กโยซึลจมอยู่ในความคิดมากขึ้น นางพูดน้อยลง ออกไปข้างนอกน้อยลง และยาต้มสมุนไพรที่ถูกลดปริมาณลงเรื่อยๆ ในตอนนี้ก็ไม่ต้องกินมันอีกแล้ว ในขณะเดียวกันการอบรมที่ถูกเลื่อนผลัดมาเรื่อยๆ ก็ได้เริ่มต้นขึ้น ในเวลาบ่ายของทุกวันท่านหญิงมุนจังจะมาที่ตำหนักดงบีเพื่ออบรมกโยซึลเกี่ยวกับจักรวรรดิมกกุกและเรื่องภายในราชสำนัก ท่านหญิงมุนจังเป็นภรรยาของผู้บังคับบัญชาหน่วยข้าราชการพลเรือน แทมุนจัง นางถูกแต่งตั้งโดยองค์ฮวังฮูให้รับหน้าที่ฝึกอบรมเหล่าสตรีที่เข้ารับตำแหน่งต่างๆ ในพระราชวัง
ในช่วงนี้กโยซึลไม่ออกจากบริเวณตำหนักดงบีเลย เวลาเดินเล่นก็ไปที่สวนหลังตำหนักเพียงเท่านั้น ส่วนใหญ่นางจะเข้ารับการอบรมอยู่ในห้องนอน ไปค้นหาหนังสือที่ห้องหนังสือ บางครั้งก็จะทำกิจกรรมฆ่าเวลาอย่างจับพู่กันวาดรูป หรือปักเย็บผ้า และในบางทีอยู่ๆ ใบหน้าของคนผู้หนึ่งก็จะแวบขึ้นมาในหัว และทำให้นางหยุดการกระทำทุกอย่างแล้วจมจ่ออยู่ในความคิดของตนเอง ใบหน้านั้นจะกล่าวว่าเป็นชิ้นส่วนหนึ่งของน้ำแข็งก็ว่าได้ ทว่าก็ยังมีรอยยิ้มที่อบอุ่นดั่งแสงอาทิตย์ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ และใบหน้านั้นที่มักจะผุดขึ้นมาก็เป็นเหตุให้ภายในหัวเล็กๆ ของนางสับสนจนแทบปะทุ
“ท่านพี่”
กโยซึลเอ่ยเรียกพี่ชายของตนที่อยู่บ้านเกิดขึ้นมา กโยซึลนั้นมีพี่ชายอยู่สี่คน ทว่ายามที่นางเรียกท่านพี่ขึ้นมานั้นย่อมหมายถึงองค์รัชทายาทมินกุง เขานั้นแม้ว่ากโยซึลจะมีเรื่องกังวลใจที่โง่เขลาเช่นไร ก็มักจะมีคำตอบที่หลักแหลมให้นางเสมอ ช่วงนี้กโยซึลจึงมักนึกถึงแต่พี่ชายตน
“หม่อมฉันไม่คิดเลยว่าการที่จากฮวากุกมาใช้ชีวิตตัวคนเดียวจะเป็นเรื่องที่ยากถึงเพียงนี้”
อยู่ๆ เรื่องราวต่างๆ ก็ถาโถมเข้ามา แค่การปรับตัวให้คุ้นชินกับพระราชวังอันอ้างว้างแห่งนี้ที่บรรยากาศแตกต่างจากฮวากุกที่แสนอบอุ่นก็นับว่าลำบากแล้ว ผู้คนที่ตนพบเจอยังเข้าใจยากอีก
“แม้แต่สวนหลังวังฝ่ายนอกก็ไม่กล้าไปอีกแล้วเพคะ ในตอนแรกหม่อมฉันเข้าใจว่าตนพียงแค่ไว้วางใจเขาเท่านั้น เพราะเขาเป็นคนอ่อนโยนและเข้าถึงง่าย แต่ทว่าหม่อมฉันกลับ…”
ถึงแม้จะเป็นการพูดคนเดียว แต่ก็ไม่อาจพูดจนจบประโยคได้ เพราะกลัว กลัวว่าหากเอ่ยออกมาแล้วจะไม่สามารถย้อนกลับไปได้อีก
“ในตอนนี้หม่อมฉันทราบเพียงแต่ว่าอย่าเจอกันเลยจะดีกว่า”
