บีพาอันที่กำลังจัดการงานเล็กงานน้อยในช่วงเช้าอยู่หยิบจดหมายฉบับเล็กๆ ฉบับหนึ่งออกมาจากกองหนังสือม้วนร้องทุกข์ที่ขันทีนำมาวางไว้ให้ใหม่ เขากำลังค่อยๆ ทยอยหยิบจดหมายที่กองอยู่ขึ้นมาอ่านทีละฉบับ ในตอนที่หยิบมันออกมานั้น บีพาอันไม่รู้สึกถึงความผิดปกติอันใดจากจดหมายฉบับนั้นแม้แต่น้อย
กลิ่นบุปผาแห่งฤดูใบไม้ผลิฟุ้งกระจายออกมาจากจดหมาย และเมื่อเขากางผ้าแพรผืนงามที่ห่อจดหมายนั้นไว้ ดอกไม้แห้งดอกเล็กที่ถูกทับไว้จนแบนเรียบก็หล่นลงมา บนแผ่นกระดาษที่ถูกแปะติดกับผ้าแพรทองที่ถูกถักทอด้วยด้ายสีนั้นมีตัวหนังสือเล็กกระทัดรัดเขียนไว้อยู่
จดหมายแนบดอกไม้งั้นหรือ
บีพาอันไร้คำพูดอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็หยิบดอกไม้ที่ร่วงอยู่บนตักมาแนบไว้ที่จดหมายเช่นเดิมแล้วพับมันไว้ครึ่งหนึ่งโดยที่ไม่แม้แต่จะอ่านเนื้อความในจดหมายนั้น บีพาอันเอ่ยถามขันทีที่ยืนอยู่ข้างๆ โดยไม่หันหาไปมองทางนั้นเพียงนิด
“นี่คืออันใดกัน”
บีพาอันเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดัน ขันทีที่คอยช่วยงานอยู่ข้างๆ พลันฟุบตัวลงที่พื้นแล้วก้มหัวลง
“เป็นจดหมายที่ส่งมาจากพระตำหนักดงบีพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินชื่อตำหนักดงบี คิ้วของบีพาอันก็กระตุกเบาๆ เป็นการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยที่ไม่มีใครทันสังเกตุ เขาจ้องเขม็งไปที่จดหมายฉบับนั้น ถึงแม้ว่าเขาเองอยากจะลองเปิดมันอ่านดูอีกครั้ง ทว่ามือกลับไม่ยอมขยับ ราวกับเห็นใบหน้าของกโยซึลออกมาจากตัวหนังสือเล็กกะทัดรัดนั่น แนบดอกไม้ไว้ในจดหมายงั้นหรือ ช่างทำตัวไร้สาระสมกับเป็นนาง
“แม่นมที่คอยรับใช้พระชายาฮวางแทจามารบเร้าขอร้อง กระหม่อมจึงบังอาจนำมาถวายพ่ะย่ะค่ะ
ขันทีเร่งรีบอธิบายแก่บีพาอัน ตัวของเขาสั่นระริกด้วยเกรงว่าจะทำให้นายของตนไม่พอใจเข้า เหตุเพราะบีพาอันนั้นเป็นเจ้านายที่ทั้งเข้มงวดและน่ากลัวยิ่งกว่าใคร
บีพาอันไม่แม้แต่จะเหลียวมองขันทีที่ทรุดหมอบลงที่พื้น เขาทำเพียงนั่งตัวตรงจ้องมองไปยังจดหมายที่ถูกพับไว้ครึ่งหนึ่งบนโต๊ะหนังสือ กลิ่นหอมสดชื่นของบุปผาแห่งฤดูใบไม้ผลิกระทบเข้าที่จมูกจนรู้สึกคันยุบยิบ บีพาอันที่รู้สึกคันที่สันจมูกเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา
“เอาออกไป”
“ทราบด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีคลานเข่าเข้ามาหา พร้อมกับยังคงก้มหัวไว้แล้วน้อมรับจดหมายด้วยสองตัว เขายกจดหมายไว้เหนือหัวแล้วลุกขึ้นยืนช้าๆ และก้าวถอยหลังออกไป เมื่อขันทีจวนจะถึงประตูห้อง
“เดี๋ยว”
บีพาอันที่กำลังเปิดจดหมายฉบับใหม่เอ่ยเรียกขันทีไว้ ขันทีหยุดก้าวทันทีพร้อมกับน้อมตัวลง บีพาอันที่ยังคงปิดปากเงียบหลังจากที่เรียกขันทีไว้กรอกตาไปมาเล็กน้อยพร้อมกับพูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจว่า
“ไม่ต้องนำไปไว้ข้างนอก เก็บเอาไว้ข้างในนี้”
“ทราบด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีค้อมหัวลงและก้าวเข้ามาข้างในอีกครั้ง เขาม้วนจดหมายที่ถูกห่อด้วยผ้าแพรทองไว้อย่างเรียบร้อยอีกครั้ง แล้วนำไปวางบนโต๊ะเล็กข้างเตียง บนริมฝีของขันทีที่ก้าวถอยออกมานั้นเปื้อนรอยยิ้มจางๆ
