บทที่ 1634 - การเดินทาง

Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล

บทที่ 1634 – การเดินทาง

 

ก่อนที่เขาจะกลับไปหอคอยจักรพรรดิชิงสุ่ยได้กลับไปที่พระราชวังเทพสมุทรอีกครั้งและพักที่นี่หนึ่งคืน เพื่อยู่กับเจี้ยนเก้อแตกต่างจากครั้งที่แล้ว เพราะทั้งคู่ใช้เวลาด้วยกันตลอดไม่แยกจากกันเลยแม้แต่น้อย ในที่สุดเพี้ยนเก้อก็ยอมจํานนต่อความรักและความหลงใหลที่บริสุทธิ์และไร้มลทินที่ชิงสุ่ยมอบให้

 

และในที่สุดเธอก็ได้พ่ายแพ้ให้กับชิงสุ่ย ขณะที่เขาจับเธอกดลงและค่อยๆคร่ำครวญสะโพกของเขาเป็นจังหวะๆ เขาได้ปิดตาลงในขณะที่สะโพกของเขาก็ยังเคลื่อนไหนอยู่ ในตอนนี้ชิงสุ่ยรู้สึกว่าโลกทั้งใบกําลังสั่นทะเทือนอยู่ภายใต้ช่วงล่างของเขา

 

ในตอนนี้ชิงสุ่ยได้มองลงเพื่อดูท่าทางที่สง่างามของเธอ ลมหายใจที่แผ่วเบาและเต็มไปด้วยความสุขได้ถูกครางออกมาเป็นจังหวะๆ มันนั้นเต็มที่ด้วยบริสุทธิ์และไร้เดียงสา และยังเขินอายอีกด้วย ในเวลานี้หัวใจของเขานั้นเต้นถี่ขึ้นอย่างบอกไม่ถูก ในตอนนี้ชิงสุยรู้สึกราวกับเขาได้หลุดลอยไปท่ามกลางห้วงอวกาศก็มิปาน

 

หลังจากที่เสร็จสิ้น ชิงสุยก็ได้เริ่มอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นที่พระรางวังสุริยา เมื่อได้ยินชิงสุ่ยกล่าวออกมาเธอได้แต่ยิ้มและพูดว่า “ เจ้ามีแรงจูงใจนอกจากนั้นรีปาวได้เดินทางไปยังสถานที่แห่งนั้น?”

 

ชิงสุ่ยยื่นมือออกมาและได้ตบลงไปที่ก้นของเธอด้วยความทะลึ่ง เสียงที่ชัดเจนและมีเสน่ห์ได้เปล่งออกมา

 

หลังจากที่ชิงสุ่ยกลับมา ทางด้านหลิงเฟิง หยินต่งและคนอื่นๆที่รู้ว่าชิงสุ่ยกําลังจะจากไปอีกครั้ง พวกเขาไม่คอยมีความสุขกับข่าวในครั้งนี้มากนักแต่ถึงอย่างไรพวกเขารู้ดีว่าที่ชิงสุ่ยต้องไปนั้นก็เพราะต้องการช่วยเหลือโอ่วเทียน และช่วยเหลือเฟิงซี่

 

นอกเหนือจากนั้นพวกเขาเองก็อดที่จะหดหูใจไม่ได้ เนื่องจากเฟิงซี่นั้นได้กลายมาเป็นดังเสาหลักที่คอยให้คําปรึกษาพวกเขา รวมถึงกับเป็นอาจารย์อีกด้วย ดังนั้นในการเดินทางของเธอในครั้งนี้จึงได้สร้างความเศร้าสร้อยในใจให้ทุกๆคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสวี่ย นั่ว

 

แม้ว่า เสวี่ย นั่วจะยังคงเรียกเธอว่าท่านป่า แต่เฟิงซีก็ปฏิบัติต่อเธอราวกับว่าเธอเป็นลูกสาวแท้ๆของตัวเอง เธอได้ให้ความรักและเอาใจเสี่ยนิ้วมากกว่าใครๆ

 

ในตอนนี้ ฉินชิงได้กลับมาแล้ว และเธอก็รู้ว่าหลิงเหยียนเป็นผู้สืบทอดมรดกของเทพอสูร มันทําให้เธอนั้นให้ความสนใจในตัวของหลิงเหยียนอย่างมาก นอกจากนี้เธอทั้งสองต่างก็ประหลาดใจกับความสวยงามของอีกฝ่าย แต่ถึงอย่างไรทั้งคู่ก็รู้ว่าเธอทั้งสองก็คือภรรยาของชิงสุ่ยเหมือนกัน

 

