หากก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่ามารดาของนางเป็นคนของสำนักแพทย์สกุลจงก็พอทำเนา
หากก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าระหว่างสำนักโอสถกับสำนักแพทย์มีความแตกต่างราวฟ้ากับดิน นางก็คงไม่ก่อเรื่องเช่นนี้
ทว่าเวลานี้ซูจิ่นซีรู้แล้ว นางไม่อาจทำตัวเหมือนคนที่ไม่รู้อันใด และไม่มีทางรามือ
สำนักโอสถยิ่งใหญ่ ชื่อเสียงเลื่องลือ ทว่าสำนักแพทย์กลับตกต่ำลงเรื่อยๆ เช่นนี้สักวันหนึ่ง ระหว่างสำนักแพทย์กับสำนักโอสถจะต้องเกิดศึกเป็นแน่
ถึงเวลานั้น ไม่ว่าผู้ใดจะแพ้หรือชนะ นางกับหลิงเซียวจวิ้นจู่ไม่มีทางมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอย่างแน่นอน
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มิสู้เตรียมการป้องกันไว้ล่วงหน้า
ผ่านไปครู่หนึ่ง ผู้ดูแลก็ถือสมุนไพรเข้ามา ซูจิ่นซีกับหลิงเซียวจวิ้นจู่รีบรับสมุนไพรและเดินออกไปทันที
ขณะที่เดินออกจากประตู หลิงเซียวจวิ้นจู่เห็นคนสองคนเดินเข้ามา แววตาของนางพลันเปล่งประกายสดใส และเอ่ยว่า “พี่ใหญ่ ท่านกลับมาแล้วหรือ? ”
หลิงเซียวจวิ้นจู่พูดพลางเดินเข้าไปหาสองคนนั้นอย่างรวดเร็ว
ซูจิ่นซีเห็นคนทั้งสองเช่นกัน นางตกตะลึงในทันใด ทั้งจังหวะก้าวเดินก็ช้าลง ด้วยเกรงว่าพวกเขาจะจำตนได้ นางจึงจงใจก้มหน้า
โลกนี้ช่างแคบยิ่งนัก ไม่คิดว่านางมาถึงแคว้นหนานหลีแล้ว ยังพบกับสองคนนี้อีก
สองคนที่มาคือศิษย์ของสำนักแพทย์เทียนอี ซึ่งเคยพบกับซูจิ่นซีที่หุบเขาเทพโอสถของอู๋จุน หนานกงหว่านเอ๋อร์และจงจิงเฉิน
ผู้ที่หลิงเซียวจวิ้นจู่เรียกว่า ‘พี่ใหญ่’ คือจงจิงเฉินแน่นอน
จงจิงเฉินดูเหมือนจะจำหลิงเซียวจวิ้นจู่ไม่ได้ จึงแสดงท่าทางสงสัย
หลิงเซียวจวิ้นจู่มีท่าทีขุ่นเคืองเล็กน้อย “พี่ใหญ่ ข้าเมิ่งหยวน หรือกระทั่งข้า ท่านยังจำไม่ได้? ”
ใบหน้าจงจิงเฉินปรากฏความประหลาดใจเล็กน้อย เขาลูบศีรษะของหลิงเซียวจวิ้นจู่ และพูดด้วยน้ำเสียงเอ็นดูว่า “ที่แท้ก็เป็นเมิ่งหยวน ไม่ได้พบกันเสียนาน น้องดูผอมลงมาก พี่ใหญ่แทบจำไม่ได้” จากนั้นจงจิงเฉินก็ยกมือขึ้น “จำได้ว่า ตอนที่พี่ใหญ่ไปสำนักแพทย์เทียนอีในครั้งนั้น เจ้าสูงเพียงเท่านี้เอง”
หลิงเซียวจวิ้นจู่ทำปากบึ้งตึง “จำไม่ได้ก็บอกว่าจำไม่ได้ ยังหัวเราะเยาะผู้อื่นอีก พูดเรื่องเมื่อตอนเป็นเด็กเพื่ออันใด? พี่ใหญ่จำข้าไม่ได้ ทว่าข้าจดจำพี่ใหญ่ได้อย่างแม่นยำ! เห็นพี่เมื่อครู่ ข้าก็จำได้ทันที! ช่างน่าโมโหนัก! ”