***
บีพาอันที่จัดการงานทั้งหมดของช่วงกลางวันเสร็จสิ้นแล้วมุ่งหน้าไปยังตำหนักขององค์จักรพรรดิที่อยู่ส่วนกลางของราชสำนักตามคำสั่งของออฮยูลเจ เมื่อบีพาอันมาถึงตำหนักของจักรพรรดิก็ได้พบกับออฮยูลเจที่กำลังปรึกษาเรื่องการเมืองอยู่กับเหล่าขุนนางที่ไว้วางใจ บีพาอันกำลังจะเข้าไปร่วมวง ด้วยนึกว่าตนถูกเรียกมาเพราะการนี้ แต่ออฮยูลเจกลับจบการหารือและส่งเหล่าขุนนางกลับทันทีที่เห็นบีพาอันเข้ามา บีพาอันที่สงสัยต่อการกระทำนั้นของออฮยูลเจเดินเข้าไปใกล้ๆ โดยไม่พูดอะไร แล้วกล่าวคำสรรเสริญ
“ขอทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี เข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิพ่ะย่ะค่ะ”
บีพาอันชันเข่าข้างหนึ่งขึ้นเพื่อทำความเคารพ หลังกล่าวคารวะเสร็จจึงไปนั่งที่ที่นั่ง
“ได้ยินมาว่า”
ในขณะที่บีพาอันกำลังจะถามถึงสาเหตุที่เรียกตนมา ออฮยูลเจก็พูดขึ้นมาก่อน หลังจากออฮยูลเจพูดคำว่า ‘ได้ยิน’ บีพาอันก็พลันไม่สบายใจขึ้นมา หากออฮยูลเจบอกว่า ‘ได้ยิน’ แล้วนั้น เรื่องเหล่านั้นล้วนมาจากสนมยูเป็นแน่ นางนั้นขึ้นชื่อเรื่องการสร้างข่าวลือที่ไม่มีมูลด้วยความที่ปากไม่มีหูรูดและถือดีอย่างไม่รู้กาลเทศะ แต่กระนั้นบีพาอันก็ไม่ได้แสดงว่าตนนั้นกำลังกังวลใจออกมาทางสีหน้า
“ชายาฮวางแทจาและชายารองฮวางแทจาอยู่ตำหนักคนเดียว”
“คนปากพล่อยผู้ใดกันที่กล้าปลุกปั่น นำเรื่องเช่นนี้มาทูลถวายพ่ะย่ะค่ะ”
ไม่ต้องถามก็รู้ แต่ทว่าบีพาอันก็ยังคงแกล้งทำเป็นไม่รู้แล้วพูดกระทบถึงสนมยู
“จะใครนำมาบอกก็ช่าง แต่นั่นเป็นเรื่องจริงหรือไม่”
ออฮยูลเจที่พูดอย่างเนิบช้าและนุ่มนวลพลันเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นทุ้มต่ำกดดัน
“เห็นว่าชายารองไม่แม้แต่จะได้เข้าหอ จริงหรือไม่ที่ฮวางแทจาไม่ไปหาพวกนางเลย”
“…”
“องค์จักรพรรดิมิได้กำลังถามเจ้าอยู่หรือ!”
เมื่อเห็นว่าไร้คำตอบจากบีพาอัน ออฮยูลเจจึงเพิ่มเสียงขึ้น การที่ชายาเอกและชายารองฮวางแทจาถูกหมางเมินจากฮวางแทจานั้นแตกต่างกับการที่หญิงชาวบ้านที่แต่งงานแล้ว แต่กลับอยู่คนเดียว ไม่ว่าจะอย่างไรสายเลือดของราชวงศ์ย่อมสำคัญที่สุด เพราะฉะนั้นฮวางแทจาผู้ซึ่งรับรู้ถึงความสำคัญนี้เป็นอย่างดีย่อมต้องพยายามมีสายเลือดให้ได้มากที่สุดจึงจะถูกต้อง นี่เป็นหน้าที่ที่สำคัญที่สุดของฮวางแทจา แต่ฮวางแทจากลับไม่ไปเยือนตำหนักชายาของตนเลยอย่างนั้นหรือ
ยิ่งไปกว่านั้นจนถึงตอนนี้สายเลือดที่ถือกำเนิดจากผู้สืบทอดบัลลังก์กลับมีเพียงหนึ่ง เพราะเหตุนี้ออฮยูลเจจึงเดือดดาลเป็นอย่างมาก ราชสำนักไม่เคยมีสายเลือดน้อยถึงเพียงนี้มาก่อน ในตอนที่ออฮยูลเจเป็นฮวางแทจา ตนมีโอรสสามพระองค์ และธิดาอีกหนึ่งอยู่แล้วเสียด้วยซ้ำ บีพาอันที่นั่งเงียบอยู่ต่อหน้าออฮยูลเจที่ตอนนี้เต็มไปด้วยความเดือดดาล เอ่ยตอบออกไปอย่างช่วยไม่ได้
“เป็นเรื่องจริงพ่ะย่ะค่ะ”
“ฮวางแทจา!”
ตึง!
ออฮยูลเจฟาดมือลงพนักวางแขนอย่างแรงจนเสียงดังก้องไปทั่วทั้งตำหนัก
“เจ้าคงไม่อยากเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไปสินะ มิรู้หรือว่าบัลลังก์ของจักรพรรดิที่ไม่มีผู้สืบทอดนั้นอันตรายเพียงใด”