ภาคที่ 1 บทที่ 150 อันดับ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 150 อันดับ

 

 

หลังจากสามารถกดให้จีหานเยี่ยนถอยไปได้แล้ว การสอบในครั้งนี้ก็เป็นไปด้วยความราบลื่น

 

 

กลุ่มคน 3 คนท่องเที่ยวไปทั่วสนามสอบอย่างสบายอกสบายใจ พากันเดินทางข้ามแต่ละเขตพร้อมจัดการคู่ต่อสู้ทุกคนที่พบระหว่างทางไม่เหลือ

 

 

ไม่ว่าใครก็ไม่อาจรอดพ้นเงื้อมือพวกเขาไปได้ ไม่…แม้แต่จะต้านทาน

 

 

มีอยู่บ้างที่พวกเขาเผชิญหน้าเข้ากับเหล่าผู้มีฝีมือ แต่หากเทียบกับจีหานเยี่ยนก็ไม่นับว่ามีฝีมือเท่าไรนัก ความมั่นใจของคนทั้งสามพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ ยามจัดการศัตรูที่ขวางทางทั้งซ้ายและขวา

 

 

ในวันนั้น คนทั้งสามสามารถเก็บคะแนนได้มากที่สุดนับตั้งแต่เข้าสู่สนามสอบมา

 

 

ในช่วงนี้ ซูเฉินอยากหาลี่ชิงอวิ๋นและไป๋หลี แต่ทว่าเด็กหนุ่มไม่เจอคนทั้งคู่เลย ดังนั้นจึงไม่อาจรู้ได้ว่าสองคนนั้นฝ่ามาถึงเขต 1 หรือไม่

 

 

แสงอาทิตย์แรกส่องสว่างที่เส้นขอบฟ้า เสียงนกหวีดหนึ่งดังขึ้น เป็นสัญญาณการจบการสอบสามวันสามคืนของสถาบันมังกรซ่อนเร้น

 

 

เหล่าผู้เข้าสอบร่างกายกลายเป็นแสง ก่อนจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ณ ลานกว้าง

 

 

พวกเขาต่างเงยหน้ามองแผ่นแสงขนาดใหญ่ที่อยู่เบื้องบน บนแผ่นแสงนั้นแสดงคะแนนของผู้เข้าสอบแต่ละคนเรียงตามลำดับความมากน้อย

 

 

หลังจากการประลองสามวันผ่านพ้นไป ในที่สุดผลลัพธ์จากความยากลำบากที่ลงแรงไปก็ผลิดอกออกผลเสียที เหล่าผู้เข้าสอบที่สามารถยืนหยัดอยู่จนการสอบจบลงต่างพากันมองหาชื่อตนบนแผ่นแสง

 

 

บางครั้งก็จะมีเสียงตะโกนออกมาว่า “ข้าติด 1 ใน 6 ! ข้าได้เข้าสถาบันแล้ว !” หรือไม่ก็ “บัดซบ! 3 คะแนน ! อีก 3 คะแนนข้าก็ชนะมันแล้วแท้ ๆ!”

 

 

น้ำเสียงของแต่ละคนต่างเจือไปด้วยความสุข ความกังวล ความตื่นเต้น และความโกรธ

 

 

แต่ด้วยการสอบหฤโหดของสถาบันมังกรซ่อนเร้น คนส่วนมากจึงถูกคัดออก ดังนั้นจึงมีแต่น้ำเสียงเศร้าโศกเสียใจและผิดหวังเสียมากกว่า มีเพียงคนไม่กี่คนที่แสดงความตื่นเต้นยินดีออกมา

 

 

คนส่วนมากมุ่งหวังเพียงเข้าสถาบันได้ก็เพียงพอ หากแต่บางคนก็หวังสูงกว่านั้น

 

 

จินหลิงเอ้อร์ไล่มองรายชื่อตนเองด้วยความประหม่า

 

 

นางเงยหน้ามองรายชื่อแถบบนสุด จากนั้นไล่ต่ำลงมาไม่นานก็พบว่าชื่อนางอยู่อันดับที่สิบ !

