ตอนที่ 421 เล่นว่าว / ตอนที่ 422 โบตั๋นที่โรยราเมื่อยามผลิบาน

ลิขิตฟ้าชะตารัก

ตอนที่ 421 เล่นว่าว 

 

 

 

 

 

หยกโลหิตนั้นไม่ได้มีความพิเศษเพียงแค่มีหยดเลือดเท่านั้น ทว่ายังมีคุณค่าที่มันสามารถรักษาโรคได้ ในยามปกติก็มีสรรพคุณในการช่วยเหลือให้ร่างกายแข็งแรง เพราะอย่างนั้นมันจึงถูกเรียกว่าสมบัติล้ำค่าของแผ่นดิน นี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ไม่มีเหตุผลแต่อย่างใด 

 

 

“เจ้ามองอะไร” ฉู่ป๋ายเห็นนางมองหยกเลือดในมือด้วยความสงสัย เช่นนั้นจึงชะงักไป  

 

 

“ไม่มีอะไร” อวี้อาเหราส่ายหน้า หมุนตัวกลับไปแล้วกระชับเสื้อคลุมกันลมให้แน่นยิ่งขึ้น เมื่อเห็นว่าเขาคิดที่จะออกจากห้องด้วยเสื้อผ้าบางๆ เช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า “เจ้าสวมเสื้อบางถึงเพียงนั้น ก็ไม่หนาวหรือ” 

 

 

ฉู่ป๋ายตอบอืมเสียงเบาๆ 

 

 

อวี้อาเหรามองไปที่เขาด้วยความแปลกใจ ในวันที่อากาศหนาวเย็นถึงเพียงนี้ แม้ว่านางจะสวมใส่เสื้อขนจิ้งจอกแล้วยืนอยู่ในห้อง แต่ก็ยังรู้สึกหนาว แต่แม้ว่าเสื้อของเขาจะหนากว่าเสื้อที่สวมอยู่ทุกวันหนึ่งชั้น แต่ก็ยังดูหนาวเย็นอยู่ดีมิใช่หรือ 

 

 

“คุณหนูรองอาจจะไม่ทราบ” หานสือมองไปยังซื่อจื่อของตัวเอง แล้วช่วยอธิบายแทนเขา “ด้านในเสื้อของซื่อจื่อนั้นบุขนสัตว์อยู่อีกหนึ่งชั้น เพราะฉะนั้นจึงอบอุ่นยิ่งนัก ขนสัตว์ชนิดนี้เรียกว่าเสวี่ยเตียว[1]เป็นสัตว์ที่กำเนิดอยู่ในบริเวณที่หนาวเย็น ขนของมันนั้นช่วยเก็บรักษาความอบอุ่นได้มาก แม้เพียงชั้นบางๆ ก็เพียงพอที่จะสามารถทำให้ซื่อจื่ออบอุ่นได้แล้ว อีกอย่างซื่อจื่อก็ได้ฝึกฝนวิชาเผาไหม้ตัวตนมาหลายปี เพราะฉะนั้นร่างกายจึงมีลมปราณสองชนิด สามารถควบคุมลมหนาวในตัวเองได้ เพราะอย่างนั้นจึงไม่รู้สึกหนาวมากขอรับ” 

 

 

อวี้อาเหราพยักหน้าแสดงท่าทีเข้าใจ นี่เป็นเพราะอีกฝ่ายมีเงิน ไม่ว่าของดีเพียงใดก็มีเอาไว้ในครอบครองได้ เมื่อเทียบกันแล้ว นางก็ช่างเหมือนกับคนบ้านนอกคอกนายิ่งนัก หากไม่ได้ยินหานสือพูดเรื่องเสวี่ยเตียวขึ้นมา นางก็ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าจะมีสัตว์ชนิดนี้อยู่ในโลกด้วย 

 

 

หรือว่าก็คงจะมีเพียงในยุคนี้เท่านั้นกระมัง 

 

 

เมื่อถึงศตวรรษที่ 21 สัตว์โลกตั้งหลายชนิดก็สูญพันธุ์ไปแล้วมิใช่หรอกหรือ? 

