หลิงเซียวจวิ้นจู่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เฮ้อ ท่านหมอก็จริงๆ เลย วันนี้ไม่รู้เป็นอย่างไร จิตใจเหม่อลอยไร้สติ สงสัยเป็นเพราะสหายของท่านหายตัวไป รวมถึงเรื่องของท่านอาซีจือ ภายในใจท่านคงกลัดกลุ้มยิ่งนัก กลับไปปรุงยาให้พี่ฉีแล้ว ท่านหมอก็กลับไปพักผ่อนเถิด! ”
ซูจิ่นซีพยักหน้า “ขอบพระทัยจวิ้นจู่ที่เข้าใจ! ”
หลิงเซียวจวิ้นจู่ไม่พูดอันใดอีก ทำเพียงหันหลังเดินออกไปด้านนอก “พวกเรากลับกันเถิด! พี่ฉีกำลังรอยาถอนพิษจากพวกเรา! ”
ซูจิ่นซีรีบเดินตามไป ขณะที่เดินผ่านจงจิงเฉินกับหนานกงหว่านเอ๋อร์ ซูจิ่นซีรีบเดินผ่านอย่างรวดเร็วโดยไม่แสดงท่าทางผิดปกติอันใด
รอจนหลิงเซียวจวิ้นจู่กับซูจิ่นซีขึ้นรถม้าและจากไปสักระยะหนึ่ง หนานกงหว่านเอ๋อร์จึงหันไปมองตามเส้นทางที่รถม้าวิ่งไป
จงจิงเฉินหันไปมองตามทิศทางที่หนานกงหว่านเอ๋อร์มอง และพูดด้วยความสงสัยว่า “ศิษย์น้อง เจ้ามองอันใดหรือ? ”
หนานกงหว่านเอ๋อร์กล่าวด้วยน้ำเสียงครุ่นคิด “ศิษย์พี่จง ท่านรู้สึกหรือไม่ว่าท่านหมอซูที่เดินตามหลังน้องสาวของท่าน ช่างดูคุ้นหน้ายิ่งนัก”
“คุ้นหน้าหรือ? ” จงจิงเฉินหันไปมองตามเส้นทางที่หลิงเซียวจวิ้นจู่กับซูจิ่นซีเดินจากไป ก่อนจะพูดว่า “พี่ไม่มีความรู้สึกเช่นนั้น! ”
หนานกงหว่านเอ๋อร์มองจงจิงเฉินด้วยท่าทีแปลกใจ “ช่างเถิด บางทีข้าอาจคิดมากไป”
เส้นทางกลับมายังจวนฉีอ๋อง ซูจิ่นซีนั่งเงียบมาตลอดทาง หลิงเซียวจวิ้นจู่เห็นซูจิ่นซีจิตใจเหม่อลอย ทั้งยังมีท่าทีครุ่นคิด จึงไม่คิดรบกวนซูจิ่นซี
เมื่อกลับมาถึงจวนฉีอ๋อง ซูจิ่นซีตรวจดูอาการมู่หรงฉีอีกครั้ง หลังจากที่พวกนางออกไปตามหาสมุนไพร อาการบาดเจ็บของมู่หรงฉีไม่มีอันใดแตกต่างหรือเปลี่ยนแปลงมากนัก
หากต้องการปรุงยาถอนพิษให้มู่หรงฉี ยังต้องใช้สมุนไพรบางส่วนจากระบบถอนพิษ นอกจากนั้น อารมณ์ของซูจิ่นซีในยามนี้ก็ไม่สู้ดีนัก ทั้งนางยังไม่ชอบให้ผู้ใดรบกวนเวลาที่ทำการรักษา นางจึงพูดกับหลิงเซียวจวิ้นจู่
“จวิ้นจู่ รบกวนท่านกับบ่าวรับใช้ออกไปรอด้านนอกเถิด กระหม่อมจะปรุงยาถอนพิษให้ฉีอ๋อง”
หลิงเซียวจวิ้นจู่ไม่รู้ว่าเวลาที่ซูจิ่นซีทำการรักษา นางไม่ชอบให้มีคนคอยรบกวนอยู่ข้างๆ
“ท่านหมอซู เพียงปรุงยาถอนพิษให้พี่ฉีไม่ใช่หรือ? เหตุใดต้องให้พวกเราออกไปข้างนอกด้วย! ข้าก็เป็นห่วงอาการบาดเจ็บของพี่ฉีเช่นกัน พวกเรายืนอยู่ด้านข้างเงียบๆ โดยไม่รบกวนท่านได้หรือไม่? ”
