บทที่ 516 ต้องทำให้ตัวเองแข็งแกร่งจึงจะปลอดภัยที่สุด

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 516 ต้องทำให้ตัวเองแข็งแกร่งจึงจะปลอดภัยที่สุด
ขึ้นชื่อว่าเป็นคน คงไม่มีใครอยากจะอายุสั้น เสด็จอาเก้าก็เป็นคน ย่อมอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปนานๆ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเห็นด้วยกับหมอเทวดา ที่ต่ออายุให้ตัวเองโดยใช้วิธีทำร้ายชีวิตของผู้อื่น

เขาเป็นคนเคร่งครัดเรื่องอนามัย การยอมให้มีของของคนอื่นอยู่ภายในร่างกายตัวเองนั้นเป็นเรื่องที่เขาไม่สามารถรับได้ แม้จะเป็นการต่ออายุให้ตัวเองก็ตาม เรื่องนี้เสด็จอาเก้ารู้คนเดียวก็พอแล้ว เขาไม่อยากบอกเรื่องนี้ให้เฟิ่งชิงเฉินรับรู้

เพราะเขารู้ดีว่าเฟิ่งชิงเฉินจะไม่ถามเขาว่าเขาอยากมีชีวิตต่อไปอีกหรือไม่ แต่นางเป็นห่วงว่าตัวเองจะกลายเป็นเครื่องมือให้คนอื่นหลอกใช้ หรือไม่ก็เป็นเครื่องมือให้เขาหลอกใช้

เสด็จอาเก้าลูบศีรษะเฟิ่งชิงเฉิน เส้นผมที่หมุนวนไปกับฝ่ามือทำให้ใจเขาพลอยโอนอ่อนไปด้วย เมื่อเฟิ่งชิงเฉินใจเย็นลงแล้ว เสด็จอาเก้าจึงพูดเบาๆว่า “เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าลืมเรื่องที่ข้าเคยบอกเจ้าไปหรือยัง”

“เรื่องที่ท่านเคยบอกข้า? เรื่องอะไรหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินมองหน้าเสด็จอาเก้าด้วยความสงสัย สิ่งที่เสด็จอาเก้าถามนาง กลับกลายเป็นว่านางเป็นฝ่ายตั้งคำถามกลับไป

“ข้าเคยบอกเจ้าว่า ตราบใดที่เรามีความแข็งแกร่งที่แท้จริง แผนการในที่ลับหรือที่แจ้งก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ขนาดตระกูลชุยเจ้ายังไม่กลัวเลย แล้วเจ้าจะกลัวอะไรอีก” เมื่อรู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินต้องเผชิญหน้ากับตระกูลชุย เขาทั้งดีใจและภูมิใจ ในที่สุดเฟิ่งชิงเฉินของเขาก็แข็งแกร่งและกล้าหาญพอที่จะรับมือกับผู้ทรงอำนาจ

ในเวลานี้ เฟิ่งชิงเฉินไม่มีความสามารถก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าหากแม้แต่ความกล้าก็ไม่มี นั่นต่างหากที่เป็นปัญหาใหญ่

“แต่นั่นมันไม่เหมือนกันนะ” เรื่องตระกูลชุยกับเรื่องอวัยวะทดแทนในการต่ออายุขัยไม่สามารถเอามาเปรียบกันได้

เฟิ่งชิงเฉินพยายามหลบมือของเสด็จอาเก้า แต่ไม่ว่านางจะหลบไปทางไหน มือของเขาก็ยังตามนางไปทุกที่ จนผมนางจะกลายเป็นรังนกเสียแล้ว

“ไม่เหมือนกันตรงไหน ศัตรูของเจ้าแข็งแกร่งกว่าเจ้า อำนาจของตระกูลชุยก็ไม่ใช่น้อยๆเลย” ศัตรู 1 คนกับศัตรูร้อยคนก็เป็นศัตรูเหมือนกัน ขอเพียงเราจิตใจเข้มแข็งก็ไม่ต้องสนใจว่าศัตรูจะมีเยอะเพียงใด มา 1 ก็ฆ่า 1 มา 2 ก็ฆ่าทิ้งทั้งคู่เลย