 

 

ตอนนี้เองทั้งสองถึงค่อยออกไปด้านนอก ฉู่เกอมาถึงตั้งนานแล้ว นางสวมเสื้อผ้าดูอบอุ่นยิ่งนัก มีผ้าคลุมพันกายแทบจะเหมือนกับนาง ดูแล้วจวนเซิ่นอ๋องก็คงไม่ได้ใจกว้างกับทุกคน แม้แต่น้องสาวแท้ๆ ของเขาเองก็ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างดี ต้องบอกว่าเขานี่ช่างตะหนี่ถี่เหนียวนักเชียว! 

 

 

“โอ้ ในที่สุดพวกท่านทั้งสองก็มาเสียทีนะ” ฉู่เกอยืนรออยู่ที่หน้าประตูมาสักพักแล้ว ในมือของนางมีว่าวอยู่หนึ่งตัว เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้งถึงค่อยพบว่าในโลกนี้จะมีว่าวที่สวยงามได้กี่ตัวกันเชียว เมื่อเห็นว่านางและฉู่ป๋ายสังเกตเห็นแล้ว เช่นนั้นถึงได้เลิกคิ้วขึ้นอย่างพอใจ “พี่เหราเอ๋อร์ ท่านว่าว่าวตัวนี้สวยหรือไม่” 

 

 

“สวยสิ” อวี้อาเหราพยักหน้าลงอย่างชื่นชม ช่างทำได้ไม่เลวเลยจริงๆ ร่อนได้สูง สามารถเห็นได้ชัดว่าฝีมือในการทำนั้นดีมากทีเดียว 

 

 

“เป็นข้าที่ทำเอง” ฉู่เกอแสดงท่าทีคุยโว 

 

 

“เจ้าทำเองหรือ” อวี้อาเหราตกใจ ไม่คิดว่าท่านหญิงจวิ้นจู่ที่เพียบพร้อมไม่อดอยากไม่ขาดแคลนอย่างนางจะทำว่าวเป็น ฝีมือของนางแทบจะไม่ต่างจากมืออาชีพเลยทีเดียว 

 

 

“แน่นอนสิ” ฉู่เกอว่าอย่างฉุนๆ 

 

 

ฉู่ป๋ายจึงเอ่ยแทรกขึ้นว่า “นางก็ทำเป็นเพียงสิ่งนี้เท่านั้น อย่าได้เพียงมองว่าตอนนี้นางทำดีขึ้นมาสักหน่อย แต่นางเรียนมาตั้งหลายปีเพิ่งจะทำออกมาได้เช่นนี้ เมื่อก่อนทำตั้งหลายร้อยตัวก็ร่อนไม่ขึ้นสักตัว” 

 

 

อวี้อาเหราพลันหัวเราะออกมาในทันใด ต้องพูดว่านางนั้นอดทนยิ่งนักที่ยังมีใจพยายามทำมาตั้งหลายปี ถึงแม้จะล้มเหลวไปตั้งกี่ครั้งกี่หน นี่ก็ช่างน่ายกย่องยิ่งนัก ทว่าเหตุใดนิสัยส่วนนี้ช่างแตกต่างจากพี่ชายของนางราวฟ้ากับดินเลยเล่า? 

 

 

หากเป็นฉู่ป๋าย นางสามารถบอกได้เลยว่าเพียงแค่ครั้งแรก เขาก็สามารถทำได้ถึงระดับนี้แล้ว! 

 

 

ไม่ใข่ว่านางนั้นคุยโว แต่ว่าเขานั้นก็มีความสามารถเช่นนี้จริงๆ 

 

 

ฉู่เกอจ้องมองฉู่ป๋ายอย่างโกรธเคือง “ท่านไม่พูดจะตายหรืออย่างไร อย่างไรเสียข้าก็เป็นน้องสาวแท้ๆ ของท่านนะ!” 

