กโยซึลมาถึงตำหนักดงบินซึ่งเป็นตำหนักของกโยยองในไม่ช้า เมื่อเดินข้ามประตูใหญ่เข้าไปไม่นานก็เจอตำหนักกลาง เมื่อเดินข้ามประตูใหญ่ของตำหนักกลาง แม่นมก็ตะโกนแจ้งขึ้นว่า
“พระชายาฮวางแทจา กโยซึลเสด็จ”
ซังกุงที่ยืนอยู่ประจำประตูหน้าส่งต่อคำไปยังซังกุงและนางกำนัลที่ประจำอยู่ที่ประตูแต่บานเพื่อแจ้งแก่กโยยอง เนื่องจากกโยซึลยศสูงกว่ากโยยองจึงสามารถเข้าไปด้านในได้โดยไม่ต้องรอการตอบรับ ดังนั้นหลังจากที่นางกำนัลเข้ามาแจ้งว่ากโยซึลมาที่ตำหนักไม่นาน กโยยองก็เห็นกโยซึลที่เดินเข้ามายังหนังบรรทม
“ขอทรงพระเจริญพันปี พันปี พันพันปี เข้าเฝ้าพระชายาฮวางแทจาเพคะ”
กโยยองที่นั่งอยู่ลุกขึ้นย่อทำความเคารพกโยซึลแล้วจัดเตรียมเบาะรองนั่งให้ กโยซึลที่นั่งลงบนเบาะรองนั่งที่กโยยองนั่งอยู่เมื่อครู่ฉีกยิ้มสดใส พร้อมกับพูดว่า
“ที่ผ่านมากโยยองมาหาเราตลอด ครั้งนี้เราเลยมาหากโยยองบ้าง”
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่งเพคะ พระชายากโยซึล พระวรกายทรงเป็นอย่างไรบ้างเพคะ”
“อ้อ ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว เดิมทีร่างกายของเราก็ไม่ได้อ่อนแออะไร เพียงแค่ยังไม่คุ้นชินกับความเข้มงวดในราชสำนัก ร่างกายจึงอ่อนแอลงเท่านั้น”
เมื่อเห็นกโยซึลแย้มยิ้มอย่างเขินอาย กโยยองจึงยิ้มตาม รอยยิ้มของกโยยองไม่ว่าเมื่อใดก็อบอุ่นเสมอ นางแก่กว่ากโยซึลเพียงแค่ปีเดียวเท่านั้นแต่กลับดูเป็นผู้ใหญ่กว่ามาก ทว่าในวันนี้สายตาของกโยยองที่ฉายแววเข้าอกเข้าใจและคอยปกป้องกโยซึลดั่งพี่สาวแท้ๆ อยู่เสมอกลับหม่นแสงเล็กน้อย
“กโยยอง ไม่ทราบว่าไม่สบายตรงไหนหรือไม่”
เมื่อได้ยินคำถามของกโยซึลพลันตัวของกโยยองก็กระตุกสั่น นางทำหน้าเหยเกแล้วก้มหน้าลง
“พระชายากโยซึล หม่อมฉันไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดีเพคะ”
กโยยองที่เมื่อครู่ยังแย้มยิ้มอ่อนโยนกลับทำหน้าราวกับจะร้องไห้ กโยซึลเห็นดังนั้นก็ตกใจ เลื่อนโต๊ะหนังสือไปด้านข้างแล้วเข้าไปจับมือกโยยองไว้
“กโยยอง กโยยองเป็นอะไรไป มีเรื่องอันใดหรือ”
“พระชายากโยซึล หม่อมฉันคิดว่าพระองค์ทรงเป็นสหายของหม่อมฉันนะเพคะ”
“เราเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน เราเองก็เห็นว่ากโยยองเป็นสหายเราเหมือนกัน”
“แต่ว่า…”
กโยยองเงยหน้าขึ้นพร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา
“ระหว่างที่กลับมาจากการไปพูดคุยกับพระชายาที่พระตำหนัก หม่อมฉันได้ยินว่าฝ่าพระบาทฮวางแทจาที่ทรงไม่ได้เสด็จมาที่ตำหนักดงบินอีกเลยหลังคืนวันส่งตัว ทรงเสด็จไปที่พระตำหนักดงบีอีกแล้ว”
กโยยองเอ่ยออกมาอย่างรวดเร็วราวกับน้ำตกที่ไหลเทลงจากหน้าผา นางกำลังพูดถึงวันที่บีพาอันมาที่ตำหนักเพราะข่าวลือของกโยซึลกับรูแฮ ทันใดนั้นกโยซึลก็รู้สึกแปล๊บที่หัวใจขึ้นมา กโยยองที่ไม่รู้เรื่องราวยังคงเอ่ยสารภาพความในใจของตนต่อไป
“เมื่อได้ยินเช่นนั้นใจของหม่อมฉันก็เจ็บปวดและรู้สึกริษยาพระชายาเพคะ ด้วยจิตใจที่เลวร้ายเช่นนี้หม่อมฉันจะบังอาจไปเข้าเฝ้าพระชายากโยซึลได้อย่างไรกันเพคะ ขอพระชายาโปรดทรงประทานอภัย หม่อมฉันไม่บังอาจไปเข้าเฝ้าที่พระตำหนักดงบีได้จริงๆ เพคะ”
กโยยองพูดขึ้น กโยซึลไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับอย่างไรจึงนั่งเงียบอยู่พักหนึ่ง ในคืนนั้นบีพาอันมาหากโยซึลเพราะความโมโห แต่ทว่าจะมีใครรู้ถึงข้อเท็จจริงนั้นได้นอกจากทั้งสองคนที่อยู่ด้วยกันในห้อง เช่นนี้จึงมีเพียงข่าวลือที่ว่าฮวางแทจาทรงเสด็จมาหาพระชายาฮวางแทจาแพร่กระจายในหมู่นางกังนัล พระราชวังแห่งนี้ช่างมีหูตาคอยสอดส่องมากนัก กโยซึลอ้ำๆ อึ้งๆ พลางลูบมือของกโยยองไปด้วย