ซูจิ่นซีมีท่าทางเคร่งเครียด นางไม่ต้องการอธิบายไปมากกว่านี้ จึงพูดด้วยสีหน้าบึ้งตึงว่า “จวิ้นจู่เชิญออกไปรอด้านนอกเถิด! ”
“ก็ได้! ข้าจะไปรอด้านนอก ท่านหมอซู ไม่ว่าอาการบาดเจ็บของพี่ฉีจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร ท่านต้องรีบมาบอกข้านะ”
ซูจิ่นซีพยักหน้า
หลิงเซียวจวิ้นจู่พาบ่าวรับใช้เดินออกไปนอกห้องและปิดประตูตามหลัง
เมื่อเหลือซูจิ่นซีเพียงคนเดียว ภายในห้องจึงเงียบสงบ หัวใจที่หนักอึ้งของนางยิ่งตึงเครียดมากขึ้น
ทว่าบนเตียงนอนยังมีมู่หรงฉีที่กำลังรอให้นางช่วยชีวิต
ไม่ว่าหัวใจของนางจะเจ็บปวดเพียงไร เหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าเท่าไร นางต้องทำภารกิจนี้ให้สำเร็จเสียก่อน รักษาคนป่วยที่กำลังรอนาง
ซูจิ่นซีเดินไปข้างเตียงของมู่หรงฉีอย่างเชื่องช้า ทว่าระยะห่างเพียงไม่กี่ก้าว ราวกับต้องใช้พลังของนางทั้งชีวิต
นางหยิบเข็มเงินออกจากอกเสื้อ และฝังเข็มที่จุดสำคัญบนร่างกายของมู่หรงฉี จากนั้นก็หยิบยาบางชนิดจากระบบถอนพิษออกมาให้มู่หรงฉีทาน
ต่อมาจึงนำบรรดาสมุนไพรที่นำมาจากหอโอสถสกุลจงใส่ลงไปในถ้วยบด ทำการผสมจนเป็นเม็ดลูกกลอนและยาขี้ผึ้งสำหรับทา
ซูจิ่นซีทายาขี้ผึ้งบนร่างกายของมู่หรงฉี และให้มู่หรงฉีทานยาเม็ดลูกกลอน
เมื่อทำตามขั้นตอนทั้งหมดเรียบร้อย นับว่าดำเนินการถอนพิษให้มู่หรงฉีจนเสร็จสิ้น
ท้องฟ้าเริ่มมืดสลัว ยามค่ำคืนกำลังมาเยือน
ระยะทางจากข้างเตียงถึงข้างโต๊ะห่างกันเพียงไม่กี่ก้าว ซูจิ่นซีรู้สึกว่าจิตใจของนางเหนื่อยล้ายิ่งนัก นางไม่มีเรี่ยวแรงกระทั่งจะเดินไปนั่งที่ข้างโต๊ะ
จบสิ้นแล้ว เรื่องที่อาลัยอาวรณ์อยู่ในใจ ความนิ่งขรึมอันไร้ที่สิ้นสุดถูกนางปกปิดและควบคุมไว้ภายในก้นบึ้งของหัวใจมาตลอด ตั้งแต่หอโอสถสกุลจงจนถึงจวนฉีอ๋อง รวมถึงช่วงเวลาที่นางรักษาอาการบาดเจ็บให้มู่หรงฉี นางไม่ได้ปลดปล่อยความเจ็บปวดออกมา ทว่ายามนี้ ความเจ็บปวดทุกข์ทรมานพลันระเบิดออกมา มันกลืนกินหัวใจของนางอย่างบ้าคลั่ง
เยี่ยโยวเหยากำลังจะเข้าพิธีอภิเษกสมรส!
เยี่ยโยวเหยากำลังจะอภิเษกสมรสกับหนานกงลั่วอวิ๋น!
บุรุษที่เคยบอกว่าจะมีเพียงนางคนเดียวตลอดชั่วชีวิตนี้ เขากำลังจะแต่งงานกับสตรีอื่นแล้ว!