 

 

 

 

 

——  

 

 

[1] เสวี่ยเตียว เป็นสัตว์จำพวกเฟร์เร็ต 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 422 โบตั๋นที่โรยราเมื่อยามผลิบาน 

 

 

 

 

 

“ข้าไม่พูดแล้ว” ฉู่ป๋ายหัวเราะแล้วหยุดพูด 

 

 

แม้ว่าสองพี่น้องจะเป็นเช่นนี้ แต่เพียงมองก็รู้ว่ามีความสัมพันธ์ที่ดีเพียงใด 

 

 

อวี้อาเหราหมดคำที่จะเอ่ย ผู้ชายคนนี้ แม้แต่น้องสาวแท้ๆ ของตัวเองก็ไม่ออมมือ จนทำให้นางนึกสงสัยว่ามีพี่ชายเช่นนี้ก็ไม่รู้ว่าฉู่เกอโตขึ้นมาอย่างไร และใช้ชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง 

 

 

“พี่เหราเอ๋อร์ วันนี้ลมเย็นดีนัก พวกเราไปเล่นว่าวในสวนดอกเหมยของฉู่ฉู่กันเถิดเจ้าค่ะ ท่านป่วยถึงเพียงนี้ก็ควรที่จะทำให้เหงื่อออกบ้าง มิเช่นนั้นอาการป่วยคงจะไม่ดีขึ้นง่ายๆ ” ฉู่เกอว่า 

 

 

“อืม ดี” อวี้อาเหราตกลง 

 

 

เพราะอย่างนั้นพวกเขาจึงเดินทางไปยังสวนที่เรือนหลัง 

 

 

ฉู่เกอนำว่าวมาด้วยหลายตัว ทั้งหมดนั้นมีประมาณเกือบจะสิบกว่าตัวได้ ดูแล้วคงได้เล่นกันทุกคน 

 

 

เมื่อมาถึงสวนดอกเหมย ฉู่เกอก็มองไปยังท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ใบหน้างดงามอ่อนโยนส่องสะท้อนแสงตะวัน ดูงดงามเป็นอย่างยิ่ง นางมีความกระตือรือร้นแบบที่กุลสตรีตระกูลสูงอื่นๆ ไม่มี หากดูเพียงภายนอกก็คงดูไม่ออกว่าเมื่อก่อนนี้นางจะเคยร่างกายอ่อนแอ ดูแล้วนางคงอาการดีขึ้นมาก 

 

 

ยามที่นางกำลังคิดจะพูดอะไรขึ้นนั้น ที่ด้านนอกก็บังเกิดเสียงหัวเราะอย่างยินดีขึ้นมา 

 

 

“พวกเจ้าเล่นกันอยู่ที่นี่ เหตุใดจึงไม่เรียกเรามาร่วมด้วยเล่า?” เสียงหัวเราะของจวินอู๋เหินลอยเข้ามาจากทางด้านนอก จากนั้นก็ก้าวยาวๆ เดินเข้ามา เสื้อสีขาวลายดอกโบตั๋นดูงดงามยิ่งนัก ทั้งแข็งกร้าวและอ่อนน้อม 

 

 

ดอกโบตั๋น เหมือนโบตั๋นที่โรยราเมื่อยามผลิบาน… 

 

 

ไม่รู้เช่นกันว่าเหตุใดเขาจึงชื่นชอบดอกโบตั๋นนัก นางจำได้ว่าทุกครั้งที่พบเขา เสื้อผ้าที่เขาสวมอยู่ก็มักจะมีรอยปักเช่นนี้ 

 

 

หลังจากนั้น ร่างของเขาก็ปรากฏต่อสายตาของทุกคน ซึ่งยังมีองค์ชายใหญ่จวินจื่อหร่าน รวมไปถึงฟู่เส่าชิงอยู่ด้วย 

 

 

