เจิ้งเซี่ยวหยางสะบัดเชือกหลุด คลายกระดูกและเอ็นที่ถูกมัดจนแข็งทื่อ ก้าวขึ้นมาดึงเจิ้งเซี่ยวฉุนขึ้น
“พี่ใหญ่ ลุกได้แล้ว”
เจิ้งเซี่ยวฉุนจนปัญญา ถูกเขาดึงขึ้นมาจนได้
เวลานี้ท่านปู่เจิ้งก็อ้าปากกล่าวขึ้น “เซี่ยวหยาง ความผิดที่เจ้าก่อ พี่ใหญ่เจ้าจะรับผิดแทน”
เจิ้งเซี่ยวหยางได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ยอม “ข้าบอกแล้วว่าไม่ได้ทำผิด ท่านมารับผิดแทนทำไม”
“คุณหนูหลี่แห่งจวนเสนาบดีฝ่ายขวาตอนนี้เสียโฉมแล้ว อาการสาหัสยิ่ง ใบหน้าสตรีเป็นสิ่งสำคัญ ถึงแม้ทำดอกฉิงเหรินของเจ้าเสียหาย ก็ค่อยไปทวงความรับผิดชอบที่จวนเสนาบดีฝ่ายขวาก็ได้ แต่ไม่ควรทำร้ายผู้อื่น” เจิ้งเซี่ยวฉุนสั่งสอนเจิ้งเซี่ยวหยางอย่างจริงจัง “สิ่งที่ข้าคอยบอกเจ้าเสมอมา เจ้าล้วนทำเป็นหูทวนลมหรือไม่”
เจิ้งเซี่ยวหยางยกมือปิดหู กอดศีรษะย่อลงกับพื้น “ท่านพูดมาเถอะ ตำหนิข้าอย่างไร ข้าฟังอยู่”
เขากอดศีรษะย่อลงกับพื้น การกระทำต่อเนื่องกันจนเป็นท่าทางที่ติดเป็นนิสัย เตรียมรับฟังคำสั่งสอนยาวเหยียดจากเจิ้งเซี่ยวฉุน
เจิ้งเซี่ยวฉุนเห็นแบบนี้ก็นิ่งไป โกรธจนพูดไม่ออก
เจิ้งเซี่ยวหยางรออยู่นาน ไม่เห็นว่าเจิ้งเซี่ยวฉุนจะตำหนิเขาอีก จึงแอบมองพี่ชายแวบหนึ่ง ก่อนลุกขึ้นคล้ายกับเด็ก “พี่ใหญ่ ไม่ตำหนิข้าแล้วใช่หรือไม่ เช่นนั้นข้าลุกขึ้นแล้วนะ”
เจิ้งเซี่ยวฉุนนวดหน้าผากด้วยความปวดหัว ไม่กล่าวคำใด
ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาเห็นเจิ้งเซี่ยวหยางเป็นแบบนี้ก็เดือดเป็นฟืนเป็นไฟ ชี้หน้าเขาแล้วกล่าวกับเสนาบดีฝ่ายขวา “ท่านเสนาบดี ท่านดูสิ ตอนนี้ใบหน้าปี้เอ๋อร์ของเรายังมีเลือดออกอยู่เลย แต่เขากลับทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
เสนาบดีฝ่ายขวาไม่พูดอะไร
เวลานี้ พ่อบ้านจวนเสนาบดีฝ่ายขวากับเสี่ยวเฉวียนจื่อก็ให้คนยกรถม้ามาไว้หน้าทางเข้าห้องโถงใหญ่ ผู้ที่มาพร้อมกับพวกเขาด้วยยังมีหลี่มู่ชิง
หลังจากหลี่มู่ชิงรอจนทุกคนออกไปแล้วก็กำชับให้คนดูแลหลี่หรูปี้ เมื่อสั่งการงานเรียบร้อยจึงเดินมาด้านหน้า บังเอิญพบพ่อบ้านจวนเสนาบดีฝ่ายขวากับเสี่ยวเฉวียนจื่อพอดี จึงไปตรวจสอบรถม้าด้วยรอบหนึ่ง
เสี่ยวเฉวียนจื่อเข้ามารายงาน “ฝ่าบาท มีดอกไม้ถูกล้อรถบดจนเหลือเพียงเศษจริงพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่บ่าวไม่รู้จักดอกฉิงเหริน มิทราบว่าใช่ดอกฉิงเหรินหรือไม่”
“เป็นดอกฉิงเหริน” เจิ้งเซี่ยวหยางตอบทันที
ฉินอวี้ลุกขึ้น ผินหน้ามองเซี่ยฟางหวา “เจ้ารู้จักดอกฉิงเหรินหรือไม่”
“รู้จัก” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
ฉินอวี้เดินนำออกไป เซี่ยฟางหวาจึงลุกขึ้นเดินตามออกไป
