ตอนที่ 1065 วิธีจัดการกับซูหลีอย่างถูกต้อง / ตอนที่ 1066 เข้าวังยามวิกาล

เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ

ตอนที่ 1065 วิธีจัดการกับซูหลีอย่างถูกต้อง

 

 

เรื่องนี้ก็จบแต่เพียงเท่านี้

 

 

เรื่องที่ซูหลีได้กระทำที่หอติ่งไท่ในวันนั้น ทำให้ทั้งเมืองหลวงแตกตื่นฮือฮากันไปหมด

 

 

คนจำนวนมากที่รับชมจนจบเรื่องเพิ่งรู้สึกได้ว่า หลังจากที่ซูหลีทุบตีทำร้ายผู้อื่น ทุบทำลายโรงเตี๊ยมแล้ว กลับเอ่ยว่าจะชดใช้ทั้งหมดนี้ด้วยตนเอง แต่ท้ายที่สุดแล้วนางกลับมิได้ชดใช้ผู้อื่น และยังได้รับเงินชดใช้จากผู้อื่นถึงสี่แสนเก้าหมื่นห้าพันชั่ง

 

 

นี่…

 

 

ทำให้ผู้คนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี คนจำนวนมากก่นด่านางลับหลัง กล่าวว่าคนเช่นนางเหมาะที่จะไปทำการค้า จักต้องเป็นพ่อค้าหน้าเลือดคนหนึ่ง!

 

 

แต่ที่แปลกก็คือ หลังจากวันนั้นกู่ซู่กลับนำเงินมาส่งให้ที่จวนอย่างนอบน้อม ขณะที่มาแม้สีหน้าจะไม่สู้ดีนัก ทว่าอะไรที่สมควรให้ก็ให้ไปแล้ว ซูหลีก็นับอย่างชัดแจ้งแล้วเช่นกัน

 

 

ส่วนสกุลเซียวกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยแม้แต่น้อย

 

 

จนเหมือนคนที่เกิดเรื่องครั้งนี้ จะไม่มีความเกี่ยวข้องกับพวกเขาเลยแม้แต่น้อย

 

 

หลังจากที่ซูหลีสังเกตอย่างละเอียดมาหลายต่อหลายวัน นางรู้สึกลึกๆ ว่าเรื่องนี้จะต้องมีเงื่อนงำอะไรบางอย่าง ไม่แน่สกุลเซียวอาจจะครุ่นคิดวิธีอะไรเพื่อแก้แค้นนางอยู่!

 

 

ทว่านางไม่หวาดหวั่น ไม่ว่าจะมารูปแบบไหนก็มีวิธีรับมือ

 

 

แม้สกุลเซียวไม่คิดที่จะมาหาเรื่อง นางก็คิดหาวิธีจัดการกับสกุลเซียวอยู่ดี

 

 

ในบรรยายที่แปลกๆ นี้ ผ่านไปไม่กี่วันก็เป็นวันเกิดของซูหลี

 

 

เดิมนางออกมาจากเรือนจำก็ได้ตำแหน่งขุนนางคืนในทันที นี่ก็สามารถดึงดูดของผู้คนมากพอแล้ว และครานี้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น จึงยิ่งกลายเป็นประเด็นของราชสำนัก

 

 

เพียงดูเหมือนว่าประเด็นนี้ไม่ใช่สิ่งที่ล่วงเกินได้ง่าย ดังนั้นแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ไม่มีคนกล้าสังหารไปนาง

 

 

แน่นอนว่าแม้ในที่แจ้งจะไม่มี ไม่ได้หมายความว่าในที่ลับจะไม่สามารถทำได้

 

 

นี่ไม่รู้ว่ามีขุนนางตรวจการบางคนไม่รู้ว่าคิดอย่างไร ถึงได้รู้สึกว่ามีคนแปลกประหลาดอย่างซูหลีปรากฏตัวขึ้นเช่นนี้ เป็นโอกาสที่พวกเขาจะสร้างคุณงามความดีพอดี!

 

 

ยิ่งเมื่อรวมตัวกัน ต่างพากันเขียนฎีกายื่นมติไม่ไว้วางใจอย่างต่อเนื่อง

 

 

เนื้อความในฎีกานั้น ยกตัวอย่างความประพฤติที่เกินขอบเขตต่างๆ ของซูหลี ยังมีวิธีของนางซึ่งเป็นอันตรายต่อราชสำนัก เขียนสิ่งที่เรียกว่าหลักฐานยืนยัน ที่คนสกุลป๋ายมีชีวิตอยู่ดีๆ ถูกพูดจนตายไปแล้ว

 

 

แม้แทบไม่เอ่ยชื่อออกมาตรงๆ แต่คนเฉกเช่นซูหลีนี้ ก็คือตัวหายนะคนหนึ่ง

 

 

ทว่าไม่ต่างกับความหมายนั้น

 

 

เพียงแต่…

 

 

ฎีกาแม้ได้เขียนไว้แล้ว แต่เมื่อประสบเรื่องราวมากมาย กลับไม่มีใครคิดว่าซูหลีเป็นคนที่รังแกได้ง่ายๆ

