ส่วนที่ 5 ตอนที่ 28-1 ชดใช้คนแลบุปผา

จารใจรัก [ส่วนที่ 5]

บุตรคนโตทายาทตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง เพื่อรับผิดชอบแทนน้องชายเจ้าสำราญ ถึงกับเต็มใจมอบร่างกายเพื่อรับการลงโทษแทน 

 

           ผู้นำตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางมิได้เห็นต่างในเรื่องนี้และไม่ปกป้อง ทำเอาคนอื่นพูดไม่ออก 

 

           องค์หญิงใหญ่กำลังจะแย้งขึ้น จินเยี่ยนรั้งแขนเสื้อนางไว้ นางผินหน้ามอง จินเยี่ยนจึงส่ายหน้าปราม 

 

           องค์หญิงใหญ่ทำได้เพียงหันไปมองเสนาบดีฝ่ายขวา “เสนาบดีฝ่ายขวา เจ้าคิดว่าอย่างไร” 

 

           เสนาบดีฝ่ายขวาไม่คาดคิดว่าเจิ้งเซี่ยวฉุนจะออกหน้ารับผิดแทนน้องชาย เขาเองก็พูดไม่ออกชั่วขณะ หากให้อภัยเจิ้งเซี่ยวหยาง บุตรีของตนถูกทำร้ายจนมีสภาพเช่นนั้น ใบหน้าเสียโฉม เป็นเรื่องใหญ่ตลอดชีพของสตรี เขาจะให้อภัยได้อย่างไรกัน มิฉะนั้นหากเผยแพร่ออกไป จวนเสนาบดีฝ่ายขวามีความเมตตาจนถึงขั้นนี้เชียวหรือ ต่อไปทุกคนล้วนสามารถเหยียบคอจวนเสนาบดีฝ่ายขวาแล้วทำตัวป่าเถื่อนใส่ได้ แล้วหากไม่ให้อภัยเล่า แต่เจิ้งเซี่ยวฉุนเป็นคนรับโทษแทน เขาเป็นทายาทตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง นี่จะลงโทษได้อย่างไร 

 

           โดยเฉพาะเจิ้งเซี่ยวฉุนเพิ่งได้รับสมรสพระราชทานกับท่านหญิงจินเยี่ยนแห่งจวนองค์หญิงใหญ่ มีความสัมพันธ์เกี่ยวดองกัน อีกอย่างตอนนี้ฝ่าบาทก็ทรงโปรดปรานตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางนัก 

 

           “นายท่านเสนาบดี ท่านอย่าได้ใจอ่อนเชียว ท่านก็เห็นแล้วว่าปี้เอ๋อร์ตกอยู่ในสภาพนั้น ต่อไปยังจะหาสามีที่ดีออกเรือนด้วยได้อย่างไร ชีวิตนี้อาจจบสิ้นลงแล้ว” ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาพูดพลางก็สะอื้นไห้ “ไม่ลงโทษ ข้ามิอาจคลายความแค้นเคืองในใจได้” 

 

           เสนาบดีฝ่ายขวามองฮูหยินแวบหนึ่ง ถอนหายใจออกมา กล่าวกับฉินอวี้ว่า “เรื่องนี้ขอให้ฝ่าบาทเป็นผู้ตัดสินพระทัยแล้วกันพ่ะย่ะค่ะ” 

 

           ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาได้ยินแล้วก็กล่าวกับฉินอวี้ทันที “ฝ่าบาท ทรงอย่าได้อภัยให้เขานะเพคะ มิฉะนั้นหม่อมฉันจะขอตายตรงนี้” 

 

           “เจ้าก่อเรื่องอะไรอีก” เสนาบดีฝ่ายขวาขุ่นเคือง 

 

           ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาร้องไห้ขึ้นมา “ท่านเสนาบดี กี่ปีมาแล้ว ท่านเคยเห็นข้าเคยก่อเรื่องตอนไหนกัน หากมิใช่ว่าบุตรีข้าต้องประสบเคราะห์อย่างไร้เหตุผล ข้าผู้เป็นแม่เห็นกับตาตัวเอง เจ็บปวดเสียยิ่งกว่าถูกควักหัวใจออกมา ข้าจะทนได้หรือ เห็นชัดว่าตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางสั่งสอนบุตรอย่างผิดวิธี ปล่อยตัวก่อหายนะออกมาข้างนอก เจิ้งเซี่ยวหยางทำร้ายคนอื่นอย่างกำแหงอวดดีแบบนี้ ไม่แน่ว่าทำร้ายคนไปเท่าไรแล้ว” 

