ถังซียิ้ม วางถ้วยกาแฟลงบนโต๊ะ เธอมองหน้าฉินซินหยิ่งขณะเลิกคิ้วขึ้น “นั่นสิ ถ้าอย่างนั้นก็รับสิ่งที่ฉันให้เธอไปดีๆ แล้วอย่าทำอะไรที่ฉันไม่ชอบลับหลังฉัน ถ้ายังอยากมีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่ในตอนนี้ก็อย่าคิดว่าฉันโง่ เธอก็รู้ดีว่าถึงฉันจะเป็นคนไม่เรื่องมาก แต่ก็อาจใจร้ายมากได้ เวลาโกรธ”
รอยยิ้มบนใบหน้าฉินซินหยิ่งนิ่งขึงไปทันที เธอจ้องมองถังซีอย่างไม่เข้าใจ ถังซีจึงยิ้มให้ “เธอเป็นคนบอกถังเจียเหรินกับพี่น้องเขาใช่ไหมว่าฉันอยู่ที่ไหน ฉันจำได้ว่าฉันบอกเธอแค่คนเดียวว่าจะไปไหน แม้แต่คุณปู่เองก็ยังไม่รู้ ลองคิดดูสิว่าจะเป็นยังไง ถ้าฉันขึ้นเครื่องบินลำนั้นไปจริงๆ”
ฉินซินหยิ่งกำมือสองข้างแน่น ถังซีไม่ได้ขึ้นเครื่องบินลำนั้นไปนี่เอง! นี่คือเหตุผลว่าทำไมเธอถึงได้กลับมาอย่างปลอดภัย เธอไม่ยอมกลับมาในทันที แต่รออยู่หลายเดือน เพราะต้องการรอดูว่าพวกคนที่ทำร้ายเธอจะผิดหวังและหวาดกลัวเพียงใด ที่เห็นเธอกลับมา!
“ซีซี แต่ฉัน…” ฉินซินหยิ่งยื่นมือออกไปกุมมือถังซี และกล่าวขึ้นเสียงเบา “ฉันสาบานว่าฉันไม่ได้เป็นคนบอก ฉันไม่ได้บอกใครว่าเธออยู่ที่ไหน เธอต้องเชื่อฉันนะ เราโตมาด้วยกัน…”
“พอทีเถอะ” ถังซีนิ่วหน้า ส่ายศีรษะด้วยความรู้สึกรังเกียจ เธอลุกขึ้นกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ฉันไม่สนใจว่าเธอจะบอกใครหรือไม่บอก ฉันแค่ต้องการให้เธอจำไว้ว่าต้องคิดให้ดีก่อนจะทำอะไรลงไป อย่าทำสิ่งชั่วๆ โดยเอาชื่อฉันไปอ้าง เพราะจะทำให้ฉันโกรธมาก รู้ใช่ไหม”
ฉินซินหยิ่งกำมือแน่นยิ่งขึ้น จนปลายเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ ถังซีก้มลงมองฉินซินหยิ่ง กล่าวเสียงเข้มว่า “เธอก็รู้ว่าฉินกรุปอยู่ไม่ได้หรอกถ้าไม่มีเอ็มไพร์กรุปสนับสนุน เพราะฉะนั้นซินหยิ่ง บางครั้งฉันก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ในสิ่งที่เธอทำ แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไม่รู้จริงๆ ฉันแค่เห็นว่าเธอเป็นเพื่อน และไม่อยากให้มิตรภาพของเราถูกทำลาย” ถังซีหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วยิ้มหยัน “แต่ฉันไม่แน่ใจว่าเธอเห็นฉันเป็นเพื่อนจริงหรือเปล่า” เมื่อกล่าวจบ เธอก็เดินออกจากร้านกาแฟไปอย่างรวดเร็ว