เมื่อมาถึงหน้าทางเข้า รถม้าถูกหลายคนยกอยู่หน้าประตู
เซี่ยฟางหวาเดินวนรอบรถม้ารอบหนึ่ง ตรงซอกล้อรถมีดอกไม้ที่ถูกบดจนแหลกติดอยู่ หลังพินิจดูถี่ถ้วนแล้วก็มองไปยังหลี่มู่ชิง
หลี่มู่ชิงถอนหายใจ “แม้น้องข้าถูกทำร้ายจนเสียโฉมนั้นน่าโมโห แต่จวนเสนาบดีฝ่ายขวาไม่รังแกผู้อื่น ควรเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น”
เซี่ยฟางหวาผงกศีรษะ กล่าวกับฉินอวี้และทุกคนว่า “นี่เป็นใบของดอกฉิงเหรินจริง”
เวลานี้เจิ้งเซี่ยวหยางก็ตะโกนเสียงดังลั่น “เห็นไหม ข้าไม่ได้โกหก เป็นดอกฉิงเหรินที่ข้าเก็บมาด้วยความลำบาก ขอถามว่า ดอกฉิงเหรินนี้ใต้หล้าหาซื้อได้หรือไม่ มีมูลค่ากี่มากน้อยกัน”
ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวากล่าวด้วยโทสะ “ถึงแม้รถม้าของเราบดดอกฉิงเหรินของเจ้าจนเสียหาย ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด ใครจะรู้ว่าในมือเจ้าถือดอกฉิงเหรินอยู่ เจ้าเองก็ไม่ควรทำร้ายลูกสาวข้า ดอกฉิงเหรินล้ำค่าประเมินไม่ได้สำหรับเจ้า ลูกสาวข้าก็เป็นสิ่งลำค่าประเมินไม่ได้สำหรับข้าเช่นเดียวกัน”
“ข้าทำร้ายใบหน้านางสิบครั้ง ใบหน้านางก็รักษาได้ แต่ดอกฉิงเหรินของข้ากลับคืนไม่ได้แล้ว” เจิ้งเซี่ยวหยางก็กล่าวด้วยโทสะเช่นกัน
“ใครว่าใบหน้าลูกสาวข้ารักษาได้ พระชายาน้อยอยู่ตรงนี้ก็บอกแล้วว่า ฟื้นกลับคืนมาได้แค่แปดเก้าส่วนเท่านั้น” ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวากล่าว “ใต้หล้ายังมีวิชาแพทย์ของผู้ใดรักษาได้อีก เจ้าหามาให้ข้าสิ”
“ใบหน้าของนางก็ยังฟื้นกลับคืนมาได้แปดเก้าส่วนไม่ใช่รึ แล้วดอกฉิงเหรินของข้าเล่า เหลือเอาไว้เพียงใบที่ถูกบดจนแหลกแล้ว ฟื้นคืนกลับมาได้แปดเก้าส่วนหรือไม่” เจิ้งเซี่ยวหยางตอบโต้ทันที
ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาโกรธจนนิ่ง “ลูกสาวของข้าเทียบกับดอกไม้หักๆ ของเจ้าได้รึ”
“ลูกสาวของเจ้าไม่แน่ว่าจะมีค่าเท่าดอกไม้ของข้า แค่มีชาติกำเนิดสูงศักดิ์ไม่ใช่หรือ หากมิได้เกิดมาในจวนเสนาบดีฝ่ายขวา นางจะมีค่าอะไร ถึงใส่พานถวายให้ข้าก็ไม่เอา” เจิ้งเซี่ยวหยางแค่นเสียง
ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาโกรธจนใบหน้าเขียวคล้ำ คว้าแขนเสนาบดีฝ่ายขวา “ท่านเสนาบดี ท่านดูเขาสิ ยังไม่ลงโทษเขาอีกหรือ หากไม่ลงโทษเขา ทุกคนล้วนคิดว่าจวนเสนาบดีฝ่ายขวาของเรารังแกได้”
เสนาบดีฝ่ายขวาก็พูดไม่ออกเช่นกัน ดอกฉิงเหรินล้ำค่าประเมินมิได้ คู่รักใต้หล้าฟังว่าใฝ่ฝันที่จะครอบครองมัน หากแต่บุตรีของเขาก็ล้ำค่าประเมินมิได้ในสายตาเขาเช่นกัน หากแค่เจิ้งเซี่ยวหยางทำร้ายคนอื่นอย่างไร้เหตุผล เช่นนั้นจวนเสนาบดีฝ่ายขวายังมีเหตุผลให้ลงโทษ แต่ตอนนี้กลับทำดอกฉิงเหรินของเขาเสียหาย นี่จะสะสางหนี้แค้นอย่างไร