 

           “ฝ่าบาท ที่ผ่านมาฮูหยินไม่เคยเสียสติแบบนี้ เสียมารยาทแล้ว ทรงเห็นแก่ที่บุตรีถูกทำร้าย อย่าได้คิดเล็กคิดน้อยกับนางเลยนะพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีฝ่ายขวาประสานมือกล่าวกับฉินอวี้ 

 

           ฉินอวี้พยักหน้า “ฮูหยินเจ็บปวดเพราะบุตรี เราย่อมเข้าใจและให้อภัยได้ เรามิได้บอกว่าจะให้อภัยเจิ้งเซี่ยวหยาง ฮูหยินสบายใจเถอะ” เอ่ยจบ เขาก็ถามเสนาบดีฝ่ายขวา “ตอนนี้เจิ้งเซี่ยวหยางถูกมัดไว้ที่ใด” 

 

           “ทูลฝ่าบาท ฮูหยินให้คนขังเขาเอาไว้ กระหม่อมยังมิพบเขาเลย” เสนาบดีฝ่ายขวาหันไปมองฮูหยิน 

 

           ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาตอบด้วยโทสะ “อยู่ในห้องเก็บฟืน ข้าให้คนคุมตัวเขาไว้” 

 

           “นำตัวเขามาให้เราดูหน่อย มิอาจลงโทษเขาโดยไม่เห็นหน้าก่อนได้” ฉินอวี้เอ่ย  

 

           เสนาบดีฝ่ายขวาผงกศีรษะ สั่งพ่อบ้านว่า “ไปนำตัวเจิ้งเซี่ยวหยางมาให้ฝ่าบาท” 

 

           “ขอรับ” พ่อบ้านออกไปทันที 

 

           ไม่นาน บุรุษร่างใหญ่กำยำสองสามคนก็นำตัวเจิ้งเซี่ยวหยางที่ถูกมัดไว้มาที่ห้องรับแขก 

 

           ฉินอวี้เหลือบตามอง พบว่าเจิ้งเซี่ยวหยางมีผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าขาดวิ่น เนื้อตัวมีรอยแส้ฟาดหลายรอย ใบหน้าดำครึ่งขาวครึ่ง แทบมองใบหน้าที่แท้จริงไม่ออก 

 

           เซี่ยฟางหวาพินิจมองเจิ้งเซี่ยวหยางที่เข้ามาอย่างถี่ถ้วน พบว่าแม้ยามนี้เขาเนื้อตัวมอมแมม แต่ดวงตาคู่นั้นกลับเป็นประกายมีชีวิตชีวา ยามถูกคนผลักเข้ามาในห้องรับแขก จังหวะก้าวเท้าโซเซเล็กน้อย แต่กลับกวาดตามองทุกคนในห้องรับแขกอย่างรวดเร็วรอบหนึ่ง ยามที่สายตาตกลงบนกายนาง ราวกับชะงักนิ่งไป ก่อนเบือนหน้าหนี 

 

           “น้องพี่?” เจิ้งเซี่ยวฉุนแทบจำเจิ้งเซี่ยวหยางมิได้ จึงหยั่งเชิงลองเรียก 

 

           เจิ้งเซี่ยวหยางหันไปมองทันควัน เห็นเจิ้งเซี่ยวฉุนคุกเข่าบนพื้นก็ส่งเสียงดังทันที “พี่ใหญ่ ท่านลงไปคุกเข่าทำไม” 

 

           “นี่คือฝ่าบาท ยังไม่ถวายบังคมฝ่าบาทอีก” เจิ้งเซี่ยวฉุนตอบทันที  

 

           “เซี่ยวหยาง รีบถวายบังคมฝ่าบาท” เจิ้งเฉิงเองก็กล่าวขึ้นเช่นกัน 

 

           “ฝ่าบาท” เจิ้งเซี่ยวหยางมองไปยังฉินอวี้ตามสายตาของทั้งสอง วันนี้ฉินอวี้มิได้สวมฉลองพระองค์ฮ่องเต้สีเหลืองทองอร่าม แต่สวมเพียงเสื้อคลุมธรรมดาที่เซี่ยฟางหวาทำให้ฉินเจิง มีมาดสูงส่ง สง่างามสุภาพ ดั่งคุณชายสูงศักดิ์ผู้หนึ่ง เขาย่นหัวคิ้ว “นี่คือฝ่าบาทหรือ” 