ฉินซินหยิ่งจ้องมองตามหลังถังซีด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ถังซีต้องรู้อะไรบางอย่างมาแน่ๆ ไม่เช่นนั้นคงไม่พูดกับเธออย่างนี้ ถังซีต้องไปเจอหลักฐานอะไรมา ถึงได้มีท่าทีที่แปลกไปกว่าเมื่อก่อน แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น แล้วฉินกรุปจะเป็นอย่าไร ฉินซินหยิ่งนึกขึ้นได้ถึงสิ่งที่บิดาบอกทางโทรศัพท์ก่อนที่เธอจะมาที่นี่ จึงรีบลุกพรวดพราดจากเก้าอี้ ตามไปยืนขวางหน้าถังซีไว้ “ซีซี ฉันคิดว่าต้องเกิดการเข้าใจผิดอะไรขึ้นแน่ๆ เราคุยกันก่อนเถอะนะ”
ถ้าจะพูดตรงๆ ก็คือ ถังซีอยากอาเจียนออกมาเดี๋ยวนั้น เมื่อได้ยินคำพูดของฉินซินหยิ่ง เธอรู้อยู่แก่ใจแล้วว่าผู้หญิงคนนี้ทำอะไรไว้กับเธอ แต่ยังพูดออกมาไม่ได้ ยังไม่อาจถามตรงๆ ได้ว่าทำไมถึงทำอย่างนั้นกับเธอ! ถังซีจึงแทบทนไม่ได้ที่จะต้องยืนอยู่ในพื้นที่เดียวกันกับผู้หญิงคนนี้
แม้ว่าเมื่อกี้ถังซีจะแสดงออกด้วยท่าทีของผู้ถือไพ่เหนือกว่า แต่ในความเป็นจริงเธอทนแทบไม่ไหวที่ต้องเผชิญหน้ากับฉินซินหยิ่ง
ถังซีจ้องมองฉินซินหยิ่งด้วยสายตาเย็นชา หรี่ตาลง “การเข้าใจผิดอะไรเหรอ ฉันไม่เคยเข้าใจเธอผิด แต่ฉันไม่รู้ว่าเธอจะเข้าใจอะไรฉันผิดบ้างหรือเปล่า” แล้วเธอก็เบี่ยงตัวเดินผ่านฉินซินหยิ่งไป
“ฉันรักเฉียวเหลียง” ทันใดนั้นฉินซินหยิ่งก็ระเบิดออกมา
ถังซีชะงักเท้าทันที ฉินซินหยิ่งจ้องมองร่างที่ยืนนิ่งขึง แล้วยิ้มอย่างพึงพอใจ รู้สึกสะใจที่ได้แก้แค้น แล้วกล่าวขึ้นว่า “ทีนี้เรามาคุยกันได้หรือยัง”
ถังซีหรี่ตาลง หากไม่หันกลับไปมอง สุนัขจนตรอกย่อมทำได้ทุกวิถีทาง ฉินซินหยิ่งกล้าดียังไงมาพูดกับเธออย่างนี้ คิดว่าจะทำอะไรกับเธอก็ได้อย่างนั้นหรือ
“เธอรู้ไหม ทุกครั้งที่เธอออกไปเที่ยวกับเฉียวเหลียง…”
เผียะ…
ก่อนที่ฉินซินหยิ่งจะพูดจบประโยค ถังซีก็ฟาดมือลงบนใบหน้าเธออย่างแรง เธอตกตะลึงจ้องมองถังซี ซึ่งตบหน้าเธออย่างแรงอีกครั้ง ฉินซินหยิ่งยกมือขึ้นประคองใบหน้าตนเอง กรีดร้องอย่างคลุ้มคลั่ง “ถังซี เธอบ้าไปแล้ว!”
