บทที่ 151 ยอมรับความพ่ายแพ้
แม้จะมีหลากหลายคนไม่พอใจกับผลลัพธ์ที่ออกมา หากแต่ผลที่ออกมาย่อมเป็นที่สุด
เหล่าผู้เข้าสอบต่างไล่มองคะแนนตนบนแผ่นแสง แต่ละคนมีปฏิกิริยาต่อคะแนนและอันดับของตนแตกต่างกันไป บางคนดีใจ หากแต่ส่วนมากจะรู้สึกหดหู่ใจ เสียใจ ไปจนถึงกระทั่งสิ้นหวัง แต่ไม่ว่าจะมีความรู้สึกสลักซับซ้อนเช่นไร ต่างคนก็ต่างเดินออกจากลานกว้างตามกันไปคนแล้วคนเล่า
หลังจากนัดหมายกันว่าจะไปเจอกันอีกคราที่สถาบันมังกรซ่อนเร้นแล้ว ซูเฉินก็บอกลาจินหลิงเอ้อร์และหวังโต้วซาน
ซูเฉินไม่เหมือนเช่นคนอื่น เขาไม่ได้เดินไปยังตระกูลซู แต่กลับเดินตรงออกไปจากลานเพียงเท่านั้น
สำหรับเขาแล้ว การมีอยู่ของตระกูลซูไม่ใช่เรื่องสำคัญ แค่การเข้าร่วมการสอบครั้งนี้ด้วยชื่อตระกูลก็นับว่าเขาไว้หน้ามากแล้ว หากแต่เรื่องที่เขาจะไปยืนรวมกับตระกูลซูให้คนอื่น ๆ มาแสดงความยินดีนั้น…… ไม่มีทางเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ซูฉางเช่อและคนอื่น ๆ มองตามซูเฉินที่เดินออกจากลานกว้างไป ไม่หันมามองทางพวกเขาสักแวบเดียว
“ฮึ่ม อกตัญญู” ซูฉางชิงคำรามเสียงโกรธ ทำท่าราวกับที่ผ่านมาตนรักและสนับสนุนซูเฉินมาโดยตลอด
ซูฉางเช่อเอ่ยเสียงเบา “มันยังไม่คิดกลับมายังตระกูลซูสินะ เฟยหู เจ้าลองเรียกเขามาได้หรือไม่ อย่างไรมันคงไว้หน้าเจ้าบ้าง”
ซูเฟยหูหัวเราะ “ก็อาจจะ แต่แล้วอย่างไร ?”
แต่แล้วอย่างไร ?
ทุกคนชะงักไป
ซูฉางเช่อเอ่ย “สุดท้ายพวกเราก็คนในตระกูลเดียวกันหมด ในเมื่อมาด้วยกันได้ เหตุใดจึงแยกย้ายจากกันไปไม่ได้ ?”
ซูเฟยหูเอ่ย “ท่านพ่อ เหตุใดจึงไม่พูดเช่นนี้ก่อนการสอบจะเริ่มขึ้นเล่า ? ซูเฉินต้องการความช่วยเหลือจากท่านอยู่หลายครั้ง แต่ยามที่เขาต้องการท่านกลับไม่เคยยื่นมือเข้าช่วย”
“ข้า……” ซูฉางเช่ออยากพูดบางอย่าง หากแต่ไร้เสียงจะพูดออกมา
ซูเฟยหูตอบ “มีคนอยู่ 2 ประเภทที่น่ารังเกียจที่สุด หนึ่งคือคนที่ทิ้งเราไว้ลำพังยามเราต้องการความช่วยเหลือ สองคือคนที่กลับมาหาเรายามเราไม่ต้องการเขาแล้ว ท่านพ่อ ตระกูลซูเป็นคนประเภทแรกไปแล้ว อย่าได้เป็นคนประเภทที่สองอีกเลย ดีหรือไม่ ?”
ประโยคนี้ทำให้สมาชิกตระกูลซูที่มาในวันนี้โกรธเกรี้ยวนัก
หากแต่ซูฉางเช่อกลับรู้สึกสะเทือนใจเล็กนิ้ย “เฟยหู เจ้าจะบอกว่าหากตอนนี้เราพยายามเข้าไปเอาใจมันตอนนี้ มันจะยิ่งเกลียดชังเรางั้นหรือ ?”
