กโยยองที่ลูบมือกโยซึลอยู่หยุดชะงัก การเปิดเผยความริษยาของหญิงสาวนั้นแสดงให้เห็นถึงความจริงใจ และเพราะเหตุนี้กโยยองจึงคิดไว้แล้วว่าหากตนเปิดเผยมันออกมา กโยซึลอาจจะเปิดเผยสิ่งใดกับตนอีกก็เป็นได้ และกโยซึลก็พลั่งพรูสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าที่ตนคาดคิดไว้มากนักออกมาจริงๆ ในตอนนี้กโยยองไม่รู้ว่าตัวเองกลับกลอกหรือกำลังหวั่นเกรงอยู่กันแน่ กโยยองที่พูดสิ่งใดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่งกลับมาลูบมือของกโยซึลอีกครั้งพร้อมกับถามว่า
“มะ หมายความว่าอย่างไรเพคะ”
กโยซึลแย้มยิ้มอย่างขมขื่นพร้อมเอ่ยต่อว่า
“ที่จริงแล้วที่เราล้มป่วยลงเป็นเพราะเราตรอมใจที่เราที่เป็นพระชายาฮวางแทจาไม่สามารถมอบใจให้กับฝ่าพระบาทฮวางแทจาได้ เราไม่สามารถทนกับความเย็นชาของเขาได้ เราจะมอบใจให้กับผู้ที่ไม่แสดงความรู้สึกใดเลยได้อย่างไรกัน มีแต่จะเกรงกลัว และ…เวทนาเขาเท่านั้น”
กโยซึลส่ายหน้าไปมา เมื่อกโยยองเห็นรอยยิ้มที่ว้าวุ่นใจนั้นก็รู้ได้ทันทีว่ากโยซึลพูดเรื่องจริง ถึงแม้ว่าจะดูโง่เขลาอย่างน่าตกใจแต่เรื่องนี้เป็นความจริงอย่างแน่นอน กโยยองกลืนน้ำลายอย่างฝืดเคือง ขนทั่วทั้งตัวของนางลุกชัน ในหัวของกโยยองเอาแต่ครุ่นคิดว่าควรจะรับมืออย่างไรกับสิ่งที่กโยยองสารภาพออกมา
ยังเด็กมากจริงๆ ทั้งเด็กและใสซื่อจนไม่รู้ว่าจะเอาตัวรอดอยู่ในพระราชวังแห่งนี้ได้อย่างไร
การพูดถึงเรื่องรักใคร่ในพระราชวังว่าน่าขันแล้ว แต่การเปิดเผยความในใจของตนเองที่มีต่อพระสวามีช่างเป็นเรื่องที่ไม่รอบคอบเป็นอย่างยิ่ง ในตอนนั้นกโยยองคาดเดาถึงหนทางต่างๆ มากมาย
นางเป็นชายารอง ถึงแม้ว่าตนจะได้เป็นคนของฮวางแทจาแล้ว แต่ทว่าก็เป็นเพียงแค่ชายารองเท่านั้น แม้ว่าตำแหน่งพระชายาเอกจะยังว่างอยู่แต่ตนก็ถูกแต่งตั้งให้เป็นเพียงพระชายารอง เพราะเหตุนี้นางจึงใจสลายและทำได้แค่เพียงมองตามเงาของสามีตนมาตลอด ทว่าแม่นางน้อยผู้ที่มียศสูงกว่าตนคนนี้ช่างเด็กกว่าที่คิดไว้นัก กโยยองเห็นถึงความอ่อนแอของกโยซึลได้ในทันทีตั้งแต่ที่ตนไปเยือนตำหนักของนางเพื่อหวังเรียกศักดิ์ศรีของตนคืน และในตอนนี้ก็เช่นเดียวกัน
“มิต้องทรงกลัวไปเพคะ นั่นเป็นเพราะว่าพระชายากโยซึลทรงยังเยาว์นัก จึงยังทรงไม่สามารถรับมือกับฝ่าพระบาทฮวางแทจาได้เท่านั้นเองเพคะ”
กโยยองที่แย้มยิ้มเมตตาพูดปลอบกโยซึล คำที่ว่ากโยซึลที่เป็นชายาเอกไม่สามารถรักฮวางแทจาได้นั้นทำให้นางโล่งใจเป็นอย่างมาก