จงจิงเฉินได้ยินคำพูดนั้น จึงทำท่าประสานมือคำนับหลิงเซียวจวิ้นจู่ “จวิ้นจู่กล่าวได้ถูกต้อง กระหม่อมควรได้รับโทษ สมควรได้รับโทษ” อย่างไรก็ตาม การแสดงออกบนใบหน้าของจงจิงเฉินที่มองหลิงเซียวจวิ้นจู่กลับดูอบอุ่นสนิทสนม
หลิงเซียวจวิ้นจู่หันไปมองหนานกงหว่านเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ด้านข้างจงจิงเฉิน พลางสังเกตอย่างละเอียดครู่หนึ่ง จากนั้นดวงตาของนางก็เปล่งประกาย “ท่านนี้คงเป็นพี่หว่านเอ๋อร์ใช่หรือไม่? ”
หนานกงหว่านเอ๋อร์มีจรรยามารยาทครบถ้วน แตกต่างจากตอนที่อยู่บนหุบเขาเทพโอสถ นางแสดงความเคารพหลิงเซียวจวิ้นจู่ “หม่อมฉันหนานกงหว่านเอ๋อร์แห่งแคว้นซีอวิ๋น คำนับหลิงเซียวจวิ้นจู่เพคะ”
หนานกงหว่านเอ๋อร์กล่าวถึงสถานะของตนในแคว้นซีอวิ๋น
หลิงเซียวจวิ้นจู่รับการคำนับจากหนานกงหว่านเอ๋อร์โดยไม่เกรงใจ และพูดกับหนานกงหว่านเอ๋อร์ด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร “แม้ไม่เคยพบพี่หว่านเอ๋อร์ ทว่าก่อนหน้านี้ พี่ใหญ่เคยพูดถึงท่านในจดหมาย วันนี้ได้มาเห็นกับตา กิริยาท่าทางของหนานกงหว่านเอ๋อร์ช่างงดงามยิ่งนัก” นางพูดพลางเหลือบสายตามองจงจิงเฉิน
ลำคอของจงจิงเฉินเปลี่ยนเป็นสีแดงในทันที
ซูจิ่นซีหดตัวยืนอยู่ด้านหลังหลิงเซียวจวิ้นจู่ นางกำลังครุ่นคิดหาวิธีหรือข้ออ้างเพื่อที่จะไปจวนฉีอ๋องก่อน และเพื่อหลบหนีการประจันหน้าระหว่างนางกับจงจิงเฉินและหนานกงหว่านเอ๋อร์ ทว่าสายตาแหลมคมของจงจิงเฉินได้เหลือบไปเห็นซูจิ่นซีเข้าแล้ว
เขาชี้นิ้วไปทางซูจิ่นซีและถามหลิงเซียวจวิ้นจู่ว่า “คนผู้นี้คือบ่าวรับใช้คนใหม่ของเจ้าหรือ? ดูกิริยาแปลกกว่าผู้อื่นมาก”
หลิงเซียวจวิ้นจู่ขมวดคิ้ว นางใช้กำปั้นทุบไปที่หน้าอกจงจิงเฉิน “พี่ใหญ่ชอบหยอกเย้าผู้อื่นเสียจริง ท่านนี้คือสหายของพี่ฉี เขามาที่หอโอสถกับข้าครั้งนี้เพื่อจัดหาสมุนไพรให้พี่ฉี”
จงจิงเฉินมีท่าทีนิ่งขรึม “โอ้? ฉีอ๋องทรงประชวรหรือ? ”
ไม่รู้ว่าหลิงเซียวจวิ้นจู่กำลังคิดสิ่งใด เดิมทีนางต้องการพูดความจริงทั้งหมด ทว่ากลับกลืนคำพูดเหล่านั้นลงไป และเปลี่ยนคำพูดว่า “หลายวันก่อน ฝนเกิดตกตอนที่ออกไปล่าสัตว์ พี่ฉีปะทะไอเย็นจนเป็นไข้ ทว่าไม่เป็นอันใดมาก ท่านหมอซูมีวิชาแพทย์สูงส่ง จึงตรวจดูอาการให้พี่ฉีแล้ว ดื่มยาสักระยะก็หายดี! ใช่หรือไม่ ท่านหมอซู! ”
ซูจิ่นซีตกใจ รีบรับคำ “พ่ะย่ะค่ะ! ”
จงจิงเฉินเห็นท่าทางของหลิงเซียวจวิ้นจู่ก็ขมวดคิ้วมุ่น เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พูดออกไปตามตรง “เมิ่งหยวน ใช่ว่าพี่ใหญ่ไม่เคยพูด ในใจเจ้ารู้ดีถึงความสัมพันธ์ระหว่างสกุลจงของเรากับจวนฉีอ๋อง เช่นนั้น เมื่อเจ้าไม่มีอันใดทำก็มักจะไปแต่จวนฉีอ๋อง”