“พละกำลังของตระกูลชุยยิ่งใหญ่แค่ไหนเราก็มองเห็นแล้ว หากวันหนึ่ง จักรพรรดิทั้งสี่แคว้นและเจ้าเมืองทั้งเก้าเมืองมาได้ยินคำพูดของหมอเทวดาเข้า ท่านคิดว่าพวกเขาจะปล่อยข้าไปหรือ?” เมื่อถึงตอนนั้นแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็ต้องกลายเป็นเครื่องมือที่หายากยิ่งกว่าหลี่เซี่ยงเสียอีก

หลี่เซี่ยงแค่เพียงสามารถทำให้ฟ้าร้องฟ้าผ่าได้ แต่เฟิ่งชิงเฉินไม่ใช่เพียงแค่นั้น นางอาจจะทำให้จักรพรรดิบางองค์มีอายุขัยที่ยาวนานขึ้นได้ ซึ่งก็หมายความว่าเป็นการยืดเวลาให้ชีวิตการเมืองของเขาด้วย ด้วยเหตุนี้ ระหว่างนางกับหลี่เซี่ยงใครจะสำคัญกว่ากันก็เห็นได้อย่างชัดเจนแล้ว

ครอบครองแว่นแคว้นได้แล้วอย่างไรล่ะ หากสิ้นอายุขัย ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นอันสูญสิ้น การมีชีวิตอยู่ต่อไปต่างหากจึงจะทำให้หลายๆอย่างมีความเป็นไปได้

ข้อนี้เสด็จอาเก้าไม่เถียง “จักรพรรดิทั้งสี่แคว้นและเจ้าเมืองทั้งเก้าเมืองก็แก่ชรากันหมดแล้ว หากเจ้ามีความสามารถเช่นนี้จริงๆ ข้าว่าพวกเขาไม่มีทางปล่อยเจ้าให้หลุดมือไปแน่”

การที่เขาไม่ยินยอมไม่ได้แปลว่าผู้อื่นไม่ยินยอม แม้เสด็จอาเก้าจะมั่นอกมั่นใจ แต่เขาก็ไม่ยอมให้ความคิดของตัวเองไปบังคับผู้อื่น

“ท่านก็ยังคิดแบบนี้ นี่ก็แสดงว่าจะต้องมีวันหนึ่งที่ข้าจะต้องยืนอยู่ในจุดที่อันตรายมากๆเลยน่ะสิ” เมื่อนึกภาพตามแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็เกิดอยากตายขึ้นมาในทันที

หากเรื่องราวต้องเป็นเช่นนั้นจริง นางคงไม่มีชีวิตต่อไปได้แน่ ต่อให้มีชีวิตต่อไป มือของนางก็จะไม่สามารถจับมีดผ่าตัดได้อีกแล้ว

“ก็ต้องอันตรายมากๆเลยน่ะสิ เจ้าจะกลายเป็นเนื้อชิ้นโตที่ถูกกลุ่มคนมารุมฉีกกินด้วยความหิวโหย” เฟิ่งชิงเฉินเป็นกังวลยิ่งนัก ส่วนเสด็จอาเก้าก็มองว่าเฟิ่งชิงเฉินคิดไปไกลใหญ่แล้ว นางไม่ได้มีความสามารถในเรื่องนี้เสียหน่อย

แต่เสด็จอาเก้าก็ไม่คิดที่จะบอกเฟิ่งชิงเฉิน เขาต้องการใช้โอกาสนี้ปลุกความฮึกเหิมในตัวนาง ช่วงนี้เฟิ่งชิงเฉินอยู่เงียบๆ จะกางกรงเล็บก็เพียงแค่ตอนเผชิญหน้ากับหลี่เซี่ยง นอกเหนือจากนั้นหากไม่จำเป็นต้องแผลงฤทธิ์นางก็จะอยู่เฉยๆ

เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าเพราะรู้สึกคล้อยตาม แม้การเปรียบเปรยนี้จะไม่น่าฟังนัก แต่เสด็จอาเก้าก็พูดถูก จะต้องมีวันหนึ่งที่นางกลายเป็นเนื้อชิ้นโต

กลุ้มใจจริงๆเลย เฟิ่งชิงเฉินส่งสายตาไปถามเสด็จอาเก้าว่านางควรจะทำอย่างไรดี

เสด็จอาเก้าใช้แววตาปลอบประโลมเฟิ่งชิงเฉิน พร้อมกล่าวอย่างไม่ค่อยมั่นใจ “เฟิ่งชิงเฉิน ถ้าหากเจ้ากลัว เจ้าก็ต้องเตรียมการไว้ล่วงหน้า”

“เตรียมการ? เตรียมการอะไรหรือ?” เรื่องแบบนี้จะให้เตรียมการเช่นไร เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้เลยจริงๆ จะยอมเสียมือทั้งสองข้างของตัวเองไปหรือ? นางทำใจไม่ได้หรอก

“เตรียมรวบรวมกำลังที่จะใช้ไปต่อกรกับสี่แคว้นและเก้าเมือง” เสด็จอาเก้าเน้นย้ำทุกคำที่เขาพูด

เพี้ยะ……

“เสด็จอาเก้า ท่านว่าอะไรนะ?” เฟิ่งชิงเฉินฟาดมือที่อยู่บนศีรษะ

เสด็จอาเก้ารีบดึงมือที่บวมแดงของตัวเองกลับไป พลางแอบบ่นในใจว่าเฟิ่งชิงเฉินตีแรงชะมัด ไม่เห็นอ่อนโยนเหมือนในตอนนั้นเลย ว่าแล้วเขาก็นึกถึงช่วงเวลาในอดีต ในสายตาของเขามีเฟิ่งชิงเฉินเพียงคนเดียวเท่านั้น

ในตอนนั้น เฟิ่งชิงเฉินมักมองเขาจนเหม่อลอย ส่วนในตอนนี้……

เฮ่อ……เสด็จอาเก้านึกตำหนิตัวเองอยู่ในใจที่ตอนนั้นไม่ดื่มด่ำกับความสุขให้เต็มที่ ดูเฟิ่งชิงเฉินในตอนนี้สิ เป็นผู้หญิงของเขาแล้วแท้ๆ แต่เขากลับแตะต้องไม่ได้เลย

แต่เป็นเช่นนี้มันก็ดีเหมือนกัน

เมื่อหันไปเจอเฟิ่งชิงเฉินมองหน้าเขาด้วยสีหน้างุนงง เสด็จอาเก้าก็รีบเก็บซ่อนความเศร้าบนใบหน้า เขาพูดต่อไปว่า “เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าได้ยินไม่ผิดหรอก หากเจ้าไม่อยากตกเป็นเครื่องมือของสี่แคว้นและเก้าเมือง เจ้าก็ต้องทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่เกินกว่านั้น ให้มีอำนาจอยู่เหนือจักรพรรดิ ทำให้ทุกคนไม่กล้ามายุ่งกับเจ้า แล้วเจ้าจะทำทุกอย่างได้ตามที่ใจปรารถนา”

เสด็จอาเก้ากล่าวด้วยน้ำเสียงที่แน่นิ่ง เฟิ่งชิงเฉินรับรู้ทุกคำพูด แต่ความรู้สึกนางหลังจากได้ยินแล้วมีเพียงคำเดียวคือคำว่าตกใจ “เสด็จอาเก้า ท่านคิดมากเกินไปแล้ว มันจะเป็นไปได้อย่างไร”

“มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ล่ะ ดูอย่างข้านี่สิ สี่แคว้นและเก้าเมือง ไม่เห็นมีใครกล้ามายุ่งกับข้าเลย” เสด็จอาเก้ากล่าวด้วยความมาดมั่น

“เอ่อ ก็จริงแฮะ” เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าหงึกๆ ตอนนี้สมองนางว่างเปล่า คำพูดที่วนเวียนอยู่ในหัวมีเพียงประโยคที่พูดว่า…….