แม้ว่าฉันชิงจะรู้อยู่แล้วว่าชิงสุ่ยมีภรรยาอยู่แล้ว แต่เธอก็ยังคงได้รับผลกระทบทางจิตใจในวันนี้ เมื่อเห็นหลิงเหยียน ในตอนนี้เธอรู้สึกว่ามันคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่เธอจะข้ามผ่านมันไปได้

 

ในตอนนี้ฉันชิงพึ่งมาถึง แต่ชิงสุ่ย และเฟิงซี่ตั้งใจจะออกเดินทางในวันพรุ่งนี้มันทําให้เธอรู้สึกน้อยใจนิดหน่อย อย่างไรเธอก็สามารถเข้าใจได้ถึงเหตุผลของเขา

 

ในตอนนี้ชิงสุ่ยได้แนะนําเธอให้รู้จักกับถานท่าน หลิงเหยียน และบอกว่าเธอนั้นคือภรรยาของเขา

 

“ นางเป็นผู้หญิงที่งดงามที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบมา เจ้าช่างโชคดีจริงๆ” ฉินชิงยิ้มออกมา

 

ชิงสุยรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย เมื่อได้ยินคําชมของฉันชิงที่มีต่อหลิงเหยียน ถึงมันจะเป็นคําพูดที่ดี แต่ด้วยความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนของพวกเขา ชิงสุยรู้สึกว่ามันเป็นประโยคที่ไม่ควรกล่าวออก มาในตอนนี้

 

“ท่านหญิงชิงอ่อนน้อมถ่อมตนมากเกินแล้ว อันที่จริงข้า รู้สึกว่าเจ้าสวยกว่าข้าเสียอีก นี่ข้าพูดจริงๆนะ” ถานท่ายหลิงเหยียนยิ้มเบาๆออกมา

 

“โปรดเรียกข้าว่าฉิงชิง ถ้าท่านพี่เหยียนไม่รังเกียจ” ฉินชิงยิ้มเบา ๆ

 

“ หากเป็นเช่นนั้น ข้าจะเรียกเจ้าว่าชิงก็แล้วกัน”

 

ชิงสุ่ยรู้แปลกใจเกี่ยวกับสิ่งนี้ แต่ที่เขาสามารถบอกได้ก็คือทั้งคู่ยอมปรับตัวเข้าหากัน เพราะทั้งคู่นั้นเป็นผู้หญิงของเขา

 

ในตอนนี้ฉินชิงรู้สึกเสียใจเล็กน้อยเดินที่ที่เธอมาในครั้งนี้เพื่อมาหาชิงสุ่ย แต่ถึงอย่างไรชิงสุ่ยก็กําจะจากไปในอีกไม่ช้า เมื่อเห็นถึงความตั้งใจของฉงชิง หลิงเหยียนจึงได้กล่าวออกมา

 

“ ท่านแม่บุญธรรมจะเป็นอย่างไร หากเราให้น้องชิงร่วมเดินทางไปด้วยในครั้งนี้” หลิงเหยียนกล่าวออกมาก่อนที่จะมองไปที่ฉันชิง

 

“ข้าไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว มันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนาง” เฟิงซี่หัวเราะ

 

แม้ว่าคําพูดของเฟิง จะดูผ่อนคลาย แต่ความจริงๆแล้วมันได้แฝงความหมายเอาไว้ ในการเดินทางครั้งนี้ถือว่าเป็นเรื่องยากลําบากอย่างมาก เนื่องมีอันตรายมากมายที่รอพวกเขาอยู่ภายหน้า นอกยังมีศัตรูของนิกายจันทรานิรันกาลที่คอยจ้องจะเล่นงานพวกเขาอยู่อีกด้วย ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครๆจะร่วมเดินทางไปกับเธอ

 

“ น้องชิง เจ้าจะไปด้วยกันไม่ ยิ่งไปกันหลายๆคนจะทําให้เราปลอดภัยมากยิ่งขึ้น” หลิงเหยียน กล่าวกับสิ้นชิง

 

ฉินชิงยิ้มออกมาและกล่าว“ ถ้าเช่นนั้นก็คงต้องขอรบกวนท่านพี่และท่านป้าแล้ว”

 

ในวันถัดไป ชิงสุ่ย เฟิงซี่ หยินเทียน หลิงเหยียน และ ฉินชิง ได้เดินทางไปโดยนั่งอยู่ในรถม้าสัตว์อสูรขนาดใหญ่ มันดูเหมือนกับโรงแรมที่กําลังเคลื่อนที่อยู่ในเวลานี้ ด้วยมีมังกรสีทองขนาดยักษ์ที่ทําหน้าที่เป็นคนลากรถม้า

 

หลังจากที่กล่าวลาทุกๆคน ทั้งหมดก็ได้ออกเดินทางในทันที

 