 

           เสี่ยวเฉวียนจื่อลุกขึ้นทันที พูดเสียงดังว่า “ฝ่าบาททรงอยู่ตรงนี้แล้ว ยังไม่หมอบกราบอีก ห้ามทำตัวเสียมารยาท” 

 

           เจิ้งเซี่ยวหยางได้ยินแบบนั้นก็ชี้ไปยังเซี่ยฟางหวา “แล้วนางเป็นใคร ฮองเฮาหรือ” 

 

           เสี่ยวเฉวียนจื่อหัวใจเต้นตึกตักครู่หนึ่ง ก่อนตอบว่า “นี่คือพระชายาน้อยแห่งจวนอิงชินอ๋อง” 

 

           เจิ้งเซี่ยวหยางกะพริบตา ทันใดนั้นก็หัวเราะยกใหญ่ “ข้ารู้แล้ว เป็นพระชายาน้อยที่เกือบจะกลายเป็นฮองเฮาคนนั้น พระชายาน้อยที่ทำให้ฝ่าบาทกับท่านอ๋องน้อยแห่งจวนอิงชินอ๋องทะเลาะเข่นฆ่ากัน คุณหนูจวนจงหย่งโหว ใต้หล้าล้วนทราบ” 

 

           เสี่ยวเฉวียนจื่อมีใบหน้าเคร่งขรึม กล่าวด้วยโทสะทันที “เจิ้งเซี่ยวหยาง เจ้าทำร้ายคุณหนูจวนเสนาบดีฝ่ายขวาบนถนน ยังไม่รีบคุกเข่ายอมรับผิดอีก” 

 

           เจิ้งเซี่ยวหยางหุบยิ้ม ยืดเอวและหลังตั้งตรง กล่าวอย่างลำพองใจ “ข้าไม่ได้ทำผิดสักหน่อย ทำไมต้องยอมรับผิดด้วย” 

 

           เสี่ยวเฉวียนจื่ออึ้ง มองไปยังฉินอวี้ 

 

           ฉินอวี้มิได้เกิดโทสะเพราะท่าทางไร้ความเกรงใจของเจิ้งเซี่ยวหยาง มองเขานิ่ง ก่อนเอ่ยถามเสียงเรียบ “เจ้าทำร้ายคุณหนูจวนเสนาบดีฝ่ายขวาจนใบหน้าเสียโฉม ไฉนถึงบอกว่าไม่ได้ทำอะไรผิด” 

 

           “นางขวางทางข้า ไม่ควรจัดการรึ” เจิ้งเซี่ยวหยางแค่นเสียง 

 

           “แค่ขวางทางเจ้าก็ต้องจัดการแล้วหรือ” ฉินอวี้เลิกคิ้ว “ถนนเป็นที่ที่ทุกคนสัญจรไปมาได้ ขวางทางเจ้าก็แค่ปล่อยผ่านไปก็ได้แล้ว ไม่ถึงกับต้องลงมือกัน” 

 

           เจิ้งเซี่ยวหยางแค่นเสียงขึ้นจมูก “ที่สิงหยาง ข้าก็ไปไหนมาไหนแบบนี้ตลอด ไม่มีใครกล้าขวางทางข้า วันนี้นางมาขวางทางข้า ถูกข้าทำร้าย ก็สมน้ำหน้าแล้ว” 

 

           “เซี่ยวหยาง อย่าได้พูดจาเหลวไหล” เจิ้งเซี่ยวฉุนได้ยินเช่นนั้นก็ลนลานใหญ่ 

 

           “พี่ใหญ่ สิ่งที่ข้าพูดเดิมทีเป็นความจริง พูดจาเหลวไหลเมื่อใดกัน” เจิ้งเซี่ยวหยางมองเจิ้งเซี่ยวฉุน 

 

           เจิ้งเซี่ยวฉุนอึ้ง 

 

           “สิงหยางก็ส่วนสิงหยาง ที่นี่เป็นใต้พระบาทโอรสสวรรค์ ทำเหมือนกันได้หรือไม่ เจ้าไม่เจียมตัวใต้ 

 

พระบาทโอรสสวรรค์ ยามนี้ต่อหน้าฝ่าบาทยังคุยโวอย่าหน้าไม่อาย น่ารังเกียจโดยแท้ ฝ่าบาท ทรงดูเขาสิเพคะ หากไม่ลงโทษสถานหนัก ไหนเลยจะเชือดไก่ให้ลิงดูได้” ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาความโกรธจัด 

