ถังซีเงียบไป นี่เป็นครั้งแรกที่เฉียวเหลียงถามเธอแบบนี้ ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยต้องการให้เธอถามว่าเขาอยู่ที่ไหน หรือกำลังทำอะไร… เธอหายใจเข้าลึกๆ ถามเสียงนุ่มนวลว่า “เฉียวเหลียง คุณกำลังจะไปไหนคะ และกำลังจะไปทำอะไร”
เฉียวเหลียงหัวเราะในลำคอก่อนตอบว่า “จะไปท่าเรือ ผมต้องไปจัดการกับสินค้าล็อตหนึ่ง อย่าให้ผมต้องบอกคุณอีกเลยนะ” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เฉียวเหลียงก็กล่าวว่า “ซีซี ไม่ว่าคุณจะอยู่ในตัวตนไหน ผมหวังว่าคุณจะสามารถยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับผมได้เสมอ”
ถังซีรับคำอยู่ในลำคอก่อนจะวางสาย เธอนั่งลงบนเก้าอี้ ครุ่นคิดถึงคำพูดของเฉียวเหลียง ทำไมจู่ๆ เขาถึงพูดกับเธอแบบนี้
จริงอยู่ เธออาจยังไม่คู่ควรจะยืนเคียงข้างเขาในสถานภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ตอนที่เป็นถังซีนั้นเธอมีความเหมาะสมคู่ควรทุกอย่าง แต่ในฐานะเซียวโหรว เธอยังไม่สามารถเทียบชั้นเขาได้
ถังซีใช้เวลาจัดการกับธุระต่างๆ ในบริษัทตลอดช่วงเช้า เสร็จแล้วจึงเรียกทนายความประจำตัวมาพบ ทนายความรู้สึกแปลกใจที่ได้พบถังซี แต่ด้วยความเป็นมืออาชีพ เขาจึงตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว เมื่อได้ยินว่าถังซีต้องการร่างพินัยกรรมฉบับใหม่ เขาก็ขมวดคิ้วถามว่า “คุณแน่ใจแล้วหรือครับ ว่าต้องการเปลี่ยนพินัยกรรม ท่านประธานถัง”
ทนายความมองปากกาที่ถืออยู่ในมืออย่างครุ่นคิด ทำไมจู่ๆ ประธานถังถึงต้องการเปลี่ยนพินัยกรรม และยิ่งประหลาดหนักขึ้นไปอีก ที่เธอต้องการยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้กับคนแปลกหน้า หลังจากที่เธอเสียชีวิตไปแล้ว! ถึงอย่างไรสมาชิกตระกูลถังก็น่าจะเป็นผู้รับมรดกที่เหมาะสมกว่า ไม่ใช่หรือ
ถังซีก้มศีรษะรับ “ใช่ค่ะ ฉันอยากเปลี่ยนพินัยกรรม และหวังว่าคุณจะจัดการให้ได้โดยเร็วที่สุด”
“เอ้อ ผมยังไม่ค่อยเข้าใจดีนัก” ทนายความยังคงหน้านิ่วคิ้วขมวดมองหน้าถังซี “ขออนุญาตถามได้ไหมครับ ว่าทำไมคุณถึงต้องการเปลี่ยนพินัยกรรม”
“คุณจังคะ กรุณาทำตามที่ฉันบอกก็พอค่ะ” ถังซีลุกขึ้น “ฉันอยากดูร่างพินัยกรรมฉบับใหม่พรุ่งนี้เช้า ถ้าไม่มีปัญหาอะไรก็จะได้ลงนามเลย” แล้วเธอก็เดินไปเปิดประตูห้องทำงาน ผายมือเป็นสัญญาณให้ทนายความกลับไปได้
หลังจากทนายความออกไป โทรศัพท์ถังซีก็ดังขึ้น ถังซีมองดูชื่อผู้โทร นิ่วหน้าเล็กน้อยขณะรับสาย “ฮัลโหล”
เมื่อกลับมาเมืองหลวง เธอบอกให้อาหกจัดการนำเบอร์โทรศัพท์เดิมกลับมาให้เธอใช้ น่าแปลกใจที่ ฉินซินหยิ่งยังจำเบอร์นี้ได้
ดูเหมือนฉินซินหยิ่งจะไม่คาดคิดว่าถังซีจะรับสาย เธอนิ่งเงียบไปราวสองวินาที แล้วจึงกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เธอหายไปอยู่ที่ไหนมาตั้งนาน ซีซี ตอนนี้ฉันอยู่ที่สนามบิน อีกไม่นานก็จะไปถึงเมืองหลวงแล้ว เดี๋ยวเราเจอกันนะ”
เมื่อถังซีได้ยินคำพูดที่ฟังดูสนิทสนมอย่างยิ่ง ประกายตาเธอก็เยียบเย็นลง “ได้สิ ถ้าเธออยากเจอ ไปเจอกันที่ไหนดีล่ะ”
ฉินซินหยิ่งรู้สึกโล่งอกที่ได้ยินว่าถังซียินดีจะพบเธอ แต่เธอยังคงงุนงง เท่าที่รู้ ถังซีไม่มีทางรอดชีวิตมาได้เลย นี่เธอกลับมาได้อย่างไร ฉินซินหยิ่งเสียศูนย์ไปเลยทีเดียวกับการกลับมาของถังซี!