ถังซีจ้องหน้าฉินซินหยิ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ความรักที่เธอมีต่อเฉียวเหลียง เป็นเหตุผลเพียงพอให้เธอสั่งฆ่าฉันงั้นเหรอ”
ฉินซินหยิ่งก้าวถอยหลัง ถังซีก้าวตามประชิดขณะกล่าวเสียงเย็นเยือก “ฉันไม่อยากคุยเรื่องนี้กับเธอ แต่เธอยั่วโมโหฉันเอง ไม่คิดว่าฉันควรจะเอาคืนบ้างหรือไง” ฉินซินหยิ่งยังคงถอยหนี ถังซีคว้ามือเธอไว้ ดึงให้เข้ามาใกล้ น้ำเสียงยังคงเย็นเยียบขณะกล่าวว่า “ชีวิตคนอื่นไม่มีค่าในสายตาเธอเลยงั้นเหรอ ชีวิตคนอื่นราคาถูกมากใช่ไหมสำหรับเธอ”
“ฉันไม่รู้ว่าเธอพูดเรื่องอะไร” ฉินซินหยิ่งดิ้นรนดึงมือออกจากถังซี
ถังซีคำรามลั่น “ไม่เข้าใจอย่างนั้นหรือ ดี ดูเหมือนว่าเธอไม่ได้อยากคุยอย่างตรงไปตรงมากับฉันในวันนี้” ถังซีกล่าวพร้อมกับสะบัดมือฉินซินหยิ่ง ฉินซินหยิ่งซึ่งสวมรองเท้าส้นสูงซวนเซจนเกือบล้มลง ถังซีหันหลังกลับ เตรียมจะเดินจากไป “อย่าเสียใจที่ตัดสินใจแบบนี้ก็แล้วกัน ฉันจะสืบสวนเรื่องเครื่องบินตกให้ถึงที่สุด หวังว่าเธอจะยังคงพูดว่าไม่รู้เรื่องอะไร ตอนที่ฉันสืบพบความจริงทุกอย่างแล้วนะ!”
…
ที่เมือง A
เหวินนิ่งแต่งกายในชุดสูทแบบลำลอง ยืนอยู่ข้างรถสปอร์ต แหงนมองไปยังตึกสูงเบื้องหน้า เธอดูเท่และแตกต่างไปจากหญิงสาวทั่วไป ผู้ชายหลายคนที่เดินผ่านมองเธอจนเหลียวหลัง แต่เธอไม่สนใจ เธอหยิบโทรศัพท์ออกมา กดหมายเลข เมื่อปลายทางรับสาย เธอก็เรียกชื่อเขา “ลู่หลี”
“ฉันอยู่ข้างล่าง ไปทานข้าวกลางวันกันเถอะ”
ลู่หลีกำลังอยู่ในที่ประชุม เมื่อโทรศัพท์ดังขึ้นเขาเกือบจะตัดสายทิ้ง แต่เมื่อเห็นชื่อผู้โทรเขาก็ยกมือขึ้นส่งสัญญาณพักการประชุมชั่วคราว เขาลุกขึ้นรับสาย เมื่อได้ยินเสียงเหวินนิ่ง เขาก็มองออกนอกหน้าต่างลงไปข้างล่าง สายตาเขาคงจะดีเกินไป หรือไม่หญิงสาวผู้นั้นก็คงโดดเด่นเกินไปท่ามกลางฝูงชน เขาจึงมองเห็นเธอซึ่งยืนอยู่ข้างรถสปอร์ตในทันที เขานิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “ผมกำลังประชุม”
“ประชุมอยู่หรือคะ จะเสร็จเมื่อไร ฉันรอได้”
ลู่หลีก้มมองนาฬิกาข้อมือปาเต็กฟิลิปป์ แล้วยิ้มมุมปาก “ประมาณครึ่งชั่วโมง”
“ได้ เดี๋ยวฉันโทรมาหาอีกทีในอีกครึ่งชั่วโมง” เหวินนิ่งวางสาย
ลู่หลีเห็นหญิงสาวที่ยืนอยู่เบื้องล่างหันหลังเตรียมเดินจากไป เขายิ้มน้อยๆ แล้วหันกลับมาหาคนในที่ประชุม “ประชุมกันต่อเถอะ”
เซียวจิ่งมองหน้าลู่หลี แล้วลุกขึ้นกล่าวว่า “ประชุมกันมาสามชั่วโมงแล้ว ได้เวลาอาหารกลางวันแล้วล่ะ พักทานกลางวันกันก่อนเถอะ”