 

           เจิ้งเซี่ยวหยางพลันหันมามองฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวา กล่าวด้วยโทสะว่า “เป็นเพราะเจ้า หากเจ้าไม่ชนดอกฉิงเหรินของข้าจนเสียหาย ข้ามีหรือจะลงมือกับเจ้า เดิมทีข้าก็มีเหตุผลเช่นกัน ทำไมข้าไม่ทำร้ายคนอื่นแต่ทำร้ายเจ้า ข้ายังไม่ทวงความรับผิดชอบเรื่องดอกฉิงเหรินกับเจ้าเลย ใบหน้าบุตรีเจ้ามีค่าเท่าไรกัน ดอกฉิงเหรินของข้าล้ำค่าประเมินไม่ได้” 

 

           “ดอกฉิงเหริน?” ฉินอวี้พลันเลิกคิ้ว 

 

           เซี่ยฟางหวาเองก็มองเจิ้งเซี่ยวหยางเช่นกัน 

 

           พระชายาอิงชินอ๋องเองก็มึนงงไปชั่วขณะ 

 

           ทุกคนในห้องรับแขกที่รู้เรื่องอยู่บ้างต่างล้วนตกใจ 

 

           “ฉินเจิงมิใช่ไปเก็บดอกฉิงเหรินหรือ ไฉนตรงนี้ยังมีดอกฉิงเหรินอีก ดอกฉิงเหรินมีมากขนาดนั้นเชียวหรือ ทุกคนล้วนเก็บมาได้” องค์หญิงใหญ่หลุดเอ่ยขึ้นด้วยความแปลกใจ  

 

           “ใครบอกว่าทุกคนล้วนเก็บดอกฉิงเหรินได้ ข้าเฝ้าอยู่ครึ่งเดือนกว่าจะเก็บมันมาได้ อยากนำมาให้พี่ใหญ่ดู แต่ใครจะรู้เล่าว่าเพิ่งเข้าเมืองมา จู่ๆ ก็ถูกรถม้าที่พุ่งออกมาจากหัวมุมถนนชนจนเสียหายเข้า” เจิ้งเซี่ยวหยางกล่าวด้วยโทสะ “อีกอย่างฮูหยินท่านนี้ยังมีหน้ามาถามว่าใครชนรถม้าจวนเสนาบดีฝ่ายขวาอีก ตอนนี้ยังเอาแต่บอกให้ลงโทษสถานหนักกับข้า ไหนๆ ฝ่าบาทก็ทรงอยู่ตรงนี้แล้ว เช่นนั้นข้าขอถามว่า จวนเสนาบดีฝ่ายขวาใช้ความแข็งแกร่งรังแกคนอ่อนแอกว่า รังแกผู้ต่ำต้อยกว่าแบบนี้หรือ” 

 

           “ไฉนข้าถึงไม่เห็นดอกฉิงเหรินของเจ้า” ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาก็กล่าวด้วยโทสะ 

 

           “เจ้ายังไม่เห็นหรือ ตอนนี้เจ้าไปดูบนล้อรถของเจ้าได้ ใช่ยังมีซากดอกไม้ติดอยู่หรือไม่” เจิ้ง 

 

เซี่ยวหยางโกรธแล้ว “เดิมทีข้ากล้าทำกล้ารับ พูดคำไหนคำนั้น ไม่เคยโกหก” 

 

           “เจ้าอย่าเหลวไหล ข้าไม่เห็นดอกฉินเหรินอะไรนั่นของเจ้าตั้งแต่แรก” ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาไม่ยอม 

 

           “เจ้ามองไม่เห็น หรือว่าดอกฉิงเหรินของข้าต้องถูกล้อรถของเจ้าบดไปอย่างสูญเปล่าแล้ว” เจิ้งเซี่ยว 

 

หยางก็เดือดดาลแล้วเช่นกัน 

 

           “พ่อบ้าน ไปนำรถม้าคันนั้นมา” เสนาบดีฝ่ายขวาสั่งงานพ่อบ้าน 

 

           “ขอรับ นายท่านเสนาบดี” พ่อบ้านผงกศีรษะทันที  

 

           “เสี่ยวเฉวียนจื่อ เจ้าก็ตามพ่อบ้านไปด้วย” ฉินอวี้สั่งงานเสี่ยวเฉวียนจื่อ 

 