…
“ซีซี!” ฉินซินหยิ่งยืนอยู่ที่หน้าประตูร้านกาแฟ โบกมือให้ถังซีด้วยท่าทางตื่นเต้น แบบคนที่ได้พบเพื่อนสนิทซึ่งไม่ได้เจอกันมาแสนนาน
แล้วเธอก็รีบเดินเข้ามาในร้าน เมื่อมองเห็นถังซีนั่งอยู่ที่โต๊ะข้างหน้าต่างแบบฝรั่งเศส
ถังซีโบกมือตอบพร้อมด้วยรอยยิ้มบางๆ แต่ส่งเสียงคำรามอยู่ในใจ ทำไมเมื่อก่อนเธอถึงไม่เคยสังเกตเห็นเลยว่า ฉินซินหยิ่งมีพรสวรรค์ด้านการแสดงถึงเพียงนี้ ดูรอยยิ้มเสแสร้งนั่นสิ ถังซีเกือบจะเชื่อจริงๆ ว่าเธอคือเพื่อนสนิทของฉินซินหยิ่ง
ฉินซินหยิ่งเดินตรงมาที่โต๊ะและนั่งลงตรงกันข้ามถังซี โดยไม่ละสายตาไปจากเธอ อีกครู่ใหญ่ๆ ต่อมา เธอจึงพึมพำขึ้นว่า “ตายจริง เธอผอมไปมาก ทำไมเธอถึงไม่ติดต่อพวกเราเลยเป็นเวลาแสนนาน รู้ไหมว่าเราเป็นห่วงเธอมากแค่ไหน”
ถังซีมองหน้าฉินซินหยิ่งแล้วยิ้ม “แล้วเธอเป็นห่วงฉันมากแค่ไหนล่ะ”
ฉินซินหยิ่งอึ้งไป เธอไม่คาดคิดมาก่อนว่าถังซีจะถามแบบนี้ สิ่งที่ถังซีควรพูดน่าจะเป็น “ฉันขอโทษนะ ที่ทำให้เป็นห่วง” แต่นี่ทำไมเธอถึงถามคำถามพิลึกแบบนี้
“ฉันไปจนถึงทะเลแปซิฟิก เพื่อไปตามหาเธอ! แล้ว…” ฉินซินหยิ่งเม้มริมฝีปาก เธอลังเล ไม่แน่ใจว่าควรพูดต่อหรือไม่ ถังซีมองหน้าเธอแล้วเลิกคิ้ว “แล้วยังไงล่ะ”
ฉินซินหยิ่งถอนหายใจ “เฉียวเหลียงก็ไปตามหาเธอเหมือนกัน ทันทีที่ได้ข่าวว่าเธอประสบอุบัติเหตุ แต่ว่า…”
ถังซีมองเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย แล้วจึงขมวดคิ้ว “ฉันบอกเธอแล้วใช่ไหมว่าอย่าพูดถึงเฉียวเหลียงให้ได้ยินอีก เขาจะไปตามหาฉันก็เรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับฉัน”
เมื่อได้ยินอย่างนี้ฉินซินหยิ่งยิ้มเยาะอยู่ในใจ แต่แสร้งทำเป็นเห็นใจ “จริงสินะ ลืมไปซะเถอะ เฉียวเหลียงนั่นคงไม่ใช่คนดีอะไรขนาดนั้น ตอนแรกก็ค้นหาเธอแทบเป็นแทบตาย อีกอึดใจต่อมาก็หันไปคบกับเด็กสาวบ้านนอกคนหนึ่ง ฉันยังสงสัยอยู่เลยว่าเขาไปหลงเสน่ห์อะไรยายเด็กบ้านนอกนั่น ซึ่งไม่มีอะไรเทียบกับเธอได้เลย นอกจากจะหน้าตาสวยหน่อย”
ถังซีมองหน้าฉินซินหยิ่งแล้วยิ้มให้ “แล้วเกี่ยวอะไรกับฉันด้วยล่ะ”
เธอรู้สึกไม่ค่อยพอใจนักที่ได้ยินอย่างนี้ เด็กบ้านนอกอย่างนั้นหรือ เธอไม่ใช่แค่หน้าตาสวย แต่ยังฉลาดมากอีกด้วย ไม่รู้หรือไง!