“ข้าบอกไปแล้ว เรื่องนี้ให้ฝ่าบาททรงตัดสินพระทัย เจ้าอย่าพูดมาก” เขากล่าวอย่างจนใจ
ฉินอวี้มองไปยังเซี่ยฟางหวา “อาการบาดเจ็บของคุณหนูหลี่รักษาได้แปดเก้าส่วน ใช่หรือไม่”
“อืม ข้าพูดได้แค่ว่าทำเต็มที่แล้ว” เซี่ยฟางหวาตอบ
“ดอกไม้แม้ล้ำค่า แต่ใบหน้าของสตรีก็ล้ำค่าเช่นกัน” ฉินอวี้ไตร่ตรองพักหนึ่ง เอ่ยกับเสนาบดีฝ่ายขวาว่า “เราพิจารณาดูแล้วว่าจะลงโทษอย่างไร แต่เกรงว่าจวนเสนาบดีฝ่ายขวากับตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางคงไม่พอใจ เราคิดว่ามิสู้ปรองดองกัน”
“ปรองดองอย่างไร” ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาใจแกว่ง กลัวว่าฉินอวี้จะให้อภัยเจิ้งเซี่ยวหยาง จึงถามทันที
ฉินอวี้มิได้ตอบฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวา หากแต่หันไปถามเจิ้งอี้กับเจิ้งเฉิง “คุณชายรองยังมิได้แต่งภรรยากระมัง”
เจิ้งอี้กับเจิ้งเฉิงต่างมึนงง ก่อนส่ายหน้าตอบ “ลูกชายคนนี้ดื้อรั้นหัวแข็ง ถ้าพี่ชายยังไม่แต่งงาน เขาก็ยังไม่แต่งด้วย”
“เช่นนั้นก็ดี คุณชายรองยังมิได้แต่งงาน คุณหนูหลี่จวนเสนาบดีฝ่าขวาก็ยังไม่มีคู่ครองเช่นกัน มิสู้เราไกล่เกลี่ยแบบนี้ ในเมื่อเรื่องเกิดขึ้นแล้ว ก็ให้คุณหนูหลี่แห่งจวนเสนาบดีฝ่ายขวาหมั้นกับคุณชายรอง คนหนึ่งชดใช้คน อีกคนชดใช้ดอกไม้ คุณชายรองตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางแม้ดื้อรั้นหัวแข็ง แต่เราดูแล้วก็นับว่าเป็นคนมีสติปัญญาเช่นกัน ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางกับจวนเสนาบดีฝ่ายขวาก็นับว่ามีฐานะเหมาะสมกัน ไม่มีใครน่าอายไปกว่าใคร ไม่รู้ว่าทั้งสองฝ่ายคิดเห็นอย่างไร” ฉินอวี้แย้มสรวล
เสนาบดีฝ่ายขวาชะงักไปชั่วขณะ ฮูหยินเองก็ชะงักไปเช่นกัน
เจิ้งอี้ เจิ้งเฉิง และเจิ้งเซี่ยวฉุนจากตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางก็ชะงักไปเช่นกัน
เจิ้งเซี่ยวหยางตื่นตกใจ แย้งขึ้นทันที “ข้าไม่เอา ข้าไม่อยากแต่งกับสตรีที่เสียโฉม”
“ทำสตรีเสียโฉมก็เป็นการทำลายหน้าตาเจ้าด้วย เจ้าย่อมควรรับผล” ฉินอวี้มีหน้าเคร่งขรึม
“ข้ากล้ำกลืนไม่ลง” เจิ้งเซี่ยวหยางเงยหน้า “แบบนี้มิได้ ข้าไม่ทำตาม ข้าไม่อยากแต่งกับสตรีคนนั้น” พูดจบก็เสริมว่า “ร้ายแรงที่สุด ดอกไม้ของข้าไม่ต้องให้นางชดใช้แล้ว กรีดใบหน้าข้าเหมือนนางเถอะ ข้าไม่อยากแต่งกับนาง”
ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาเดิมทียังมีความคิดที่จะพิจารณา แต่เห็นเจิ้งเซี่ยวหยางพูดแบบนี้ก็บันดาลโทสะทันที “บุตรีจวนเสนาบดีฝ่ายขวาของเรามีฐานะสูงส่งล้ำค่า แล้วเจ้าเป็นตัวอะไร ถึงเจ้าอยากแต่ง แต่บุตรีข้าถึงตายก็ไม่ยอมแต่งกับเจ้า”