ตนหลบเลี่ยงเพราะเกรงกลัว ในบางครั้งก็นึกขุ่นเคืองว่าเหตุใดเขาจึงโกหกและปกปิดตน ตอนแรกคิดเพียงว่าเพราะตนเสียใจที่ถูกหลอก แต่หลังจากที่ได้พบกับยอมินผู้ที่เป็นชายาเอกของเขาแล้ว กลับพบว่าตนนั้นมองยอมินที่เปี่ยมไปด้วยความสุภาพเรียบร้อยด้วยหัวใจที่บิดเบี้ยวเพียงใด ในตอนนั้นก็ได้รับรู้ถึงหัวใจของตนเองที่มีให้แก่รูแฮ
‘ท่านน่าจะเป็นฮวางแทจา’
ความปรารถนาอันโง่เขลานั้นบ่งบอกถึงความในใจของกโยซึลได้อย่างชัดเจนนัก
“แค่ฝ่าพระบาทพระองค์เดียวก็รับมือยากอยู่แล้ว”
บีพาอันที่ให้ความสำคัญกับบังลังก์มากกว่าความรู้สึกใดย่อมยืนอยู่ตรงข้ามกับกโยซึลโดยสิ้นเชิง สำหรับกโยซึลที่ไม่ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ก็ขึ้นอยู่กับความรู้สึกในทุกเรื่องนั้น พอได้มาเจอกับบีพาอันที่ในทุกเรื่องไร้ความรู้สึกใดมาเกี่ยวข้อง จึงไม่รู้ว่าควรจะรับมืออย่างไร
“ตอนแรกก็คิดว่าเขาโมโหเพราะไม่พึงใจในตัวหม่อมฉัน”
ไม่ว่าจะในคืนส่งตัวหรือเมื่อยามที่ตนไปทักทายยามเช้า ตนคิดเพียงว่าเขานั้นแค่ไม่พอใจ แม้ตนจะไม่ได้ทำความผิดอันใดก็ตาม
“เพราะอย่างนั้นหม่อมฉันจึงคิดว่าหากพยายามและทำตัวดีๆ เขาจะยิ้มให้กันบ้าง แต่ทว่าฝ่าพระบาทนั้น… กลับทรงมิให้ความสนใจกับความจริงใจของหม่อมฉันเลยสักนิด”
ตนนั้นเอาแต่คิดถึงรอยยิ้มอ่อนโยนของรูแฮ แม้ว่าจะพยายามบอกตัวเองว่าไม่ควรนึกถึงเพียงใด แต่รอยยิ้มของเขาก็ยังคงผุดขึ้นมาในหัว
“หากเป็นท่านพี่จะทรงตรัสว่าอย่างไรกันนะเพคะ ที่จริงแล้ว… เรื่องนี้กังวลใจไปก็ไร้ความหมายเพคะ”
กโยซึลแสร้งหัวเราะขึ้นมา ในความเป็นจริงย่อมมีคำตอบอยู่แล้วตั้งแต่ที่ตนถูกแต่งตั้งให้เป็นพระชายาฮวางแทจาและมาถึงมกกุกแห่งนี้ เพียงแค่มันยากที่จะยอมรับได้
เสียงของเหล่านางกำนัลในตำหนักดงบีที่เรียกตนว่า ‘พระชายาฮวางแทจา’ ในทุกเช้านั้นเสมือนกำลังตำหนิตนให้ระลึกถึงความเป็นจริง หลังจากที่ผ่านวันคืนที่แสนเรียบง่าย กโยซึลจึงระงับจิตใจที่ล่องลอยของตนลงได้ เมื่อได้ปลดปล่อยความหวังที่เป็นไม่ได้แล้ว ดูเหมือนว่าตนจะสบายใจขึ้นและกลับมาร่าเริงอีกครั้ง
หลังจากที่ไม่ได้เจอ ‘เขา’ ที่เป็นตนเหตุทำให้ตนเหม่อลอย และเป็นเหตุให้ตนเจ็บปวดราวกับโดนแทงที่ใจ ก็ดูเหมือนทุกอย่างจะดีขึ้น
“แม่นม เราคือคนของฝ่าพระบาท”
หลังจากได้ยินคำที่กโยซึลจู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นมา แม่นมจึงเอียงคอด้วยความสงสัย
“ชายที่เราต้องมองคือฝ่าพระบาท และชายเดียวที่เรามองได้มีเพียงแค่ฝ่าพระบาทเท่านั้น ใช่หรือใม่”
“เพคะ พระชายา”