“ยิ่งไปกว่านั้น เราไม่เข้าใจฝ่าพระบาทที่ทรงตรัสว่าไม่ต้องการความจริงใจจากเราเลย หากทรงประสงค์เช่นนั้นเหตุใดจึงยอมแต่งงานเป็นสามีภรรยากับเรา หากเพียงแค่ทรงต้องทำตามหน้าที่ มันจะมีความหมายอันใดกันหรือ”
อาจเป็นเพราะได้พูดออกมาแล้ว ในตอนนี้กโยซึลจึงพรั่งพรูคำพูดออกมาไม่หยุด การแต่งงานในความคิดของกโยซึลนั้นคือการที่คนสองคนมอบความจริงใจให้แก่กัน บ่มเพาะความรู้สึกรักใคร่ต่อกันและกันจนไม่อาจทนต่อความรู้สึกที่ต้องการอยู่ร่วมกันได้จึงตัดสินใจให้คำมั่นว่าจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน แต่ทว่าตั้งแต่ที่ตนต้องข้ามเขตแดนมาเพื่อแต่งงานกับชายที่ตนไม่แม้แต่เคยได้พบหน้ามาก่อนเพียงเพราะเศษกระดาษแผ่นเดียว ตนก็ได้รู้ว่าตนได้ก้าวเข้ามายังโลกอีกใบหนึ่งที่แตกต่างกับโลกที่ตนเคยรู้จักอย่างสิ้นเชิง
“เพราะฉะนั้น”
กโยซึลที่พรั่งพรูความในใจด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือมาตลอดปรับเสียงของตนให้คงที่ขึ้น นี่เป็นคำตอบที่กโยซึลได้รับหลังจากที่นางครุ่นคิดกับตนเองตลอดเวลาที่ขังตัวเองอยู่ในตำหนักดงบี
“ถึงแม้ว่าเราจะได้เป็นชายาของฝ่าพระบาทด้วยเหตุผลนั้น แต่เราก็ตั้งใจจะทำตามหน้าที่ของชายาเอกให้ได้มากที่สุด”
“หน้าที่ของชายาเอกหรือเพคะ…”
“ด้วยความสัมพันธ์ที่ห่างเหินเช่นนี้เราไม่มั่นใจว่าจะอยู่เคียงข้างฝ่าพระบาทได้ ดังนั้นเราจึงตั้งใจว่าจะสร้างไมตรีกับฝ่าพระบาท อย่างน้อยก็ในวิธีของเราเอง”
ใบหน้าของกโยยองบิดเบี้ยว นางคาดเดาว่ากโยซึลเองก็น่าจะได้ฟังคำพูดที่ตนเองก็ได้ฟังมาเช่นกัน แต่กระนั้นกโยซึลไม่เพียงแต่คิดจะไม่ทำตามสิ่งที่บีพาอันต้องการ แต่ยังคิดที่จะทำสิ่งที่เขาไม่ชอบด้วย เช่นนี้กโยซึลคงไม่เพียงแค่ยังเด็กแล้ว แต่ยังโง่งมอีกด้วย
“ฝ่าพระบาทฮวางแทจาอาจจะทรงไม่พอพระทัย หากมีเรื่องที่ทำให้รำคาญพระทัยนะเพคะ”
“เราทูลบอกพระองค์ไปแล้วว่าจะพยายามสร้างไมตรีกับพระองค์”
“แล้วฝ่าพระบาททรงว่าอย่างไรบ้างเพคะ”
“ทรงตรัสว่าเรากล้าหาญ แล้วก็เดินจากไป”
“อย่างนั้นหรือเพคะ”
กโยยองเงียบไปครู่หนึ่ง นางไม่แน่ใจว่าตนเผยความไม่พอใจออกไปหรือไม่ แต่ดูท่าแม่นางน้อยผู้นี้คงจะตัดสินใจแน่วแน่แล้ว กโยยองที่ใคร่ครวญอยู่ในหัวในที่สุดก็ได้ข้อสรุปว่านี่อาจเป็นประโยชน์กับตน หากเป็นเป็นไปตามที่กโยซึลตัดสินใจจะทำ บีพาอันจะต้องเดือดดาลเป็นแน่ ขอเพียงแค่ความเดือดดาลนั้นไม่ได้มีให้ตน แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
