สหายที่ว่านั้นคือกโยยอง หลังที่นางมาเยือนตำหนังดงบีเป็นครั้งแรก นางก็มาเพื่อสนทนากับกโยซึลอยู่บ่อยครั้ง ทั้งสองเริ่มสนิทสนมกันจนกระทั่งตอนนี้เรียกเพียงชื่อเล่นกันได้แล้ว ในพระราชวังที่เข้มงวดแห่งนี้ ระหว่างเชื้อพระวงศ์สายตรงนั้นจะแสดงความสนิทสนมกันโดยการเรียกชื่อเล่นของกันและกันด้วย
“จะว่าไปแล้วนี่ก็ผ่านมาระยะหนึ่งแล้วที่ไม่ได้เจอกโยยอง”
“พระชายา พระชายารองฮวางแทจาทรงเพิ่งเสด็จมาเมื่อสี่วันก่อนมิใช่หรือเพคะ”
“สำหรับสหายสนิทนั้น ไม่ได้เจอกันเพียงแค่หนึ่งวันก็น่าเศร้าแล้ว ที่ผ่านมากโยยองเป็นฝ่ายมาหาเราเสมอ เช่นนั้นครั้งนี้เราคงต้องไปหานางบ้าง”
กโยซึลยิ้มแย้มระหว่างเดินไปที่ประตูห้องบรรทม ถึงแม้นางจะมีสีหน้าร่าเริง ทว่าแม่นมกลับเป็นห่วงท่าทางนั้น ราวกับว่ากโยซึลกำลังฝืนตนเองอยู่
“บ่าวจะนำทางให้เพคะ”
แม่นมที่จ้องมองกโยซึลจนเดินไปถึงประตูบานที่สามพลันได้สติขึ้นจึงเดินตามหลังไป เมื่อออกมายังระเบียงไม้ กโยซึลจึงสูดหายใจเข้าลึก
“ไม่ได้ออกจากห้องนานมากแล้วจริงๆ”
“เพราะพระวรกายไม่แข็งแรงจึงได้แต่ประทับอยู่บนเตียงมิใช่หรือเพคะ ก่อนหน้านี้ทรงเที่ยวเล่นไปทั่วพระราชวังทำหม่อมฉันใจหายใจคว่ำ พอครั้งนี้กลับมิยอมเสด็จไปไหนเลย มิทราบว่าทรงวางแผนทำให้บ่าวกระวนกระวายใจหรืออย่างไร”
“แม่นมก็ช่างพูดเล่น”
กโยซึลหัวเราะราวกับเด็กน้อยยามได้ยินคำตอบแสดงความไม่พอใจอย่างจงใจจากแม่นมของตน กโยซึลมุ่งหน้าไปที่บันไดหิน เมื่อเดินถึงนางกำนัลที่ยืนรออยู่ด้านข้างจึงเข้ามาใส่รองเท้าให้ กโยซึลเดินลงมารอแม่นมที่ใส่รองเท้าอยู่ด้านล่างบันได แล้วจึงเดินตามทางที่แม่นมนำไป
ด้านหลังของกโยซึลนั้นมีซังกุงและนางกำนัลจำนวนหนึ่งเดินตามหลังอยู่ หลังจากเดินตามแม่นมไประยะหนึ่งก็มาถึงด้านหน้าตำหนักดงชอน เพราะตำหนักของชายาฮวางแทจาและตำหนักของชายารองฮวางแทจานั้นอยู่ระหว่างพระตำหนักของฮวางแทจา ระหว่างที่กำลังเดินผ่านประตูใหญ่หน้าตำหนักดงชอนอย่างระมัดระวังนั้น บีพาอันที่เดินนำหน้าเหล่าขันที ซังกุง และนางกำนัลก็พลันเดินออกมา
“ทรงพระเจริญพันปี พันปี พันพันปี เข้าเฝ้าฝ่าพระบาทฮวางแทจาเพคะ”
เป็นการพบกันโดยบังเอิญอย่างไม่คาดคิด แม้ว่ากโยซึลจะตกใจอยู่บ้าง แต่ก็กล่าวทำความเคารพอีกฝ่ายโดยทันที