หลิงเซียวจวิ้นจู่แย้มยิ้ม “พี่ใหญ่ ข้าเข้าใจดี! ”
จงจิงเฉินยังไม่วางใจ เขาตบไหล่หลิงเซียวจวิ้นจู่แผ่วเบา “หากเข้าใจดี เหตุใดพี่ใหญ่ถึงต้องตักเตือนเจ้าหลายต่อหลายครั้งในจดหมาย ทั้งยังได้ยินเรื่องของเจ้ามาบ้างเช่นกัน พี่ใหญ่เกรงว่าเจ้าจะมอบความจริงใจให้ผิดคน และเขาจะทำร้ายเจ้า! ”
หลิงเซียวจวิ้นจู่แย้มยิ้ม นางไม่ต้องการพูดถึงเรื่องนี้อีก จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “พี่ใหญ่บอกว่าจะกลับมาปลายเดือนสิบสองไม่ใช่หรือ? ยามนี้เพิ่งต้นฤดูใบไม้ผลิก็กลับมาเสียแล้ว? หรือว่ามีเรื่องสำคัญอันใด? ”
“เดิมทีวางแผนจะกลับมาเดือนสิบสองเพื่อฉลองส่งท้ายปีกับท่านปู่และท่านพ่อ ทว่าโยวอ๋องแห่งแคว้นจงหนิงกำลังจะจัดพิธีสมรสกับคุณหนูใหญ่สกุลหนานกงแห่งแคว้นซีอวิ๋น ทั้งนางยังเป็นพี่สาวแท้ๆ ของหว่านเอ๋อร์ พี่ใหญ่จึงเดินทางมากราบลาอาจารย์ และเดินทางไปยังแคว้นจงหนิงพร้อมกับหว่านเอ๋อร์ ทว่าผ่านมาทางเย่หลินพอดี จึงคิดจะกลับบ้านมาเตรียมสมุนไพรล้ำค่าไปเป็นของขวัญในงานพิธีสมรส”
เยี่ยโยวเหยาจัดพิธีสมรส???
กับคุณหนูใหญ่สกุลหนานกงแคว้นซีอวิ๋น…
คุณหนูใหญ่สกุลหนานกง ก็คือหนานกงลั่วอวิ๋นไม่ใช่หรือ?
ซูจิ่นซีตกตะลึงราวกับถูกอสนีบาต นางเดินโซเซไปสองก้าว รู้สึกว่าฟ้ากำลังพังทลาย หลังจากนั้นจงจิงเฉินพูดว่าอย่างไร นางไม่ได้ยินแม้แต่น้อย
ราวกับมีบางอย่างปั่นป่วนอยู่ในอก อัดแน่นอยู่ในลำคอ ทำให้นางหายใจไม่สะดวก
ดั่งหมอกหนาทึบปิดบังดวงตา เบื้องหน้าเหมือนมีคนลอยไปลอยมา ราวกับดวงวิญญาณที่ล่องลอยในขุมนรก
หลิงเซียวจวิ้นจู่กับจงจิงเฉินยืนห่างจากซูจิ่นซีหลายก้าว พวกเขายังสนทนากันอย่างออกรสออกชาติ ทว่าซูจิ่นซีเหมือนคนขาดสติ ไม่ได้ยินสิ่งใดเลย
นางรู้สึกเพียงว่ารอยยิ้มของจงจิงเฉินและหนานกงหว่านเอ๋อร์น่ารังเกียจที่สุด ราวกับปากถ้ำขนาดใหญ่ที่คอยกลืนกินหัวใจและสติสัมปชัญญะของนาง
“ท่านหมอซู… ท่านหมอซู… ”
ใบหน้าหลิงเซียวจวิ้นจู่ค่อยๆ ขยายใหญ่อยู่เบื้องหน้าซูจิ่นซี นางโบกมือไปมาด้านหน้าและร้องเรียกซูจิ่นซีไม่หยุด ทว่าซูจิ่นซีกลับไม่ได้ยินอันใดแม้แต่น้อย
“ท่านหมอซู… ”
เสียงเรียกครั้งสุดท้ายดั่งเสียงสะท้อนที่ทะลุเข้าสู่มิติเวลา และพุ่งกระทบโสตประสาทของซูจิ่นซี ซูจิ่นซีคืนสติกลับมา นางมองใบหน้าของหลิงเซียวจวิ้นจู่ด้วยความตกตะลึง
“ท่านหมอซู ท่านเป็นอันใด? ท่านได้ยินเสียงของข้าหรือไม่? ”
ซูจิ่นซีส่ายศีรษะเรียกสติ และพูดด้วยใบหน้าซีดเซียวว่า “จวิ้นจู่พูดอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ? ”