 

 

จินหลิงเอ้อร์ 722 คะแนน

 

 

“เฮ้อ ! ข้าทำได้แล้ว” จินหลิงเอ้อร์ถอนหายใจโล่งอกออกมา

 

 

เป็นเพราะซูเฉินชิงคะแนนนางไปมากพอสมควร จินหลิงเอ้อร์จึงมีคะแนนน้อยกว่าที่คาดคิดไว้มาก แม้ตอนท้ายนางจะต่อสู้ดุเดือดเพื่อชิงเอาคะแนนที่เสียไปกลับคืนมา หากแต่ก็แตะได้ถึงอันดับสิบเท่านั้น

 

 

แต่ถึงกระนั้นจินหลิงเอ้อร์ก็พอใจแล้ว

 

 

แท้จริงแล้วสามอันดับแรกนับว่าแตกต่างจากอันดับอื่น ๆ ที่เหลือในสิบอันดับ หากแต่ความแตกต่างนั้นก็ไม่ได้มากมายนัก สำหรับจินหลิงเอ้อร์แล้ว หากติดหนึ่งในสิบได้นางก็ยอมเสียอย่างอื่น

 

 

นางเงยหน้าไล่สายตาดูรายชื่ออีกครั้ง ก่อนจะพบกับชื่อของซูเฉินที่อยู่อันดับที่ห้า

 

 

ซูเฉิน 814 คะแนน

 

 

“นี่ ยินดีด้วยนะ” จินหลิงเอ้อร์กล่าวกับซูเฉิน “เจ้าติดหนึ่งในห้า”

 

 

“ไม่ต่างจากอันดับสิบมากนักหรอก” ซูเฉินตอบอย่างไม่ยินดียินร้าย

 

 

ที่เขาพูดเป็นความจริง อันดับห้าและอันดับสิบไม่แตกต่างกันมากเท่าไหร่

 

 

“นี่ อย่างน้อยพวกเจ้าก็ติดหนึ่งในสิบ น่าเสียดายที่ข้าได้แค่อันดับที่สิบหก” เจ้าอ้วนหวังถอนหายใจ แรกเริ่มการสอบเขาทำอันดับได้ไม่ดีนัก ทำให้ไม่อาจตามอีกสองคนได้ทัน

 

 

“คะแนนเจ้าก็ไม่ได้แย่ นับได้ว่ายังเป็นหน่ออ่อนของสถาบันได้ แม้จะลำดับต่ำไปหน่อยก็ตามที” จินหลิงเอ้อร์เอ่ยปลอบ

 

 

ทั้ง 3 คนเงยหน้ามองประกาศคะแนนอีกครา จีหานเยี่ยนคือผู้ที่ได้รับคะแนนสูงสุด แม้จะพ่ายแพ้ให้แก่คนทั้งสาม แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อนางมากนัก นางยังคงไล่ล่าชิงคะแนนต่อไป

 

 

นางได้มากถึง 1345 คะแนน มากกว่าซูเฉินอยู่ 500 คะแนน กระทั่งอสูรโลหิตจงติ่งที่ได้อันดับที่สองยังตามนางอยู่ถึง 400 คะแนน

 

 

บนแผ่นแสงบอกคะแนน จีหานเยี่ยนเป็นผู้ที่ได้คะแนนสูงที่สุด คะแนนของนางไม่ว่าผู้ใดก็ได้แต่มองตามอย่างสิ้นหวัง นอกจากนางแล้ว อีกเก้าอันดับอื่น ๆ ล้วนได้คะแนนไม่ต่างกันมากนัก

 

 

แต่ถึงกระนั้น ชื่อของซูเฉินก็นับว่าโดดเด่นมากในสิบอันดับแรก

 

 

เป็นเพราะเขาเป็นคนเดียวที่ไม่มีสัญลักษ์สายเลือดปรากฏอยู่ที่ท้ายชื่อ

 

 

แม้เขาจะอยู่ลำดับที่ห้า แต่ผู้คนกลับให้ความสนใจเขาไม่น้อยกว่าจีหานเยี่ยนเลยทีเดียว

 

 

“ซูเฉิน ? ใครกัน ? เหตุใดคนไร้สายเลือดจึงติดอันดับหนึ่งในห้าได้ ?”