ซูจิ่นซีมือไม้อ่อนแรง ถ้วยยาที่อยู่ในมือตกลงบนผ้าห่มของมู่หรงฉีด้วยเสียงที่ไม่ดังมากนัก คนที่รออยู่ด้านนอกจึงไม่ได้ยิน ซูจิ่นซีที่กำลังเศร้าโศกเสียใจยิ่งไม่รับรู้สิ่งใด
นางใช้มือค้ำยันไว้ข้างเตียง ร่างกายค่อยๆ เลื่อนลงนั่งคุดคู้อยู่บนพื้น ราวกับลูกกวางน้อยที่โดดเดี่ยวและบาดเจ็บไปทั้งตัว นางนั่งกอดเข่าแน่นอยู่ข้างเตียงนอนของมู่หรงฉี
ซูจิ่นซีไม่กล้าส่งเสียงดัง เกรงว่าหลิงเซียวจวิ้นจู่กับคนอื่นที่รออยู่ด้านนอกจะได้ยิน ยิ่งไม่กล้าเผยความอ่อนแอและความต้อยต่ำของตนเอง
ทำได้เพียงส่งเสียงสะอื้นอยู่ภายในใจ ซุกซ่อนความทุกข์ไว้ไม่ให้ผู้ใดเห็น
ยามดึกสงัด ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ แสงจันทร์สว่างไสวสาดส่องเข้ามาภายในห้อง ปกคลุมร่างอันบอบบางของซูจิ่นซี
ทว่าแสงจันทร์ที่เลือนรางเช่นนี้ จะปกปิดความอ้างว้างและความโดดเดี่ยวของนางได้อย่างไร?
ตรงกันข้าม มันยิ่งทำให้นางรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างมากกว่าเดิม
ครู่หนึ่ง มู่หรงฉีที่ทานยาถอนพิษของซูจิ่นซีเข้าไปก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ทว่าดวงตาของเขาพร่ามัว ไม่ทันมองเห็นเหตุการณ์ที่อยู่เบื้องหน้า เขาเห็นเพียงเงาของคน จึงหลับตาลงไปอีกครั้ง
ผ่านไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่ามู่หรงฉีพบเห็นผู้ใดในความฝัน ยิ่งไม่รู้ว่าเขาที่ถูกพิษจนร่างกายอ่อนแอไปเอาพลังมาจากไหนจึงลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว และดึงรั้งซูจิ่นซีที่นั่งอยู่ข้างเตียงเข้ามาในอ้อมกอด มู่หรงฉีกอดซูจิ่นซีแน่น
“จื่อเยียน… ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว จื่อเยียน… ในที่สุดเจ้าก็กลับมาหาข้า กลับมาอยู่ข้างกายข้าแล้ว ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปที่ใดอีก จะไม่ให้เจ้าหนีข้าไปอีกแล้ว… ”
“มู่หรงฉี ท่านทำอันใด? มู่หรงฉี ท่านปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ ข้าไม่ใช่จงจื่อเยียน ข้าคือซูจิ่นซี ข้าคือซูจิ่นซี ท่านปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้! ”
ซูจิ่นซีตั้งสติได้และพยายามดิ้นรนสุดกำลัง ทว่ามู่หรงฉีราวกับละเมอ ปากพร่ำเพ้อแต่ชื่อจงจื่อเยียนไม่หยุด ทั้งยังกอดซูจิ่นซีไว้ในอ้อมกอดแน่น ราวกับไม่ต้องการให้นางจากไปไหน
ซูจิ่นซีพยายามใช้แรงผลักมู่หรงฉีออกไป มู่หรงฉีลุกขึ้นอย่างกะทันหัน ทว่านางยังไม่ทันได้ขยับตัวตาม มู่หรงฉีก็ดึงแขนเสื้อของนาง ทั้งสองฝ่ายต่างยื้อยุดฉุดกระชากกัน ทันใดนั้น เสื้อชั้นนอกและชั้นในของซูจิ่นซีก็ฉีกขาดดัง ‘แคว๊ก’
ซูจิ่นซีตกตะลึง นางต้องการหลบหนีออกไป ทว่ามู่หรงฉีกลับออกแรงรั้งนางอีกครั้ง ซูจิ่นซีที่ยืนอยู่ขอบเตียงอย่างไม่มั่นคงจึงถูกมู่หรงฉีฉุดขึ้นไปบนเตียง และล้มลงไปในอ้อมอกของมู่หรงฉี
“พี่ฉี ท่านเป็นอันใดหรือไม่… ”
ทันใดนั้น ประตูก็ถูกผลักเข้ามาอย่างรุนแรงจนเกิดเสียงดัง ‘ปัง’ หลิงเซียวจวิ้นจู่เข้ามาในห้องอย่างกะทันหัน และเห็นพวกเขาทั้งสองนอนอยู่บนเตียงในสภาพที่ไม่อาจจ้องมองโดยตรงได้ ใบหน้าของนางซีดเผือด นางยืนตกตะลึงอยู่ตรงนั้นดั่งถูกสายฟ้าฟาด
“พี่ฉี พวกท่าน… พวกท่าน… ”