แม่นมเอ่ยตอบอย่างยากลำบาก นางเป็นผู้ที่คอยช่วยเหลือมารดาของกโยซึลเรื่องธรรมเนียมปฏิบัติต่างๆ ของหญิงตั้งครรภ์ตั้งแต่ที่กโยซึลยังอยู่ในท้อง ดังนั้นจึงไม่มีทางที่จะไม่รู้ว่าช่วงนี้กโยซึลกำลังมีเรื่องกังวลที่น่าปวดหัวเช่นไร อีกอย่างตนเองก็คอยสังเกตทั้งบีพาอันและรูแฮอยู่ด้วย แค่มิได้พูดออกไป คอยอยู่ข้างๆ นายของตนเงียบๆ เพียงเท่านั้น
“เรา…เป็นคนของฝ่าพระบาท”
กโยซึลเอ่ยออกมาอีกครั้ง ความโศกเศร้าปรากฏขึ้นในดวงตาทั้งสองข้าง แต่ทว่าเพียงชั่วพริบตาเดียวก็หายไป แน่นอนว่าแม่นมนั้นไม่ทันได้สังเกตุเห็น
ดังนั้นจึงไม่ควรเจ็บปวดเพราะชายอื่น
กโยซึลปิดเปลือกตาลงแล้วลืมตาขึ้น หลังจากนั้นจึงแสร้งยกยิ้มที่ริมฝีปาก ทำใจให้สงบนิ่งอีกครั้ง
“แล้วก็…”
หลังที่พยายามจะพูดบางอย่างรอยยิ้มที่ริมฝีปากของกโยซึลก็หายไป พลันนัยน์ตาของนางก็เริ่มรื้นขึ้น
“ในเมื่อตอนนี้เราเป็นพระชายาฮวางแทจา เราก็คงจะกลับไปที่ฮวากุกอีกไม่ได้ใช่หรือไม่”
“พระชายา”
แม่นมสะอื้นไห้พร้อมดึงตัวกโยซึลเข้ามากอด หยาดน้ำใสไหลออกมาจากดวงตามากน้ำตาของกโยซึลอีกครั้ง
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านพี่มินกุง และท่านพี่คนอื่นๆ รวมถึงเหล่าน้องๆ ที่น่ารัก เราจะไม่ได้เจอพวกเขาอีกง่ายๆ ใช่หรือไม่”
กโยซึลหลับตานิ่ง ใบหน้ายิ้มแย้มของพวกเขาเหล่านั้นที่ติดตรึงอยู่ในดวงตาราวกับว่าเมื่อตนลืมตาขึ้นแล้วจะได้เห็นมันอยู่ตรงหน้าพร้อมกับที่พวกเขาเข้ามาโอบกอดตน แต่ทว่าเมื่อลืมตาขึ้นกโยซึลกลับเห็นเพียงแค่ห้องนอนที่เต็มไปด้วยเครื่องเรือนของมกกุกเพียงเท่านั้น
“เราจะมัวแต่โศกเศร้าอยู่ไม่ได้ เพราะที่นี่คือที่เราต้องใช้ชีวิตอยู่ไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่”
“พระชายา พระชายา ทรงมิเป็นอะไรแน่หรือเพคะ”
“เราไม่เป็นไร เราควร…จะยอมรับได้แล้ว”
ตนทำตัวเตร็ดเตร่นานเกินไป ตนนั้นไม่สามารถที่จะเป็นองค์หญิงเพียงคนเดียวของวังฮวากุกไปได้ตลอด แม้กระทั่งหลังจากที่เข้าพิธีแต่งงานแล้วก็ยังตระหนักไม่ได้ว่าตนนั้นคือ ‘พระชายาฮวางแทจา’ ดังนั้นจึงได้ทำตัวตามสบาย ทำอะไรตามอำเภอใจโดยไม่ไตร่ตรอง มิแน่น่าตนคงเข้าใจผิดไปว่าเพียงแค่กำลังมาเที่ยวเล่นที่มกกุกแห่งนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้น
“อีกอย่างเราก็มีสหายอยู่ที่นี่แล้วด้วย”
กโยซึลยิ้มขึ้นมาอย่างร่าเริงพร้อมทั้งพยักหน้า นางใช้มือปาดน้ำตาที่ไหลลงบนใบหน้าออก