ซูเฟยหูตอบ “ถูกต้อง”
“เช่นนั้นตอนี้เราต้องรอเวลาไปก่อน พอมีจังหวะค่อยดึงตัวมันกลับมา แบบนั้นใช่หรือไม่ ?” คนบางคนไม่พอใจกับคำกล่าวนั้น
“มันเป็นทางเดียวที่จะทำให้เขายังนับถือตระกูลอยู่บ้าง” ซูเฟยหูตอบ
หลังจากเดินออกจากลานกว้างมาแล้ว ซูเฉินก็ค่อย ๆ เดินลงเขาไปอย่างไม่รีบร้อน
เดินลงไปได้ไม่ไกลเท่าใดนัก พริบตาต่อมาก็มีเงาร่างของคนสองคนกระโดดเข้ามาหาเขา
คนหนึ่งมาทางซ้าน อีกคนหนึ่งมาทางขวา บีบให้ซูเฉินอยู่ตรงกลาง
คนแรกจับซูเฉินไว้จากด้านหลัง ทำให้ซูเฉินไม่อาจเดินต่อไปได้
พลังต้นกำเนิดเข้มข้นที่แผ่ออกจากร่างแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นผู้มีขั้นพลังด่านกลั่นโลหิต
ห่างออกไปไม่ไกลนัก กลุ่มคนขนาดใหญ่กลุ่มหนึ่งล้อมรอบเขาไว้ ค่อย ๆ เดินล้อมกรอบซูเฉินเข้ามา ไร้ซึ่งทางหนี
หนึ่งในนั้นกล่าวขึ้น “ปิดปากให้เงียบแล้วตามพวกข้ามา !”
ซูเฉินยิ้มบาง “วางใจเถอะ ข้าไม่ร้องตะโกนหรอก”
ผู้ที่ควบคุมซูเฉินอยู่ด้านหลังประหลาดใจกับท่าทางสงบนิ่งของเขานัก อดถามขึ้นมาไม่ได้ “คุณชายซูรู้ว่าพวกข้าจะมาหรือ ?”
ซูเฉินเดินไปกับกลุ่มคน ถอนหายใจออกมา “หากข้าไม่เดินทางไปกับพวกเจ้า พวกเจ้าก็คงไม่ยอมแพ้ใช่หรือไม่ ? บอกข้ามาเถอะว่าซางเจินรอข้าอยู่ที่ใด ?”
“……”
ภายในเวลาต้มชาหนึ่งกา ซูเฉินก็ได้พบกับซางเจินที่กำลังนั่งจิบชาอยู่ใต้ต้นไม้บนยอดเขาแห่งหนึ่ง
เยี่ยเม่ย ชิงไป๋ และคนอื่น ๆ ยืนอยู่ข้างเขา
เมื่อเห็นท่ทางสงบนิ่งของซูเฉินแล้ว ซางเจินก็ถอนหายใจออกมา “ดูท่าแผนการจะล้มเหลว”
“ถึงจะล้มเหลว แต่ท่านก็ยังอยากลองดูใช่หรือไม่ ?” ซูเฉินตอบยิ้ม ๆ
“ย่อมเป็นเช่นนั้น” ซางเจินโบกมือวูบหนึ่ง คนสองคนก็เดินหน้าขึ้นมา หยิบแหวนต้นกำเนิดและแผ่นรูปแบบต้นกำเนิดออกจากตัวซูเฉิน
ซางเจินเหลือบมองไปที่แผ่นรูปแบบต้นกำเนิด เห็นว่ามีแกนพลังงานแห่งซาร์คอยู่สี่แกนอยู่ภายใน
จากนั้นก็ไล่ดูของในแหวนต้นกำเนิด ไม่แปลกที่เขาไม่พบดอกซากวิญญาณ
เขาเงยหน้ามองซูเฉินด้วยสายตาระแวดระวัง “คุณชายเตรียมตัวมานานแล้วหรือ ?”