           “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” เสี่ยวเฉวียนจื่อเองก็รีบออกไปเช่นกัน 

 

           ฉินอวี้เห็นทั้งสองออกไปแล้ว ก็ค่อยๆ เอ่ยขึ้น “พูดลอยๆ มิได้ หากมีหลักฐานจริง ค่อยว่ากันยังไม่สาย” 

 

           ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาเงียบเสียงลง 

 

           เจิ้งเซี่ยวหยางแค่นเสียงขึ้นจมูกเสียงหนึ่ง ก้าวขึ้นมาข้างหน้า “พี่ใหญ่ ท่านคุกเข่าทำไม ลุกได้แล้ว” 

 

           เจิ้งเซี่ยวฉุนมองเจิ้งเซี่ยวหยางอย่างจนใจ ส่ายหน้าตอบ “น้องพี่ อย่าก่อเรื่อง ต่อหน้าฝ่าบาท มิอาจไม่เจียมตัวได้” 

 

           เจิ้งเซี่ยวหยางกลอกตา “ต่อหน้าโอรสสวรรค์ ก็ต้องเน้นหนักเรื่องพิธีรีตองหรือ แม้ข้าสร้างเรื่องวุ่นวายเป็นนิจ แต่เรื่องในครั้งนี้โทษข้ามิได้” พูดจบ ก็พลันกล่าวอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม “ข้าเฝ้าดอกฉิง 

 

เหรินมาครึ่งเดือน ระหว่างทางมีคนหนึ่งไล่ตามหลังมาเพื่อแย่งไป ข้าต้องขี่ม้าตายไปสามสี่ตัวกว่าจะสลัดเขาหลุด” 

 

           “ครึ่งเดือนนี้เจ้าไม่อยู่บ้าน ไม่รู้หายไปไหน ที่แท้ก็ไปเก็บดอกฉิงเหริน” เจิ้งเซี่ยวฉุนมองเขา “ไฉนเจ้าถึงขยันก่อเรื่องแบบนี้ ฟังว่าดอกฉิงเหรินโตบนพื้นที่อันตรายโดยธรรมชาติ หากเจ้าเป็นอะไรขึ้นมา เจ้าจะให้ข้ากับท่านพ่อไปอธิบายกับท่านแม่ในปรโลกอย่างไร” 

 

           เจิ้งเซี่ยวหยางเบือนหน้า “พี่ใหญ่ แต่เล็กจนโตท่านล้วนพูดแต่ประโยคนี้ ไม่มีที่ใหม่กว่านี้แล้วหรือ ข้าเคยบอกไปแล้วว่า หากข้าตายแล้วก็ไปพบท่านแม่ที่ปรโลก อยู่พร้อมหน้ากับนาง ใช่ว่ามีอะไรไม่ดี” 

 

           เจิ้งเซี่ยวฉุนชะงักค้าง 

 

           เจิ้งเซี่ยวหยางอยากโบกมือ ทว่าด้านหลังถูกเชือกมัดไว้แน่นจนแก้ออกมิได้ เขาหันไปมองฉินอวี้  

 

“ฝ่าบาท ทรงแก้มัดให้ข้าได้หรือไม่ ข้ามิใช่นักโทษสักหน่อย มัดจนแขนข้าชาไปหมดแล้ว” 

 

           “ฝ่าบาท อย่าได้แก้มัดให้เขานะเพคะ” ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาแย้งทันที 

 

           เสนาบดีฝ่ายขวามองฮูหยินแวบหนึ่ง กล่าวว่า “ตอนนี้ฝ่าบาททรงอยู่ที่นี่ ท่านปู่เจิ้ง นายท่านใหญ่ และคุณชายใหญ่ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางล้วนอยู่ตรงนี้ เรื่องนี้ควรจัดการก็จริง แต่มิใช่ว่ามัดคนแล้วจะแก้ไขได้” พูดจบก็ประสานมือกล่าวกับฉินอวี้ “แก้มัดเขาเถิดพ่ะย่ะค่ะ” 

 

           ฉินอวี้ตวัดมือแผ่วเบา ลมหอบหนึ่งพัดออกไป เชือกที่มัดเจิ้งเซี่ยวหยางขาดออกทันที 

 

           “ฝ่าบาททรงมีวิทยายุทธ์ยอดเยี่ยมนัก” เจิ้งเซี่ยวหยางนัยน์ตาเป็นประกายทันใด  

 

           ฉินอวี้มองเขาแวบหนึ่ง ไม่เอ่ยคำใด