หากไม่อยากตกเป็นเครื่องมือ ก็ต้องอยู่เหนือสี่แคว้นและเก้าเมือง มีอำนาจอยู่เหนืออำนาจจักรพรรดิ

มันเพ้อฝันเกินไปไหม

คำพูดเช่นนี้ไม่มีใครกล้าพูดออกมาหรอก แต่เสด็จอาเก้าไม่เพียงแค่พูดออกมาเท่านั้น แต่ยังกำลังวางแผนลงมือทำเสียด้วย

อยู่เหนือสี่แคว้นและเก้าเมือง มีอำนาจอยู่เหนืออำนาจจักรพรรดิ นางมองว่าตอนพูดก็พูดง่าย แต่ถ้าหากให้ลงมือทำแล้ว มันยากจนเกินจะบรรยาย

ไม่ว่าจะเป็นยุคโบราณหรือยุคปัจจุบัน การที่จะทำเช่นนั้นได้ จะต้องมีกองกำลังและการสนับสนุนทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีเงินเพียงอย่างเดียวก็ไม่ได้ หากมีเงินเพียงอย่างเดียว คำสั่งคงเป็นเพียงฟองสบู่

และในยุคสมัยที่ใช้ศาสตราวุธ กองกำลังที่ยิ่งใหญ่ก็คือกองกำลังทหาร

คำพูดที่ว่าวิทยาการที่ล้ำหน้าจะนำพาประเทศสู่ความเจริญรุ่งเรืองอะไรนั่นใช้ไม่ได้หรอก สุดท้ายแล้ววิทยาการทั้งหลายก็ต้องนำมาทำเป็นกองกำลังอยู่ดี กองกำลังคือรากฐานของแคว้นที่แข็งแกร่ง หากนางมีทหารอยู่ในมือสัก 1 ล้านนาย ใครหน้าไหนที่จะมายุ่งกับนาง นางจะกำจัดให้ราบคาบ

แต่ว่านางจะไปสร้างกองกำลังจากไหนล่ะ การซ่องสุมกองกำลังส่วนตัวถือเป็นเรื่องที่ผิด และประเด็นที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือกองกำลังจำนวน 1 ล้านนาย จะสามารถรับมือกับสี่แคว้นและเก้าเมืองในเวลาเดียวกันได้หรือไม่?

เฟิ่งชิงเฉินคิดคำนวณอยู่ในใจ……

หากมีความแข็งแกร่งในมือแล้ว แผนการในที่ลับหรือที่แจ้งก็ไม่มีความหมาย แต่ก่อนอื่นนางจะไปหากองกำลังที่แข็งแกร่งได้จากไหน

ไฟแห่งความฮึกเหิมที่ลุกโชนในใจของเฟิ่งชิงเฉินเมื่อครู่นี้ ค่อยๆริบหรี่ลงเรื่อยๆ

ความคิดจุดประกายได้โดยไม่มีที่สิ้นสุด แต่ความเป็นจริงช่างลำบากเหลือเกิน หากจะทำให้ได้อย่างที่เสด็จอาเก้าพูดมา มันยากกว่าปีนขึ้นไปบนท้องฟ้าเสียอีก ในภพชาติที่แล้วมานางหาใช่คนที่มักใหญ่ใฝ่สูง ภพชาตินี้ก็คงเป็นไม่ได้อีกตามเคย

แววตานางที่เคยทอประกาย มาบัดนี้เริ่มแน่นิ่งขึ้นเรื่อยๆ เสด็จอาเก้านั่งอยู่ข้างๆนางโดยมิได้พูดสิ่งใด จนกระทั่งเฟิ่งชิงเฉินคอตก เสด็จอาเก้าจึงดึงนางมาสวมกอด

เขารู้ดีว่า ในเวลานี้เฟิ่งชิงเฉินไม่มีทางปฏิเสธแน่นอน……