ซูเฉินยักไหล่ “ย่อมไม่แปลก ยามข้าก้าวออกจากสนามสอบย่อมเป็นเวลาที่พวกท่านมั่นใจเรื่องสถานที่ของดอกซากวิญญาณมากที่สุด หากไม่ลงมือตอนนี้ก็คงไม่มีโอกาสอื่นแล้ว”
ซูเฉินคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าพวกเขาจะลงมือเช่นนี้
อย่างไรอารามนิรันดร์ก็คืออารามนิรันดร์ แม้จะทำทีเป็นเห็นด้วยกับข้อตกลง ยอมว่าจ้างซูเฉินเป็นการตอบแทน หากแต่ก็ใช้แผนการเรียบง่าย รอให้ซูเฉินออกจากสนามสอบ จับตัวเขาไว้ จากนั้นบังคับเอาของที่มีทั้งหมดจากตัวเขา
วินาทีที่ซูเฉินก้าวออกจากสนามสอบ อย่างไรก็ต้องนำของทุกอย่างติดตัวออกมาด้วย หากใช้แผนเช่นนี้ก็จะสามารถบังคับเอาดอกซากวิญญาณมาได้แทนที่จะรอเวลาฝึกฝนเขาอีกหลายปีโดยไร้เหตุผล แต่เช่นนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าทางองค์กรจะไม่ยอมฝึกฝนให้ซูเฉิน คนฉลาดเช่นเขา หากเข้าร่วมกับอารามนิรันดร์อย่างไรก็ต้องส่งเสริมให้องค์กรเจริญรุ่งเรืองขึ้น หากแต่นั้นเป็นการลงทุนกับสมาชิกองค์กร ไม่ใช่กับเจ้าเด็กบัดซบไร้ยางอายผู้นี้!
เมื่อซางเจินเห็นซูเฉินยืนอยู่เช่นนั้นก็ไม่ได้มีอารมณ์ขุ่นมัวอันใด เขารู้ว่าแผนการตนล้มเหลว
แน่นอนว่าในตัวของซูเฉินก็ไร้ซึ่งดอกซากวิญญาณ
“มันต้องซ่อนดอกซากวิญญาณไว้ในเขายอดแดงเป็นแน่ เขาไม่ได้ไปเอามันมาเอง แต่กลับให้คนอื่นไปเอาออกมาแทน !” อาหลุนเอ่ยเสียงโกรธ “เจ้าเด็กนี่เจ้าเล่ห์นัก”
“คำถามคือเป็นผู้ใด ? ในสนามสอบมีผู้เข้าแข่งขันนับหมื่น เราจะรู้ว่าเป็นใครได้อย่างไร ?” ชิงไป๋ส่ายหน้าอย่างสิ้นหวัง
แผนการของซูเฉินเรียบง่ายหากแต่ได้ผลดีนัก
อารามนิรันดร์กระทั่งส่งคนไปจับตามองกังเหยียน หลี่ชู่ และคนอื่น ๆ หากแต่คนเหล่านั้นไม่มีผู้ใดเข้ามายังเขายอดแดงเลย
ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้ว่าดอกซากวิญญาณอยู่ที่ใด !
หากซูเฉินไม่ให้ความร่วมมือ ดอกซากวิญญาณก็จะไม่มีวันปรากฏตัวขึ้น !
“หึ ดูท่าครั้งนี้คุณชายจะชนะไปอีกครา” ซางเจินเอ่ยเสียงสิ้นหวัง
กลิ่นอายความความเป็นปรปักษ์ที่พุ่งมาทางเขาเริ่มจางหายไป
ซางเจินโบกมืออีกครา คนที่จับกุมซูเฉิน อยู่ปล่อยมือในพลัน “หวังว่าเหตุการณ์เล็กน้อยเช่นนี้คงไม่เป็นการล่วงเกินคุณชาย ทั้งสองฝ่ายจะได้ร่วมมือกันต่อไปได้”
หากทางองค์กรไม่พบดอกซากวิญญาณ เช่นนั้นข้อตกลงครั้งก่อนก็ยังมีผล !
ซูเฉินหัวเราะเสียดสีใส่ “ข้าไม่ใส่ใจ หากแต่การกระทำของพวกท่านทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจในข้อตกลงของทั้งสองฝ่าย เป็นการกระทำที่ไม่ค่อยเหมาะสมนัก หากพวกท่านคิดทำลายความไว้ใจอย่างง่ายดายเช่นนี้ เกรงกว่าจะส่งผลต่อการร่วมมือต่อไปของพวกเรา”
ซางเจินหรี่ตาลง “หือ? คุณชายซูหมายความว่าอย่างไร ?”