ความเร็วของมังกรทองคํานั้นรวดเร็วอย่างมาก แต่ถึงอย่างไรมันก็ต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ในการเดินทาง เพื่อไปถึงส่วนที่ลึกที่สุดของทวีปแห่งนี้ โชคดีที่มังกรทองคํานั้นเป็นสัตว์อสูรที่มีความพิเศษอย่างมาก มันจึงสามารถเดินทางได้ทั้งในเวลากลางวัยและคืนโดยไม่ต้องหยุดพัก

 

ครึ่งเดือนต่อมาชิงสุ่ยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหน แต่ในช่วงเวลานี้พวกเขาได้ผ่านเมืองที่นับไม่ถ้วน นอกจากนี้ยังไม่มีปัญหาในระหว่างการเดินทางเลยแม้แต่น้อย เช่นเดียวกับฉินชิง และหลิงเหยียนที่ได้ค่อยๆปรับตัวและสนิทกันมากยิ่งขึ้น

 

หยุด!

 

เฟิงชีพูดเบา ๆ ขณะที่หยุดมังกรของเธอ เมื่อถึงจุดนี้ชิงสุ่ยรู้ว่ามีบางอย่างที่แปลกออกไปเพราะมีกลิ่นอายที่แข็งแกร่งถูกปล่อยออกมาต่อหน้าพวกเขาและมันไม่ได้เป็นเพียงแค่หนึ่งจุดเท่า

 

ตั้งแต่แรกชิงสุ่ยรู้ดีกว่าการเดินทางครั้งนี้จะไม่ได้เป็นไปอย่างง่ายดาย นอกจากนี้หยินเทียนก็ได้หายดีแล้ว พวกที่รอให้โฮวตายอยู่ก็คงจะทนนิ่งเฉยต่อไปไม่ได้

 

อย่างไรก็ตามแม้เขาจะหายดีแล้วแต่ความแข็งแกร่งของเขายังไม่ได้กลับมา มันเป็นเรื่องดีที่จะจัดการกับเขา

 

ยิ่งไปกว่านี้มันจะเป็นเรื่องที่ยากยิ่งหากพวกเขาสามารถกลับไปถึงนิกาบจันทรานิรันกาล ยังเป็นเรื่องยากที่จะลอบสังหารเขาลง

 

ในตอนนี้เฟิงซี่ไม่ได้พูดอะไรเธอได้ลอยออกมาจากรถม้า พร้อมๆกับชิงสุ่ยและปล่อยให้สองคนที่เหลือคอยดูหยินเทียนเอาไว้ ดูเหมือนเธอจะมั่นใจในตัวเองมากๆ

 

ในตอนนี้มีผู้คนแปดลอยเข้ามา มีดอยู่ในจุดสูงสุดของขั้นบัญชาสวรรค์พินาศ แต่อีกสองคนชิงชุ่ยไม่สามารถบอกได้ว่าพลังของพวกเราอยู่ในระดับใด เขาไม่สามารถมองเห็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของพวกเขาในตอนนี้

 

“ หยวนหยาง เจ้าคิดว่าคนเหล่านี้จะสามารถหยุดข้าได้อย่างนั้นรี ข้าไม่ต้องการฆ่าใครตอนนี้ไสหัวออกไปซะ” กลิ่นอายอันทรงพลังได้ระเบิดออกมา จากร่างกายของเฟิงซี่ ทําให้พื้นที่ทั้งหมดถูกห่อหุ้มไปด้วยแรงกดดันที่มหาศาล

 

“ฮ่า ๆ เจ้าคิดว่าเราจะมาที่นี่หากเราไม่มีแผนอย่างนั้นรี ในอดีตเราไม่สามารถทําอะไรกับเจ้าได้ แต่เมื่อสองปีก่อนร่างกายของเจ้าดูเหมือนจะมีปัญหา จากที่ข้าคาดการณ์เอาไว้ในตอนนี้ความแข็งแกร่งของเจ้าคงจะเหลือเพียงแค่70%เท่านั้นเอง” หนึ่งในสองชายชรากล่าวออกมา

 

“ ข้ารู้ดีว่าร่างกายของข้าเป็นยังไง แม้ข้าจะอ่อนแอลงก็ไม่ใช่ปัญหาในการสังหารพวกเจ้า” เธอกล่าวอย่างใจเย็น

 

เพิ่งรู้ดีสิ่งที่ชายชราพูดนั้นเป็นความจริง แต่ถึงอย่างไรก็ตามนี้เป็นความรับที่มีไม่กี่คนเท่านั้นที่ล่วงรู้ แล้วชายชราผู้นี้รู้มันได้อย่างไร

 

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชิงสุ่ยยื่นมือออกไปจับที่ข้อมือของเฟิงซี่ แล้วบอกว่า “ท่านป้า ท่านไม่ต้องกังวลไป ข้าจะรักษาให้ท่านในภายหลังทําไม ท่านไม่บอกข้าก่อนหน้านี้