 

 

“ข้ารู้จักมัน ไม่รู้ว่าทำอย่างไร แต่มันได้ร่วมมือกับจินหลิงเอ้อร์ ใช้ประโยชน์จากนาง เพื่อกวาดเอาคะแนนไปมากโข”

 

 

“เป็นเพราะมันเอาชนะนาง หลังจากนั้นจึงร่วมมือกัน” ผู้เข้าสอบคนหนึ่งที่ถูกคัดออกจากการสอบมาก่อนหน้านี้เห็นภาพเหตุการณ์จากแผ่นแสงเอ่ยตอบ

 

 

“ไร้สาระ มันจะเอาชนะจินหลิงเอ้อร์ได้อย่างไร ? ข้าว่าเป็นเพราะมันมีหน้าตาหล่อเหลา จินหลิงเอ้อร์จึงยอมให้มันเสียมากกว่า”

 

 

ในลานกว้าง ผู้คนต่างพูดคุยกันเสียงดัง ความคิดต่าง ๆ นานาถูกยกขึ้นมาถกเถียงมากมาย คนมากมายถูกซูเฉินทำให้ ‘ตกตะลึง’ ในขณะเดียวกัน เหล่าคนที่ถูกเขาเอาชนะก็กำลังเอ่ยวาจาเชือดเฉือนเขาอยู่ หลายคนที่รู้ความจริงเพียงส่วนหนึ่งต่างเชื่อว่าตนรู้เรื่องราวทั้งหมด ยามเล่าให้ผู้อื่นฟังก็มีการแต่งเติมเสริมบางส่วนเข้าไปด้วย

 

 

หรือก็คือตอนนี้ผู้คนต่างกำลังพูดถึงซูเฉิน ว่าคนผู้นี้ใช้แผนการอันใดกันแน่

 

 

แต่ไม่ว่าผู้อื่นจะคิดเห็นอย่างไร นามของ ‘ซูเฉิน’ ก็ได้ขจรไปไกลแล้ว

 

 

หลายคนรู้แล้วว่าในการสอบครั้งนี้มีอัจฉริยะคนใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้น เขาคนนี้ไร้ซึ่งสายเลือดใด แต่กลับสามารถอยู่เหนือกว่าคนทั้งเขตได้

 

 

ซูเฉินไม่สนใจบทสนทนาเกี่ยวกับตัวเขาแม้แต่น้อย สายตาเขาจับจ้องไปยังลำดับชื่อ พยายามหาชื่อลี่ชิงอวิ๋นและไป๋หลี

 

 

ไม่นานก็พบชื่อของคนสองคน

 

 

ลี่ชิงอวิ๋นอยู่ที่อันดับ 88 มีคะแนน 236 คะแนน ในขณะที่ไป๋หลีได้คะแนนน้อยกว่าเพียงสองคะแนน เขาได้ 234 คะแนน พวกเขาเป็นสองคนที่ได้คะแนนอยู่อันดับที่สองและสามในเขตเมืองหลินเป่ย ทั้งยังติดหนึ่งร้อยอันดับแรกทั้งสองคน นับเป็นเรื่องที่หาได้ยาก

 

 

ซูเฉินรู้ในภายหลังว่าคนทั้งคู่เดินทางมาถึงเขต 5

 

 

หากแต่พวกเขาก็ไม่อาจเดินหน้าไปได้อีก หลังจากเดินทางเข้าเขต 5 ได้ไม่นาน ก็ถูกผู้เข้าสอบฝีมือสูงส่งคนอื่น ๆ บีบให้ต้องล่าถอยไป ไม่นานจึงต้องออกจากเขต 5 ไป