“หากทางองค์กรล่วงเกินข้า สมควรต้องมีการไกล่เกลี่ยประนีประนอมใช่หรือไม่ ?” ซูเฉินเอ่ยถาม พูดจบก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา เขาเตรียมมันไว้เพื่อการณ์นี้ มันคือรายการสิ่งของที่เขาต้องการ
เมื่อถงลู่เห็นรายการของ เขาก็เกือบกระโดดตัวลอย “เมล็ดต้นสนหมอก 100 เมล็ด เมล็ดต้นกินเนื้อ 100 เมล็ด…… วิชาเร่งการเติบโต 1 วิชา ทักษะต้นกำเนิดจับคำลวง 1 วิชา…… เจ้าเด็กเวรนี่ ขอเช่นนี้ไม่ปล้นพวกข้าเสียเลยเล่า ?”
คำขอของซูเฉินมีของที่เป็นของถงลู่อยู่หลายอย่าง ไม่แปลกที่เขาจะโกรธ
กระทั่งซางเจินยังโกรธเกรี้ยวจนต้องหัวเราะออกมา “คุณชายชิงของเราไปมากมาย ตอนนี้ยังต้องการให้พวกเราจ่ายค่าจ้างอีกหรือ ?”
“หรือข้าไม่ควร ?” ซูเฉินโต้ตอบ “พวกท่านเป็นฝ่ายผิดสัญญาก่อน ดังนั้นต้องมีค่าผิดสัญญา”
“หรือเจ้ากล้าพูดว่าตอนจัดการกองกำลังหุบเขาเงาเจ้าไม่ได้หลอกลวงพวกข้า ?” ถงลู่เอ่ยขึ้น
“ข้าหลอกพวกท่านจริง !” น่าแปลกที่ซูเฉินยอมรับในพลัน “แต่พวกท่านไร้หลักฐาน ! หากมีหลักฐานจับข้าได้ เช่นนั้นส่วนแบ่งจากกองกำลังหุบเขาเงาก็จะตกเป็นของทางองค์กรจนหมด ข้าก็คงได้แต่ยอมรับผิดแล้วทำงานให้พวกท่านโดยไร้ค่าตอบแทน !”
ซูเฉินเอ่ยถ้อยคำแต่ละคำออกมาอย่างชัดเจน “หากแพ้จำต้องยอมรับความพ่ายแพ้ นี่คือกฎ ! อารามนิรันดร์ไม่อาจสูญเสียของเหล่านี้ได้หรอกหรือ ?”
“เจ้า !” เปลวเพลิงแห่งความโกรธเกรี้ยวของผู้ที่อยู่ตรงนั้นเกือบแผดเผาต้นไม้โดยรอบจนสิ้นแล้ว
ในตอนนั้นเองก็มีเสียงคนผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น “ตอบตกลงเขาไปเสีย เขาพูดถูก หากเจ้าแพ้…… ก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ !”
——————————————
ในขณะเดียวกันนั้นเอง ในตรอกมืดสนิทแห่งหนึ่ง
หลินจิ้งซวนเดินผ่านตรอกแคบแห่งนี้มาด้วยความระมัดระวัง ในที่สุดที่ปลายตรอกก็พบกับประตูบานหนึ่ง
เขาผลักประตูเปิดออก จากนั้นผลักอีกประตูเปิดออก ในที่สุดก็เดินเข้ามายังห้องศิลาน่าขนลุกห้องหนึ่ง
ภายในห้อง คือโจวหงกำลังนั่งรออยู่
โจวหงเห็นหลินจิ้งซวนเดินเข้ามาก็ส่งยิ้มให้ “เจ้ามาถึงเสียที ของเล่า ?”
หลินจิ้งซวนหยิบแหวนออกจากในอกก่อนวางไว้ตรงหน้าโจวหง
โจวหงรับแหวนมาไม่เหลือบมองเพียงนิด หลังจากเก็บมันเรียบร้อยแล้วเขาก็จ้องหลินจิ้งซวน “เจ้าได้เปิดดูหรือไม่ ?”