 

“ ชิงสุ่ยข้าไม่มั่นใจเลยว่าจะสามารถเอาชนะคนเหล่านี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นข้ายังรู้สึกได้ว่ายังมีคนอื่นที่รอเล่นงานเราอยู่ ชิงสุ่ยข้าจะเรียกสัตว์อสูรของข้าออกมา เจ้าจงพาท่านลุงและภรรยาของเจ้าหนีไปซะ”

 

ชิงสุยรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมรตอนนี้ ฝ่ายตรงข้ามกําลังรอโอกาสนี้อยู่ 30%ของความแข็งแกร่งนั้นถือว่ามากมายมหาศาลอย่างมาก ด้วยความแข็งแกร่งที่ลดลงไปมันเป็นเรื่องยากที่เธอจะรับมือพวกเขา แต่สิ่งอื่นใดคือ ยังมีกลุ่มคนกลุ่มอื่นที่รอคอยพวกเขาอยู่อีกด้วย

 

“ ท่านป้าอย่าพึ่งวิตกไป ข้าสามารถช่วยฟื้นฟูพลังของท่านให้กลับไปสู่จุดสูงสุด และเหนือกว่าความแข็งแกร่งที่ผ่านมาเสียอีก” ในตอนนี้ชิงสุ่ยได้เรียกใช้ทักษะหงส์เพลิงสะบั้นศึกและ รัศมีแห่งเทพสังหาร เพื่อฟื้นพลังให้กับเธอในตอนนี้

 

เธอจ้องมองที่ชิงสุ่ยด้วยความไม่เชื่อ ด้วยทักษะที่เขาใช้ออกมามันได้เพิ่มความแข็งแกร่งโดยตรงให้กับเธอ ยิ่งไปกว่านั้นมันยังเป็นรูปแบบที่สนับสนุนกลุ่มคนในวงกว้าง ซึ่งนี่เป็นทักษะที่ยอดเยี่ยมอย่างมาก

 

ชิงสุ่ยรู้สึกเสียใจเล็กน้อยในตอนนี้ หากผู้หญิงและเขาทุกคนเรียนรู้ทักษะวิหคเพลิงผสานกาย พวกเขาจะเพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นได้อีก 10% จากผู้หญิงของเขาหนึ่งคน

 

ในตอนนี้เฟิงซี่ตื่นเต้นเล็กน้อย “เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ตอนนี้ข้ามั่นใจแล้วว่า ไม่ว่าผู้ใดจะปรากฏตัวออกมาในตอนนี้ก็ไม่ใช่คู่มือของข้า ”

 

ในตอนนี้ชิงสุ่ยยังไม่ได้ใช้ไพ่ตายของเขาออกมา แต่ถึงอย่างไรก็ตามด้วยรูปแบบที่เขาวางเอาไว้ในตอนนี้ มันก็เพียงพอที่จะทําให้เฟิงซี่สังหารอีกฝ่าย

 

ในตอนนี้หยินเทียนได้เดินออกมา แม้ว่าความแข็งแกร่งของเขาจะไม่แข็งแกร่งเทียบเท่าเมื่อก่อน แต่ด้วยศักดิ์ศรีและชื่อเสียงของเขา ทําให้เขาต้องออกมา ในตอนนี้เขาออกมาและยืนอยู่ข้างๆชิงสุ่ยและจ้องไปที่ชายชราเหล่านั้น “ หยวนหยางเจ้า คิดว่าคนของนิกายจันทรานิรันกาล ง่ายที่จะทําลายอย่างนั้น เจ้าเดรัจฉานรีบใส่หัวออกมา”

 

“ ยอมได้ ข้าจะเป็นพยานในการตายของเจ้า หยินเทียน” เสียงดังกึกก้องดังขึ้น เมื่อคนๆหนึ่งปรากฏตัวต่อหน้าชายชราทั้งแปด

 

ชายคนนี้ดุมีอายุเท่ากับหยินเทียน แต่ความเป็นจริงเขาเป็นชายชราที่แก่กว่าหยินเทียนมากนัก เขาเป็นผู้บ่มเพาะที่อยู่ในโลกบรรพกาล

 

ชายคนนั้นแต่งตัวในชุดสีดํา ประกอบด้วยเกราะอ่อนที่หน้าอก นอกจากนี้ยังมีผ้าคลุมยาวที่ด้านหลังของเขา ซึ่งมันนั้นชั่งเข้าคู่กับใบหน้าที่ดูเยือกเย็นและเคร่งขรึมเหมือนมืดมนของเขา เขาดูน่ากลัวและทรงไปด้วยอํานาจ ชิงสุ่ยรู้สึกว่าเขาเป็นตัวตนที่ไม่ใช่ใครๆจะสามารถแตะต้องได้