ฉินซินหยิ่งรู้สึกผิดหวัง ที่ถังซีไม่คล้อยตามไปกับเธอ เธอทำริมฝีปากยื่น แล้วถามว่า “แล้วนี่เธอไปอยู่ที่ไหนมา”
“ก็เดินทางไปเรื่อยๆ” ถังซีตอบ “ถ้ากลับมาเมืองจีนก็ต้องมีภาระหลายอย่างที่ฉันต้องจัดการด้วยตัวเอง ฉันเลยอยู่ต่างประเทศไปก่อน แต่คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น” เมื่อกล่าวจบ ถังซีก็มองหน้าฉินซินหยิ่ง แล้วทำเสียงหัวเราะขึ้นจมูก “มีใครบางคนสะกดรอยตามคุณปู่ ฉันฆ่ามันทิ้งแน่ ถ้ารู้ว่ามันเป็นใคร”
“สะกดรอยตามคุณปู่ถัง งั้นเหรอ” มือฉินซินหยิ่งแข็งทื่อ แต่เธอก็พยายามยิ้มออกมา “จริงเหรอ ใครกันช่างกล้า”
“นั่นสิ แต่คนของฉันหาตัวมันเจอแล้วล่ะ ฉันได้เห็นรูปถ่ายแล้วด้วย พวกมันต้องสวดภาวนากันให้หนักเลยว่าอย่าให้ฉันจับตัวพวกมันได้ จับได้เมื่อไร ฉันจะจัดการให้พวกมันได้อยู่ในคุกตลอดชีวิตแน่!” ถังซียืนยันหนักแน่น ประกายความเย็นเยียบวาววับในดวงตาเธอ แต่สักครู่เธอก็สงบสติอารมณ์ลง มองหน้าฉินซินหยิ่งแล้วเลิกคิ้ว “แล้วเธอล่ะ ฉันได้ยินมาว่าเธอไปทำงานในแผนกออกแบบที่เฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุปหรือ”
ฉินซินหยิ่งเกือบสำลักน้ำดื่ม รีบอธิบายว่า “ซีซี ไม่ใช่อย่างที่เธอคิดนะ ฉันไปทำงานที่นั่นเพราะ…”
“ฉันไม่ได้ว่าอะไรเธอนี่ ทำไมถึงต้องร้อนตัว” ถังซีไม่ต้องการฟังคำพูดโกหก เธอจึงขัดขึ้นทันที ก่อนจะยกกาแฟขึ้นดื่ม “ทำให้ดีที่สุดก็แล้วกัน ถึงยังไงฉันก็ยกงานออกแบบของฉันให้เธอไปแล้ว เธอลองเอาไปประชันในงานแฟชั่นวีกสิ เผื่อว่าจะพอสร้างชื่อให้เป็นที่รู้จักขึ้นได้บ้าง”
ฉินซินหยิ่งหรี่ตาลงเมื่อได้ยินถังซีพูดข่มเธอ ในใจแอบสาปแช่งถังซีซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ปากยังแสร้งยิ้ม “จริงสิ ฉันคงไม่มีทางได้เป็นที่รู้จักแน่ ถ้าไม่ได้ภาพสเก็ตช์งานออกแบบของเธอ