เมื่ออวี้อาเหราเห็นจวินจื่อหร่านแล้วก็ชะงักไป นางยังจำได้ว่าตอนที่นางไปยังเมืองตะวันตกนั้นเคยหลอกเอาเสบียงมาจากเขา แต่เดิมนางคิดว่าจะต้องอดยากจนกว่าจะไปถึงเมืองตะวันตก แต่ไม่คิดว่านางพูดเพียงส่งๆ ลอยๆ เขากลับยกเสบียงทั้งหมดให้นางเสียอย่างนั้น 

 

 

หลังจากที่ฟู่เส่าชิงได้ยินจวินอู๋เหินกล่าวเช่นนี้แล้ว ทันใดนั้นก็หัวเราะขึ้นมา “พวกท่านช่างมีอารมณ์สุนทรีย์ยิ่งนัก ไม่ใช่ว่าคุณหนูรองหลิงอ๋องป่วยอยู่หรอกหรือ เหตุใดจึงมาเล่นว่าวอยู่ที่นี่ได้?” 

 

 

“ใครบอกว่าป่วยแล้วเล่นว่าวไม่ได้กัน” อวี้อาเหราหัวเราะเย็น เมื่อนึกถึงเริ่นหว่านเอ๋อร์แล้ว สีหน้าของนางก็ไม่ค่อยสู้ดีนัก 

 

 

จวินจื่อหร่านพยักหน้าเห็นด้วย สองมือวางไพล่ไว้ที่ด้านหลัง “คุณหนูรองกล่าวได้ถูกต้อง” 

 

 

อวี้อาเหราเหยียดริมฝีปาก แล้วคารวะเขา “ถวายบังคมองค์ชายเพคะ” 

 

 

“ไม่ต้องมากพิธี” จวินจื่อหร่านโบกมือ ก่อนจะเหลือบสายตามองไปทางฉู่ป๋าย สีหน้าของเขาชะงักไปเล็กน้อย แล้วจึงค่อยฟื้นสีหน้าให้อบอุ่นขึ้นมา “สีหน้าของเซิ่นซื่อจื่อดูไม่ดีเลยนะ หรือว่าจะเจ็บป่วยอีกแล้ว?”  

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ” ฉู่ป๋ายพยักหน้ารับเล็กน้อย แล้วตอบกลับอย่างไร้อารมณ์ 

 

 

“ท่านนี้คงจะเป็นท่านหญิงเซิ่นใช่หรือไม่” จวินจื่อหร่านเบนสายตาออกจากร่างของเขา แล้วมองไปยังฉู่เกอที่กะพริบตาปริบๆ อยู่ทางด้านหลังของเขา ท่าทีตกใจของนางนั้นแม้จะมองเพียงเล็กน้อย แต่หากมองอย่างพินิจแล้ว ก็ย่อมจะมองเห็นได้ 

 

 

“ยินดีที่ได้พบองค์ชายใหญ่เพคะ” ฉู่เกอสังเกตเห็นสายตาของเขา ในใจของนางก็รู้สึกไม่ค่อยยินดีนัก แต่ก็ยังเลียนแบบอวี้อาเหรา ทำความเคารพตามที่นางกระทำ 

 

 

“ท่านหญิงรีบลุกขึ้นเถิด” จวินจื่อหร่านยิ้มอย่างยินดี สายตามองไปยังร่างของนาง มองขึ้นๆ ลงๆ อย่างประเมิน ไม่ปิดบังสายตาของตัวเองเลยแม้แต่น้อย นี่ก็ช่างกำเริบเสิบสานยิ่งนัก 

 

 

นี่ยิ่งทำให้ฉู่เกอไม่พอใจ เมื่อเห็นสายตาที่ของจวินจื่อหร่านแล้วนางก็รู้สึกไม่ยินดี ราวกับนางเขาถอดเสื้อผ้าของนางแล้วมองประเมินไปทั่วร่างอย่างไรอย่างนั้น เช่นนั้นจึงรีบหลบหลังของฉู่ป๋าย