“หม่อมฉันจะกล้าออกความเห็นใดได้เพคะ ในเมื่อพระชายากโยซึลทรงตัดสินพระทัยแล้ว หม่อมฉันคงทำได้แค่เอาใจช่วยเพคะ”
“ขอบใจนะ เรารู้อยู่แล้วว่ากโยยองต้องเข้าใจเราแน่ เราเห็นว่ากโยยองรักฝ่าพระบาทจึง
บอกกโยยองไว้ก่อนเพื่อไม่ให้กโยยองคิดมาก”
“ทรงตั้งใจจะทำอย่างไรต่อเพคะ เรื่องที่ทรงจะสร้างไมตรีกับฝ่าพระบาทฮวางแทจา”
“คิดอะไรได้เราก็ตั้งใจว่าจะทำสิ่งนั้น”
“พระชายากโยซึลเพคะ”
กโยยองเอ่ยเรียกกโยซึลที่ทำท่าครุ่นคิดอยู่
“ทรงสัญญากับหม่อมฉันเรื่องหนึ่งได้หรือไม่เพคะ”
“เรื่องใดหรือ”
“หากวันใด… ทรงหวั่นไหวต่อฝ่าพระบาทฮวางแทจา ขอทรงตรัสแจ้งหม่อมฉันก่อนได้หรือไม่เพคะ”
“เข้าใจแล้ว เราจะบอกกโยยองแน่นอน”
กโยซึลย่นจมูกหลังจากได้ยินคำร้องขอของกโยยอง นางคิดเพียงว่าความรักที่กโยยองมีให้บีอาพันนั้นช่างน่าชื่นชมนัก
“เป็นพระมหากรุณาอย่างยิ่งเพคะ”
กโยยองเพียงต้องการเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจขึ้นไว้ก่อน เท่านี้ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว กโยยองยกยิ้มสดใสให้กับกโยซึลที่มองมาที่นางด้วยใบหน้าที่ใสซื่อและเข้าอกเข้าใจต่อความรักของนาง
ไม่แน่ว่าตำแหน่งพระชายาเอกอาจจะว่างอย่างง่ายดายกว่าที่คิด
รอยยิ้มเย็นชานั้นแฝงไปด้วยเป้าหมายที่แตกต่างกับกโยซึลโดยสิ้นเชิง
***
กโยซึลเริ่มทำตามเป้าหมายของตนโดยทันที หลังจากที่ไตร่ตรองแล้ววิธีแรกต้องอาศัยความช่วยเหลือจากแม่นม แม่นมนั้นได้ทำตามความประสงค์ของนายตนเองอย่างเต็มที่ นางไปขอความช่วยเหลือจากขันทีตำหนักดงชอน ทว่าขันทีนั้นกลับเลี่ยงตอบรับด้วยท่าทีลำบากใจกว่าที่คิดไว้
“ฝ่าพระบาทฮวางแทจาทรงเคร่งครัดต่องานบ้านเมืองนัก ไม่แน่ว่าอาจทรงตำหนิได้นะขอรับ”
“หากทรงตำหนิหม่อมฉันจะรับผิดชอบเองเจ้าค่ะ หม่อมฉันเองหากไม่นำไปถวายให้ถึงมือก็อาจถูกพระชายาตำหนิได้เช่นกันเจ้าค่ะ”
“เหอะ จริงๆ เลย”
แต่แม่นมเองก็ไม่ยอมแพ้โดยง่าย นางเองรับใช้เจ้านายชั้นสูงอยู่เช่นกันจึงจำเป็นต้องทำตามคำสั่งที่ได้รับเท่านั้น นางยัดของสิ่งหนึ่งใส่มือของขันทีที่ทำท่าแบ่งรับแบ่งสู้อยู่ ก้าวเดินของขันทีที่มุ่งตรงไปยังตำหนักดงชอนเต็มไปด้วยความลำบากใจ ทว่าก้าวเดินของแม่นมที่มุ่งหน้ากลับไปยังตำหนักดงบีนั้นเต็มไปด้วยความเบาใจ