“กโยยองคงรักฝ่าพระบาท… ฝ่าพระบาทฮวางแทจามากสินะ”
เพียงแค่คำๆ เดียวที่กโยซึลเอ่ยออกมา ใบหน้าของกโยยองก็พลันเปลี่ยนเป็นสีแดง กโยยองนั้นเป็นบุตรสาวของแทกงชิน ผู้มีอำนาจเหนือคนทั้งปวง เป็นรองแค่องค์จักรพรรดิเพียงเท่านั้น นางถูกเลี้ยงดูมาอย่างเข้มงวดและถนุถนอมกว่าบุตรสาวของครอบครัวชนชั้นขุนนางครอบครัวอื่น ชายคนแรกที่กโยยองได้พบเจอก็คือฮวางแทจาบีพาอัน ผู้ซึ่งมีใบหน้างดงาม รูปร่างสูงใหญ่ ไร้ประวัติเสียหาย อีกทั้งด้วยนิสัยที่เย็นชาของเขายิ่งทำให้เขาดูโดดเด่นมากขึ้นไปอีก เช่นนี้กโยยองจะไม่รู้สึกรักชอบเขาได้อย่างไรกัน
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยกอดนางเลยสักครั้ง และถ้าไม่บังเอิญเจอกันในราชสำนักก็แทบไม่มีโอกาสได้พบหน้ากันเลย แต่กโยยองก็ยังคงรักเขา กโยซึลที่เห็นว่ากโยยองหน้าแดงขึ้นจึงยกยิ้มอย่างขมขื่น และเอ่ยต่อว่า
“วันนั้นเราเพียงโดนฝ่าพระบาทบาทดุเท่านั้น เพราะเรากระทำตามอำเภอใจในราชสำนักมากเกินไป พระองค์เลยทรงกริ้ว”
“ตายจริง”
ได้ยินดังนั้นกโยยองก็ตกใจเบิกตาโพลง กโยซึลจ้องมองไปที่กโยยอง หญิงตรงหน้าช่างงามสง่าและเพรียบพร้อมนัก ใบหน้าที่หมดจดและดวงตาที่สงบนิ่ง วิกผมที่ถูกเกล้าอย่างเป็นระเบียบ เส้นผมที่ปล่อยสยายลงมาที่หลังถูกจัดอย่างเรียบร้อยไร้ซึ่งความยุ่งเหยิง อีกทั้งยังมีรูปร่างที่สูงเพรียวเกินกว่าหญิงสาวทั่วไป ลำตัวที่ตั้งตรงแสดงให้เห็นถึงความปราดเปรียวและแข็งแกร่ง บางทีหญิงสาวเพรียบพร้อมที่บีพาอันหมายถึงอาจจะเป็นหญิงสาวอย่างกโยยองก็เป็นได้
“เราน่ะ”
กโยซึลเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่เบาหวิว
“อิจฉากโยยองมากเลยนะ”
“พระชายากโยซึลทรงอิจฉาคนอย่างหม่อมฉันเรื่องใดกันเพคะ เป็นไปได้อย่างไร”
กโยยองก้มหัวลงอย่างหวั่นเกรง กโยซึลส่ายหน้าพร้อมกับดึงมือของกโยยองเข้าหาตัว
“ไม่เลย เราอิจฉาท่านจริงๆ ทั้งท่าทางและจิตใจของกโยยอง เราอิจฉาจิตใจที่กว้างขวางและอบอุ่นเป็นมิตรของกโยยอง เราอยากจะเป็นให้ได้อย่างกโยยอง แต่มันคงเป็นไปไม่ได้”
“เหตุใดจึงตรัสเช่นนั้นเพคะ พระชายาทรงเพียงแค่ยังไม่คุ้นชินกับพระราชวังแห่งนี้เท่านั้น ในภายภาคหน้าพระชายาจะต้องทรงทำได้ดีกว่าหม่อมฉันแน่นอนเพคะ”
กโยยองพยายามปลอบใจกโยซึลจนถึงขั้นเอื้อมมือไปลูบมือของกโยซึลที่วางอยู่บนมือของตน กโยซึลที่มองการกระทำของกโยยองอยู่ เอ่ยออกอย่างยากลำบาก
“เรามีความลับ”
ทั้งปากและลิ้นรู้สึกหน่วงไปหมด หัวใจก็เริ่มเต้นแรง เกรงว่าคำที่พูดออกมาจะเป็นเพราะความหุนหันพลันแล่นจากความเป็นเด็กของตน
“ตรัสมาเถอะเพคะ ระหว่างพระชายากับหม่อมฉันหาได้มีเรื่องอันใดที่พูดกันไม่ได้เพคะ”
กโยยองเร่งรัดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
“เราต่างก็อยู่ในสถานะที่ถูกเมินเฉยมิใช่หรือเพคะ หม่อมฉันยังระบายเรื่องความริษยาที่น่าละอายใจของหม่อมฉันไปแล้วเลยเพคะ”
กโยยองเอ่ยถึงเรื่องที่ตนเปิดเผยความลับที่ยากจะเปิดเผยออกมาเพื่อให้กโยซึลสบายใจ กโยซึลสบสายตาที่เต็มไปด้วยความรักและเอ็นดูของกโยยองที่มองตนอยู่จึงตัดสินใจระบายความลับที่ตนเก็บไว้ลึกในจิตใจออกมา
“เราอาจจะ…ไม่สามารถรักฝ่าพระบาทได้”