 

 

หากฎีกานี้ถูกถวายต่อหน้าขุนนางในราชสำนัก โดยเฉพาะต่อหน้าซูหลี…ขุนนางตรวจการไม่กี่คนแค่คิดก็รู้สึกว่าหนังศีรษะของตนชาไปหมดแล้ว

 

 

พวกเขาเหล่านี้มิใช่สกุลที่มีฐานะและสูงศักดิ์อะไร ไม่มีความสามารถที่เก่งกาจขนาดนั้น อีกทั้งไม่ใช่บุคคลอันดับหนึ่งอะไรของเมืองหลวง ดูแล้วนำคนเหล่านี้มารวมกัน คาดว่าทรัพย์สินยังมีไม่มากเท่ากับเงินที่กู่ซู่ใช้ไป

 

 

คนเฉกเช่นพวกเขาหากกล้าไปกระตุกหนวดเสืออย่างซูหลี ยังไม่รู้ว่าจะถูกซูหลีจัดการจนมีสภาพเป็นอย่างไร!

 

 

เมื่อคิดเช่นนี้จึงรู้สึกว่าฎีกาฉบับนี้กลายเป็นเผือกร้อนๆ หากฎีกานี้ถูกถวายขึ้นไปจริงๆ เกรงว่าหนทางการเป็นขุนนางของตนคงถึงจุดจบแล้ว

 

 

ทว่าหากไม่ถวายขึ้นไป ขุนนางตรวจการบางคนยังไม่ยินยอม ใคร่ครวญดูแล้ว มีโอกาสอันดีวางอยู่ตรงหน้าตนขนาดนี้ ใครจะไม่อยากยื่นมือเข้าไปคว้ากัน!

 

 

แม้ไม่สามารถทำอย่างโจ่งแจ้ง ยิ่งไม่สามารถทำให้ซูหลีรับรู้ แล้วจะต้องใช้วิธีการใดทำฎีกานี้ถวายขึ้นไปกัน

 

 

ขุนนางตรวจการทั้งหลายสุมหัวปรึกษาหารือกันอยู่หลายต่อหลายวัน ถึงจะได้ผลสรุปออกมา!

 

 

ดังนั้นจึงฉวยโอกาสช่วงที่ซูหลีไม่อยู่ พวกเขาจึงร่วมมือกันยื่นตราอาญาสิทธิ์เข้าไปในวังหลวง เพื่อนำฎีกานี้ไปถวายต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้!

 

 

เช่นนี้ ดูสิว่าซูหลียังสามารถใช้วิธีใดจัดการกับพวกเขา!

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 1066 เข้าวังยามวิกาล

 

 

เพียงแต่นางยังไม่ทันคิดหาวิธีที่จะจัดการกับพวกเขา ก็ถูกฮ่องเต้เก็บกวาดเสียก่อน

 

 

เมื่อคิดเช่นนี้ อย่างไรวิธีคงเป็นวิธีที่ดีที่สุดจริงๆ ดังนั้นขุนนางตรวจการเหล่านี้จึงไม่ลังเลใจอีกต่อไป เลือกวันหนึ่งวันไปสืบการเคลื่อนไหวของซูหลีโดยเฉพาะ

 

 

ถึงได้รู้ว่าวันนี้เป็นวันครบรอบวันเกิดของซูไท่ผู้เป็นบิดาของซูหลี ซูหลีจักต้องกลับไปที่จวนซู วันครบรอบวันเกิดครั้งนี้ เพราะโทษของซูไท่ยังไม่ได้รับการตัดสิน อีกทั้งอายุมิใช่น้อยๆ แล้ว สกุลซูจึงมิได้วางแผนจัดงานเอิกเกริก

 

 

เพียงแค่กินข้าวกับคนในครอบครัวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาเท่านั้น

 

 

ทว่าไม่ว่าอย่างไรเรื่องที่จำเป็นต้องรู้ก็คือ ดังนั้นวันนี้ซูหลีไม่มีเวลาอย่างแน่นอน นางจะต้องอยู่ในจวนซูตลอด ไม่มีเวลาเข้าไปในวังหลวงอย่างแน่นอน

 

 

เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่เหล่านี้ปรบมืออย่างทันทีทันใด ดังนั้นพวกเขาจะจัดการวันนี้!

 

 

หลังจากที่ได้รับข่าวที่ซูหลีไปจวนซู เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่จึงรีบไปยื่นตราอาญาสิทธิ์เข้าไปในวังหลวง กลัวว่าหากตนช้าไปก้าวหนึ่ง เรื่องในวันนี้คงทำไม่สำเร็จ!

 

 

ในขณะที่ซูหลีไม่รู้ถึงสถานการณ์ในเวลานี้. ถูกคนมองว่าเป็นมหันตภัยร้ายแรงมิปาน จนถึงขั้นที่ไปถวายฎีกาเพื่อหลบหลีกนาง คิดๆ ดูแล้วตั้งแต่อดีตกาลจนถึงบัดนี้มีเพียงแค่ขุนนางกังฉินที่ ‘มีชื่อเสียงเลื่องลือ’ เท่านั้นถึงได้รับการปฏิบัติเช่นนี้!