“ทรงพระเจริญพันปี พันปี พันพันปี เข้าเฝ้าฝ่าพระบาทฮวางแทจาเพคะ”
“ทรงพระเจริญพันปี พันปี พันพันปี เข้าเฝ้าพระชายาฮวางแทจาเพคะ/พะยะค่ะ”
เหล่าข้ารับใช้ที่ตามหลังกโยซึล และข้ารับใช้ที่ตามหลังบีพาอันเองก็กล่าวทำความเคารพเช่นเดียวกัน ข้ารับใช้ทุกคนย่อเข่าลงจนเกือบถึงพื้นดิน ทว่ากโยซึลนั้นคือพระชายาฮวางแทจาจึงทำเพียงแค่ย่อตัวเล็กน้อยเท่านั้น บีพาอันเพียงปลายตามองกโยซึลที่ทำความเคารพตนด้วยสายตาเฉื่อยชา ไม่ได้พูดอะไรแล้วรีบเร่งเดินต่อ
เนื่องจากเมื่อไม่นานมานี้เพิ่งจะมีเรื่องโต้แย้งกันที่ตำหนักของตน เมื่อกโยซึลสบตากับบีพาอันเข้าจึงได้สะดุ้งตัวสั่นในทันที ในตอนที่กโยซึลที่ก้มหัวค้างอยู่เงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นบีพาอันกำลังจะเดินจากไป ทันใดนั้นเองราวกับตัดสินใจบางอย่างขึ้นมาได้ กโยซึลพยักหน้าให้กับตนเองหนึ่งครั้งแล้วเดินไปขวางหน้าบีพาอัน
“ฝ่าพระบาทฮวางแทจา”
“มีเรื่องอันใดหรือ”
คำตอบที่แสนเฉยเมย แม้ว่าตนจะรู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นระรัว แต่ทว่ากโยซึลก็เอ่ยต่อออกไปว่า
“ถึงหม่อมฉันจะยังเด็กอยู่ แต่ทว่าหม่อมฉันก็ไม่เด็กนะเพคะ”
กโยซึลจ้องมองบีพาอันอย่างตรงไปตรงมา แม่นมนั้นไม่อาจเข้าใจได้ว่ากโยซึลหมายความว่าอย่างไร เป็นเด็ก แต่ทว่าไม่เด็กอย่างนั้นหรือ แต่บีพาอันกลับสบตากับกโยซึลราวกับว่าเข้าใจในทันที คำว่าเด็กนั้นมีอยู่สองความหมาย
“ทรงหมายถึงแม้ว่าอายุจะยังน้อย ทว่าตนมิได้โง่เขลาดังเด็กน้อยงั้นหรือ”
กโยซึลพยักหน้า น้ำเสียงของเขายังคงเต็มไปด้วยความเย็นชาเช่นเคย ในตอนนี้กโยซึลไม่รู้สึกว่าน้ำเสียงนั้นเย็นยะเยือกและน่ากลัวอีกต่อไป
“หม่อมฉันจะบังอาจทำให้ฝ่าพระบาทฮวางแทจาทรงเดือดร้อนได้อย่างไรกันเพคะ หากพระองค์ทรงเป็นอะไรไป หม่อมฉันเองก็ย่อมต้องเสียที่ของหม่อมฉันไปด้วยเช่นกัน ต่อจากนี้จะไม่มีเรื่องที่ทำให้ทรงกังวลพระทัยอีกแน่นอนเพคะ”
ถึงแม้ว่าน้ำเสียงจะสั่นอยู่บ้าง แต่กโยซึลก็ได้พูดในสิ่งที่ตนต้องการจะพูดออกไปทั้งหมด ระหว่างนั้นบีพาอันเพียงแค่จ้องมองไปที่กโยซึลเพียง สายตาที่มองมาทำให้กโยซึลร้อนใจ จึงทำให้ต้องเอ่ยคำปณิธานที่แน่วแน่กว่านั้นออก
“หม่อมฉันจะไม่ไปที่สวนหลังวังฝ่ายนอกอีกเพคะ”
“เฮ้อ”
บีพาอันถอนหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน เพราะมีคนฟังอยู่มากกโยซึลจึงได้พูดอย่างอ้อมๆ โชคดีที่บีพาอันนั้นเหมือนจะเข้าใจในสิ่งที่นางต้องการจะสื่อ
“หม่อมฉันเป็นคนของฝ่าพระบาทเพคะ”
“เพิ่งจะตระหนักถึงความเป็นจริงได้เอาตอนนี้หรือ”
ถึงแม้ว่าจะเป็นคำเหน็บแนม แต่ทว่ายังคงน้ำเสียงไร้ความรู้สึก เพราะตนยังไม่ชินกับท่าทางเช่นนี้ กโยซึลจึงยากที่จะเข้าใจว่าในตอนนี้บีพาอันกำลังโกรธ หรือเพียงแค่ไม่ได้สนใจกันแน่
“ต่อไปนี้หม่อมฉันจะท่องจำไว้อย่างขึ้นใจเพคะ”
“ชายามิจำเป็นต้องเลิกติดต่อกันหรอก ขอเพียงแค่อย่าทำให้มีข่าวลือเป็นพอ เราไม่คิดสนใจอยู่แล้ว”
“ไม่เพคะ”
กโยซึลตอบกลับอย่าวแน่วแน่ทันทีหลังบีพาอันพูดจบ
“หากเป็นเช่นนั้น หม่อมฉันมิอาจวางใจได้เพคะ”
“ทรงบอกเองว่าเป็นสหายสนิทมิใช่หรือ ชายาเองก็ดูจะให้ความสำคัญกับสหายสนิทอยู่ไม่น้อย”
“หม่อมฉันยังมีสหายสนิทอย่างกโยยองอยู่เพคะ พระชายารองฮวางแทจาอย่างไรเล่าเพคะ”
“คาดไม่ถึงยิ่งนัก”
บีพาอันคิดไม่ถึงจริงๆ การก้าวเดินของกโยซึลนั้นมักจะอยู่ในจุดที่คาดไม่ถึงเสมอ ทั้งสนิทสนมกับรูแฮ ในครั้งนี้ยังเป็นพระชายารองอย่างกโยยอง
“ดูท่าท่านจะทรงสนิทสนมกับคนง่ายนัก”
“กับฝ่าพระบาทเอง หม่อมฉันก็จะ…พยายามสนิทสนมดูด้วยเพคะ”
ริมฝีปากของบีพาอันกระตุกขึ้น อันตราย นิสัยที่ซื่อตรงเช่นนี้ ช่างมีความสามารถทำให้คันยุบยิบที่ริมฝีปากยิ่งนัก
“เห็นเอาแต่ร้องไห้คิดว่าจะเป็นองค์หญิงที่เติบโตมาอย่างไข่ในหินเสียอีก กลับอาจหาญกว่าที่คิดนัก”
หลังจากเอ่ยคำนั้น บีพาอันก็เดินนำเหล่าข้ารับใช้ออกไป ใบหน้าของกโยซึลย้อมไปด้วยสีเลือดฝาด ต่อหน้าบีพาอันนั้นตนเอ่ยปากพูดเป็นอย่างดี ทว่าลับหลังแล้วกลับประหม่าขึ้นมาอีกครั้ง การเผชิญหน้ากับเขานั้นทำหายใจไม่ออกยิ่งนัก
“แม่นม เราเป็นอย่างไรบ้าง”
“ทรงไม่ตัวสั่น และตรัสได้ดียิ่งเพคะ”
“ทรงไม่ได้ยิ่งเกลียดเรามากขึ้นหรอกใช่หรือไม่”
“ที่ตรัสว่าทรงอาจหาญกว่าที่คิด มิใช่เข้าใจได้ว่าทรงเป็นที่พอพระทัยกว่าที่คิดหรือเพคะ”
“จริงหรือ เป็นเช่นนั้นหรือ”
กโยซึลรู้สึกโล่งใจพร้อมยิ้มออกมาอย่างร่าเริง หลังจากที่มองไปยังแผ่นหลังที่ห่างออกไปของบีอาพัน นางก็หันไปหาแม่นมพร้อมเร่งรัดให้ออกเดิน
บีพาอันที่เดินห่างออกไปเหลือบหันกลับมามองแผ่นหลังของกโยซึลที่เดินผ่านตำหนักดงชอนมุ่งหน้าไปยังตำหนักดงบิน