หลินจิ้งซวนหัวร่อ “ข้าไม่กล้าขัดคำสั่งนายน้อยซูแล้วแอบดูหรอก”
หากแต่ในใจเขากลับก่นด่าสาปแช่งอยู่หลายสิบคำ ไอ้ขี้ข้านี่ ใช้เจ้านายมาข่มขู่ข้า หากข้าเป็นอิสระจากซูเฉินเมื่อไรข้าจะจัดการเจ้า
“ไม่หรือ ?” โจวหงยิ้มเย้ย “ข้าถามเจ้าหน่อย ตอนนี้เจ้ารู้สึกเย็นยะเยือกหรือไม่ ?”
หลินจิ้งซวนตกตะลึง “จ-เจ้ารู้ได้อย่างไร ?”
โจวหงคำรามออกมา “ตอนนายน้อยสั่งเจ้า นายน้อยได้บอกหรือไม่ว่าของที่อยู่ภายในมียาพิษ ?”
หลินจิ้งซวนหกคอลงไม่เอ่ยคำใด
ถูกต้อง ซูเฉินบอกเขาแล้ว แต่เขากลับไม่ใส่ใจด้วยเพราะคิดว่าเป็นเพียงกลลวง ในหัวเขาเพียงคิดว่าซูเฉินต้องการใช้ประโยชน์จากเขาแต่ไม่วางใจเขาเท่านั้น…
โจวหงโยนกระจกบานหนึ่งให้ “มองหน้าตนเองให้ดี ๆ”
หลินจิ้งซวนรับกระจกมา เมื่อเห็นใบหน้าตนเองเขาก็ตื่นตระหนกในทันที
ใบหน้าเขาซีดขาวน่ากลัวนัก ริมฝีปากเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ ราวกับเป็นคนป่วยวัณโรค ความสง่างามที่เคยมีหายไปจนสิ้น
เขาตะโกนใส่โจวหง “เป็นความผิดของข้าเอง ! ข้าไม่น่าแอบดูเลย นายน้อยซูคงจะคาดการณ์ไว้แล้วใช่หรือไม่ ? ข้ายอมรับผิดแล้ว ! ขอร้องล่ะ ขอยาแก้พิษให้ข้า ช่วยข้า !”
เขาหวาดกลัวสุดขีด
โจวหงเอ่ยเสียงเย็น “คิดเสียเถอะว่าเจ้าโชคดีนัก เจ้าเหลือบมองเพียงไม่เท่าไหร่ อาจจะแตะต้องมันไปแล้วเสียด้วยซ้ำ หากเจ้ากล้าขโมยไปชิ้นหรือสองชิ้นแล้วซ่อนไว้ในตัว ถ้าเช่นนั้นกระทั่งนายน้อยก็ไม่อาจช่วยเหลือเจ้าได้”
พูดไปเขาก็ดึงยาขวดหนึ่งออกมา
มันคือยาถอนพิษที่ซูเฉินเตรียมไว้
หลินจิ้งซวนเอื้อมมือไปหมายจะคว้าขวดยานั่น หากแต่โจวหงดึงมันกลับมา “เจ้าขัดคำสั่งนายน้อย แอบดูสิ่งของของนายน้อย คิดว่าคำขอโทษเพียงไม่กี่คำนั้นเพียงพอแล้วหรือ ?”
“ว่าอย่างไรนะ ?” หลินจิ้งซวนชะงักไป
โจวหงลุกขึ้นยืนก่อนเดินเข้าหาเขา ในมือมีไม้ท่อนใหญ่อยู่ท่อนหนึ่ง “นายน้อยมีคำสั่งมาแล้ว หลินจิ้งซวนขัดคำสั่งเจ้านาย บทลงโทษคือโบย 80 ครั้ง ! หลินจิ้งซวน จงคุกเข่ารับโทษเสีย !”
“เจ้า……!” หลินจิ้งซวนถลึงตามองโจวหง
“หากยังอยากมีชีวิตอยู่ก็ยอมรับบทลงโทษแต่โดยดีเสีย” โจวหงเอ่ยเสียงเย็นชา “นายน้อยกล่าวว่า……”
“หากเจ้าแพ้ ก็จำต้องยอมรับความพ่ายแพ้ !”