 

 

แน่นอนว่านางไม่มีทางรับรู้

 

 

ที่นางไม่รู้ยิ่งกว่าคือ หลังจากที่เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่เข้าไปในห้องทรงพระอักษร ภายในห้องทรงพระอักษรกำลังมีละครสนุกแสดงอยู่!

 

 

 

 

สำหรับเรื่องนี้ซูหลีไม่รับรู้ทั้งสิ้น

 

 

เมื่อนางออกมาจากจวนซูหลี ท้องฟ้าก็มืดมากแล้ว

 

 

วันนี้อารมณ์ของซูไท่ดีไม่น้อย อีกทั้งยังให้คนยกสุรามา ต้องการให้ซูหลีดื่มสุราเป็นเพื่อน

 

 

นี่ทำให้ซูหลีตกใจมาก เรื่องที่นางเข้าใจอย่างชัดเจน นั่นก็คือสิ่งที่นางจะไม่แตะต้องตลอดชีวิตนี้ก็คือ สุรา!

 

 

หากดื่มเข้าไปแล้วเกิดเรื่องขึ้น นี่จะไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแล้ว

 

 

ดังนั้นไม่ว่าสุรานั่นจะหมักไว้หอมขนาดไหน ไม่มีผลร้ายอะไร ซูหลีก็ยังปฏิเสธอยู่ดี

 

 

ซูไท่มิได้บังคับนางขนาดนั้น จึงดื่มด่ำคนเดียวอย่างสำราญ

 

 

นี่นับว่าเป็นวันที่ซูไท่ความสุขที่สุดในช่วงเวลานี้ ซูหลีที่มองอยู่ด้านข้าง อารมณ์เต็มไปด้วยความซับซ้อน

 

 

แน่นอนว่าหากไม่มีใบหน้าเยียบเย็นของซูเนี่ยนเอ๋อร์อยู่ นางคงจะความสุขยิ่งกว่านี้

 

 

ซูไท่ดื่มสุราไปหลายแก้วจึงเริ่มเพลีย ซูหลีจึงให้คนนำเขาส่งกลับห้องของตนเองไป เวลานี้นางถึงได้หมุนกายเดินออกมาจากจวนซู

 

 

แม้จะพูดว่าบัดนี้ความสัมพันธ์กับซูไท่จะไม่ได้ทื่อๆ เช่นนั้นแล้ว ทว่ายามอยู่ในจวนแห่งนี้ครั้นเห็นใบหน้าของซูเนี่ยนเอ๋อร์ ซูหลีกลับไม่มีความสุข

 

 

นางรู้สึกว่าจวนของตนดีอยู่มาก อย่างน้องก็ไม่มีคนชักสีหน้าให้นางดู

 

 

ดังนั้นแม้พ่อบ้านซูจะรั้งให้นางอยู่ต่อ อย่างไรซูหลีก็ออกจากจวนซูอยู่ดี

 

 

คิดไม่ถึงว่าเมื่อออกมาจะเห็นรถม้าใหญ่โอ่อ่าคันหนึ่งจอดอยู่หน้าจวนซู มีคนหันมาคล้ายกับได้ยินการเคลื่อนไหวนี้

 

 

หลังจากที่ซูหลีเห็นคนผู้นั้น ใบหน้าจึงมีความตกใจอย่างที่มิอาจบรรยายออกมาได้

 

 

“หวงกงกง?” นางเดินลงจากบันไดไม่กี่ก้าวก็ถึงข้างกายของหวงเผยซาน แล้วเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา “ดึกถึงป่านนี้แล้ว ไยกงกงถึงมาอยู่ที่นี่”

 

 

“ใต้เท้าซู บ่าวมารับท่าน” หวงเผยซานได้ยินเช่นนี้ มุมปากจึงยกยิ้มขึ้นครู่หนึ่ง ตอบขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา

 

 

เพียงแต่ที่ซูหลีไม่ได้สังเกตก็คือ ใบหน้าของหวงเผยซานฉายแววแปลกประหลาดออกมาบ้าง

 

 

นางเพียงอ้ำอึ้งไปเล็กน้อย ในเวลานี้รับนางเข้าวัง ฝ่าบาทนี่ช่าง…

 

 

แน่นอนว่าคำพูดนี้นางไม่กล้าเอ่ยพูดออกไป ได้ยินเช่นนั้นนางเพียงเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็รบกวนหวงกงกงแล้ว”

 

 

จากนั้นหลังจากที่หมุนกายไปกำชับชุยตานเสร็จ นางถึงได้ขึ้นรถม้าไป

 

 

ตลอดทางที่นางเข้าไปในวังกับหวงเผยซาน จนกระทั่งเข้ามาถึงตำหนักภายในของตำหนักอวิ๋นซิน ซูหลีถึงได้รู้สึกถึงบรรยากาศแปลกประหลาดโดยรอบ