้งทำเพื่อใช้รับมือกับปัญหาเรื่องกระทู้ที่เธอได้เห็นเมื่อวาน

ชูอี้เสิ่นที่อยู่ข้างๆหลับตาลง ยืนพิงกำแพงด้วยสีหน้าซีดเผือดเล็กน้อย โม่อ้ายลี่เกิดความรู้สึกสงสารอยู่ชั่วขณะ ถึงแม้เธอจะไม่เข้าใจรสชาติของความรักแต่เธอก็รู้ว่ามันคงจะต้องเจ็บปวดมากที่ต้องรักคนที่ไม่มีใจให้ เธอเดินเข้าไปและดึงมือเขา

“ไปเถอะ ฉันจะเลี้ยงของอร่อยนายเอง มีร้านหนึ่งที่มีขนมอร่อยมากๆ…” เธอคิดว่าเรื่องกินจะสามารถทำให้ผู้คนรู้สึกดีขึ้นมาได้ทันที
ดูเหมือนว่าจะมีเพียงเธอที่คิดแบบนั้น
“เธอจะทำอะไร?! ปล่อยนะ!! ใครจะอยากไปกิน…” ความรู้สึกเศร้าของชูอี้เสิ่นยังไม่หายไปง่ายๆ แต่กลับถูกโม่อ้ายลี่ลากเพื่อไปกินขนม

ใกล้ๆโรงเรียนมัธยมมีถนนสายของกินอยู่ไม่ห่าง หลังจากเลิกเรียนเหล่านักเรียนมักจะไปหาของกินกันที่นั่น มันเหมือนกับสวรรค์ของโม่อ้ายลี่เลย ก่อนที่เธอจะจากจังหวัด A เพื่อไปเรียนที่เมืองหลวง เธอมาที่ถนนสายของกินนี้เพื่อมากินอย่างเมามันและรู้สึกไม่อยากที่จะไปที่เมืองหลวงเลย

“การรักการกินไม่ใช่เรื่องที่น่าอาย ไม่ต้องกังวลหรอก ฉันจะไปกินกับนายเอง…” โม่อ้ายลี่ไม่สนใจสายตาที่เย็นชาและพูดออกไปพร้อมรอยยิ้ม ดูเหมือนว่าในวินาทีนี้อยู่ดีๆเธอก็เข้าใจความรู้สึกเศร้าของเขาขึ้นมาเลย เดาว่าผู้ชายที่ชื่อฮวงฟูอี้คงไม่ปล่อยให้เสี่ยวเสวี่ยกลับมารับพวกเขาแน่ๆ เธอพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อที่จะช่วยเสี่ยวเสวี่ยในการปลอบใจเขา

ใครรักการกินกัน?!! แต่ชูอี้เสิ่นไม่ได้ปฏิเสธอีกครั้ง เขาไม่ได้อยากที่จะกิน เขาเพียงแค่อยากที่จะหาอะไรทำเพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องกลับมาคิดเรื่องนี้อีก

ต้องขอบคุณโม่อ้ายลี่ยอดนักชิม พวกเขาเกือบที่จะเดินเข้าทุกร้านจนเจ้าของร้านต่างๆเริ่มที่จะมองสองคนนี้ที่กินกันแทบจะทุกอย่างด้วยสายตาประหลาดใจ สุดท้ายพวกเขาก็หยุด

“ฉันยังอยากที่จะกินอีกนะแต่กินไม่ไหวแล้ว…” โม่อ้ายลี่แตะไปที่ท้องกลมๆของเธอโดยไม่สนใจภาพลักษณ์เลย เธอบ่นเสียดายอาหารที่ยังเหลืออยู่แต่ก็กินต่อไปไม่ไหวแล้ว

ในหัวของชูอี้เสิ่นรู้สึกงงไปหมด “ฉันไม่คิดเลยนะว่าเธอจะกินได้ขนาดนี้…” เธอเหมือนสิ่งมีชีวิตที่สนใจแต่เรื่องกินกับนอน