 

 

ในตอนนั้นซูเฉินยังอยู่ที่เนินกลบวิญญาณ ดังนั้นจึงไม่เจอคนทั้งคู่เลย

 

 

สองคนนั้นรู้ว่าซูเฉินคือหน้ากากปีศาจ หลังจากรู้ว่าซูเฉินสามารถบีบให้จีหานเยี่ยนล่าถอยไปได้ก็ได้แต่นิ่งเงียบไม่เอ่ยคำใด พวกเขาไม่รู้ว่าซูเฉินวางแผนใช้กำลังพวกตนในการมุ่งหน้าข้ามเขตต่อไป แต่กลับคิดว่าพวกตนโชคดีนักที่ไม่ประมือกับซูเฉินไปเมื่อตอนนั้น ไม่เช่นนั้นคงจะต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปอย่างแน่นอน และหากถูกตัดออกจากการสอบไป ทุกสิ่งอย่างก็ไร้ความหมาย

 

 

อีกทั้งยังรู้สึกขอบคุณซูเฉินอยู่เล็กน้อยด้วย

 

 

อันดับที่สี่ของเมืองหลินเป่ยคือหลินจิ้งซวน ได้อันดับ 178 ด้วยคะแนน 115 คะแนน ส่วนหลินชูเยว่นั้นได้คะแนนน้อยกว่า 3 คะแนน เช่นนี้ชะตาคงลิขิตมาแล้วว่านางคงไม่มีโอกาสได้เข้าสถาบันมังกรซ่อนเร้น

 

 

ผลออกมาเป็นเช่นนี้ไม่เป็นที่น่าแปลกใจนัก ซูเฉินมอบยาระเบิดให้หลินจิ้งซวนไปหลายขวด ในเมื่อซูเฉินสามารถสยบและครอบงำหลินจิ้งซวนได้ ดังนั้นเขาจึงต้องพาคนผู้นี้เข้าไปใช้ประโยชน์ในสถาบันมังกรซ่อนเร้นต่อ

 

 

ผลลัพธ์เช่นนี้นับว่าเมืองหลินเป่ยโดดเด่นยิ่งนัก

 

 

ซูเฉินสามารถติดหนึ่งในสิบอันดับได้ ทำให้เมืองหลินเป่ยมีหน้ามีตา ทั้งผลเช่นนี้ยังนำพาประโยชน์มากมายสู่เมืองอีกด้วย

 

 

ความสำเร็จนี้ของซูเฉินทำให้การประลองเข้าสถาบันมังกรซ่อนเร้นในครั้งต่อไป เมืองหลินเป่ยคงได้ที่นั่งอย่างน้อยห้าถึงหกที่นั่ง

 

 

ด้วยเหตุนี้เจ้าเมืองหลินเป่ย เยว่เว่ยฉวง จึงแย้มยิ้มด้วยความยินดี คนหลายคนเดินเข้ามาแสดงความยินดีกับเขา

 

 

สำหรับเขาแล้ว นี่นับได้ว่าเป็นความสำเร็จทางตำแหน่งของเขาด้วยเช่นกัน แม้ว่าตัวเขาจะไม่ได้ทำอันใดมากก็ตาม

 

 

จะให้ทำไงได้เล่า ? ระบบเจ้าขุนมูลนายก็เป็นเช่นนี้ หากผู้อยู่ใต้อำนาจประสบความสำเร็จ คนผู้นั้นก็จะสำเร็จตามมันไปด้วย แต่หากผู้อยู่ใต้อำนาจทำผิดพลาด คนผู้นั้นก็ย่อมต้องรับผิดชอบร่วมด้วยเช่นกัน

 

 

ความสำเร็จยิ่งใหญ่เช่นนี้อย่างไรก็ต้องถูกบันทึกลงในหนังสือราชการ อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในปัจจัยในการประเมินเหล่าขุนนางข้าราชการ เยว่เว่ยฉวงได้ความสำเร็จครั้งนี้มาโดยไม่เสียสักตำลึง ไม่ว่าจะมองอย่างไรเขาก็ชอบเด็กซูเฉินนี่มาก

 

 

ดังนั้นเขาจึงเดินทางไปเพื่อแสดงความยินดีกับตระกูลซู

 

 

หากแต่นายทะเบียนที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้นกับเยว่เว่ยฉวงเสียงเบา “ซูเฉินมีความสัมพันธ์ย่ำแย่ตระกูลซู เมื่อครึ่งปีก่อนเขาเป็นผู้ทำลายท่านหญิงสี่หยานหวู่ชวงของบิดาตนด้วยมือของเขาเอง ส่งผลให้บิดาเขาโกรธเกรี้ยวจนถึงขึ้นพยายามสังหารบุตรชาย ดูแล้วบิดากับบุตรไม่ลงรอยกันมานาน อีกทั้งตอนนี้ซูเฉินก็ไม่นับซูเฉิงอันเป็นบิดาตนอีกต่อไป”

 

 

“เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นได้อย่างไร ?” เยว่เว่ยฉวงชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก้มหน้าลงพึมพำเสียงค่อย “เช่นนั้นสานสัมพันธ์กับตระกูลซูไปก็ไม่ได้อันใด ตอนนี้ซูเฉินนับเป็นหน่ออ่อนของสถาบันมังกรซ่อนเร้น มีอนาคตกว้างไกลไร้ขอบเขต ในเมื่อมันกับตระกูลซูไม่ลงรอยกัน เจ้าลองดูว่าจะสามารถดึงตัวมันมาได้หรือไม่ เจ้าคิดว่าข้าควรยื่นข้อเสนอช่วยมันจัดการตระกูลซูดีหรือไม่ ?”

 

 

นายทะเบียนกล่าวต่อ “ข้าน้อยรู้จักนิสัยซูเฉินดี มันเป็นคนแยกแยะความแค้นชัดเจน ดูแล้วแม้จะแยกจากตระกูลซู แต่คงไม่มีความคิดจัดการตระกูลซูเช่นเดียวกัน อาจตัดสินใจเดินกันคนละทางเพียงเท่านั้น ดังนั้นท่านจึงไม่จำเป็นต้องจัดการตระกูลซู ไม่เช่นนั้น…… ท่านรู้ดี คนในตระกูลทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่เป็นนิจ หากเรายื่นมือเข้าแทรกแซงมากเกินไปอาจมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้”

 

 

“อืม มีเหตุผล” เยว่เว่ยฉวงพยักหน้าหลายครั้ง

 

 

นายทะเบียนเอ่ยขึ้น “อีกอย่าง ซูเฉินล่วงเกินตระกูลพาน แม้จะมีตระกูลใหญ่ที่ชื่นชมมัน แต่จากนิสัยของมันแล้ว ข้าน้อยไม่คิดว่ามันจะยอมเป็นลูกน้องใคร เรายังไม่รู้ว่าสถานการณ์จะดำเนินไปเช่นไร ขอท่านโปรดมองการไกล”

 

 

เยว่เว่ยฉวงลูบหนวดยาวตนก่อนกล่าว “เจ้าพูดไม่ผิด เพียงแต่การที่ซูเฉินติดอันดับหนึ่งในสิบเช่นนี้ทำให้เมืองหลินเป่ยสูงส่งขึ้นด้วย ในฐานะที่ข้าเป็นเจ้าเมือง หากไม่ไปแสดงความยินดีก็คงจะดูใจดำไปสักหน่อย เจ้าคิดว่าข้าควรทำเช่นไร ?”

 

 

“มอบของขวัญให้ ทว่ารักษาระยะห่าง”

 

 

เยว่เว่ยฉวงคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้าก่อนกล่าวขึ้น “เอาตามนั้นก็แล้วกัน”