“คุณปู่ฉันพูดเสมอว่า “มันโชคดีมากที่หลานกินได้มากแบบนี้!”” พร้อมสายตาภาคภูมิใจ

ชูอี้เสิ่นไม่รู้จะอธิบายยังแต่ตอนนี้รู้สึกว่าอารมณ์หดหู่ของเขาดูเหมือนตอนนี้จะดีขึ้นมากแล้วและรู้สึกมีชีวิตชีวาเพิ่มขึ้นอีกด้วย ฮวงฟูอี้ในใจมู่หรงเสวี่ยก็เป็นเพียงน้องชายซึ่งเขาเข้าใจเป็นอย่างดี แล้วทำไมเขาจะต้องมากังวลอะไรมากมายขนาดนี้ ถึงแม้มู่หรงเสวี่ยจะไม่ได้รักเขาแต่อย่างน้อยในหัวใจมู่หรงเสวี่ยก็ยังมีที่สำหรับเขาอยู่

“ไปกันเถอะ ฉันจะไปส่งเธอเอง…” ชูอี้เสิ่นยกกุญแจรถในมือขึ้นมาและพูดออกมา

“ดี!” โม่อ้ายลี่เผยรอยยิ้ม เธอบอกแล้วว่าการกินสามารถทำให้อารมณ์ดีขึ้นได้!!! ดูสิ! ว่าผลมันออกมาดีแค่ไหน อย่างน้อยเขาก็ดูมีพลังมากขึ้น ไม่ทำหน้าเหมือนกับท้องฟ้าจะทล่มอีกแล้ว

ที่อีกด้านมู่หรงเสวี่ยถูกดึงเข้าไปในรถและสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนในทันที “เสี่ยวอี้ นายจะทำอะไร?”

คนขับรถคือหลงเย่ ในตอนนี้เขาขับรถอย่างตั้งใจและทำเป็นไม่ได้ยินฮวงฟูอี้และมู่หรงเสวี่ยที่อยู่เบื้องหลังเขา

ฮวงฟูอี้จ้องไปที่มู่หรงเสวี่ยเล็กน้อย “จะพาไปที่ที่ฉันสามารถจะคุยกับเธอตามลำพังได้และเรียกฉันว่าอี้…”
“นายหมายความว่าไง?” มู่หรงเสวี่ยไม่เข้าใจ เมื่อกี้พวกเธอยังคุยกันอยู่เลยแล้วอยู่ดีๆเธอก็ถูกพาตัวมา ทิ้งพี่ชูและ โม่อ้ายลี่ให้อยู่กันสองคน

“ก็หมายความตามที่พูดเลยว่าฉันอยากที่จะคุยกับเธอตามลำพังและไม่อยากที่จะให้คนอื่นเข้ามาวุ่นวาย…” ฮวงฟูอี้วางมือลงไปที่หน้าอกและหลับตาลงเล็กน้อย เมื่อคืนเขาไม่ได้นอนเลยทั้งคืน

“พวกเราเป็นเพื่อนกัน แล้วจะบอกว่าเป็นคนอื่นได้ยังไงแล้วยังทิ้งมาแบบนี้อีก…” มันหยาบคาย

ก่อนที่เธอจะพูดจบเธอก็ถูกริมฝีปากของฮวงฟูอี้หยุดไว้ เพียงไม่กี่วินาทีต่อมา ฮวงฟูอี้ก็ปล่อยเธอแล้วก็พูดออกมาด้วยเสียงต่ำ “อย่าส่งเสียง ขอฉันหลับสักพัก…” แล้วเขาก็หลับตาเพื่อพักผ่อนจริงๆ

มู่หรงเสวี่ยยังคงเบิกตากว้างอยู่ ต้องใช้เวลานานกว่าที่เธอจะได้สติ มือเธอลูบไปที่ริมฝีปาก สีหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อและหัวใจเองก็เต้นไม่เป็นจังหวะ
เธอมองไปที่ฮวงฟูอี้ ชายที่ผมดำเข้มตกลงมาที่คิ้ว ช่างเป็นคิ้วที่คมได้รูปจริงๆ โครงหน้าและผิวที่เรียบเนียนละเอียด เขาดูสวยเหลือเกินแม้จะในยามหลับแบบนี้ เมื่อไม่มีท่าทางที่เย็นชาเขาก็คือเสี่ยวอี้ที่คอยเดินตามเธอต้อยๆ…แต่ก็เพียงแค่ว่า…เสี่ยวอี้จะไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว