ตอนที่ 1067 สาเหตุที่โมโห / ตอนที่ 1068 วิธีจัดการของฝ่าบาท

เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ

ตอนที่ 1067 สาเหตุที่โมโห

 

 

“ถวายบังคมฝ่าบาท” ซูหลีมองไปโดยรอบปราดหนึ่ง จากนั้นคุกเข่าคำนับอย่างเรียบร้อย

 

 

นางกลับรู้สึกว่าบรรยากาศภายในตำหนักทะแม่งๆ คล้ายดังกำลังกดดันอะไรบางอย่างอยู่มิปาน

 

 

“ลุกขึ้นเถิด” ฉินเย่หานเงยหน้ากวาดมองไปยังนาง น้ำเสียงเย็นยะเยียบเกินจะเปรียบ

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ” ซูหลีลุกขึ้นตามคำสั่งของฉินเย่หาน เมื่อเห็นนางยืนขึ้นเหล่าบ่าวรับใช้ที่อยู่ในตำแหน่งเหล่านั้นพากันเคลื่อนตัวเดินเรียงออกไปยาวเหยียด เหลือเพียงแค่ซูหลีกับฉินเย่หานสองคนเท่านั้น

 

 

ซูหลี…

 

 

นี่เกิดอะไรขึ้นกัน

 

 

นางหยุดชะงักไปครู่หนึ่งเงยหน้ามองไปยังฉินเย่หาน ทว่าไม่รู้ว่าฉินเย่หานจับจ้องนางตั้งแต่เมื่อไหร่ เมื่อนางเงยหน้าขึ้นก็เห็นเขาที่จ้องนางตาไม่กะพริบแล้ว

 

 

หัวใจของซูหลีเต้นตึกตัก นางหมุนศีรษะมาอย่างรวดเร็ว หากนางจำไม่ผิดแล้วละก็ นางคงไม่ได้กระทำเรื่องอะไรล่วงเกินฝ่าบาทกระมัง

 

 

ไยฝ่าบาทได้ถึงทรงมีอากัปกิริยาคล้ายกับคาดโทษนางเช่นนั้น

 

 

นี่เป็นอะไรไปแล้ว!

 

 

“ซูหลี เจ้านับวันยิ่งไม่เห็นเราในสายตาแล้ว” ฉินเย่หานจ้องนางอยู่นานมาก ดวงตาคู่นั้นคล้ายดั่งสามารถมองซูหลีอย่างปรุโปร่งมิปาน

 

 

ซูหลีสั่นสะท้าน แล้วรีบเอ่ยว่า “นี่ฝ่าบาททรงตรัสอะไรกัน เมื่อไหร่กันที่กระหม่อมมิเห็นฝ่าบาทในสายตา”

 

 

พูดจบก็เงยหน้าขึ้นแย้มยิ้มอย่างทึ่มทื่อให้กับฉินเย่หาน

 

 

ฉินเย่หานเห็นเช่นนี้จึงหรี่ตาลงเล็กน้อย ตวัดสายตามองนางอยู่พักหนึ่ง ในดวงตาฉายแววล้ำลึกเกินจะเปรียบ มองจนนางรู้สึกหวั่นไหว

 

 

“เราได้ยินว่าเจ้าออกมาจากเรือนจำได้ไม่กี่วัน ก็ก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นแล้ว”

 

 

ซูหลีอ้ำอึ้งไปเล็กน้อย นี่เขาได้ยินมาจากที่ไหนกัน เรื่องในวันนั้นล้วนเป็นความตั้งใจของนางที่ก่อเรื่องวุ่นวายใหญ่โต ทว่าคนที่รับรู้ส่วนใหญ่เป็นราษฎร ประหลาดนักไยเรื่องนี้ลือมาถึงหูเขาได้กัน

 

 

“คนหนุนหลังเจ้ามีไม่น้อยนี่!” ฉินเย่หานปรายตามองเห็นนางไม่พูดอะไร ความเย็นยะเยียบบนใบหน้ายิ่งมีมากขึ้นกว่าเดิม เขาใช้สายตาเยียบเย็นกวาดมองนางครู่หนึ่ง คำพูดที่พูดออกมานั้นเย็นยะเยือกเกินจะเปรียบ

 

 

ซูหลี…

 

 

นี่จะเริ่มพูดจากไหนดี

 

 

อะไรที่เรียกว่าคนหนุนหลังนางเยอะกัน

 

 

ไยนางถึงไม่เข้าใจว่าฝ่าบาททรงกำลังตรัสอะไรอยู่

 

 

“แม้แต่ไหวอ๋องยังทราบเรื่องนี้ เรากลับถูกปิดบัง ซูหลี เจ้าช่างเก่งกาจโดยแท้!” สีหน้าของฉินเย่หานพลันดำคล้ำขึ้นทันใด ปรายตามองอากัปกิริยาของนาง โทสะจึงผุดขึ้นในใจ

 

 

“ฉินม่อโจว ฉินมู่ปิง ยังมีจี้ฉิน คนรู้ใจเจ้าช่างมีมากแท้!”

 

 

ใบหน้าของซูหลีเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ชำเลืองสีหน้าอึมครึมประหนึ่งสามารถหยดน้ำออกมาได้ก็มิปาน จู่ๆ นางก็เข้าใจแล้วว่าที่ฉินเย่หานโกรธนางนั้น ไม่ใช่เพราะนางก่อเรื่องวุ่นวายนั้นขึ้นมา

 

 

แต่เป็นเพราะว่านางไปคลุกคลีกับพวกฉินม่อโจว?

 

 

ซูหลี…

 

 

นี่นางจะอธิบายว่าอย่างไรดี

 

 

“ฝ่าบาท กระหม่อมได้รับความไม่เป็นธรรมแล้ว!” ไม่ว่าจะอธิบายอย่างไร สิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลานี้ คือการทำให้โทสะของฉินเย่หานลดลง

 

 

“ได้รับความไม่เป็นธรรม เจ้าได้รับความไม่เป็นธรรมอะไรกัน” ฉินเย่หานถามด้วยเสียงเย็น

 

 

“วันนั้นกระหม่อมพบกับไหวอ๋องและคณะ นั่นเป็นความบังเอิญโดยแท้ กระหม่อมไปที่นั่นเพื่อทุบทำลายร้านค้า จะสามารถเรียกคนกลุ่มใหญ่ไปได้อย่างไรกัน กระหม่อมไม่ทราบเลยสักนิดว่า ไหวอ๋องและคณะจะปรากฏตัวที่นั่น!”

 

 

ฉินเย่หานได้ยินจึงตวัดสายตามองนางปราดหนึ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย อากัปกิริยาเช่นนี้ไม่รู้ว่าเขาเชื่อหรือไม่เชื่อที่นางพูด

 

 

“หากกระหม่อมมีเรื่องอะไรขึ้นมา ไยถึงไม่มาหาฝ่าบาทโดยตรงกันเล่า จะไปหาพวกเขาวกไปวนมาทำไม…นี่เป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ!”

 

 

ฉินเย่หานเหลือบตาสบกับดวงตาที่จริงใจคู่นั้นของซูหลี

 

 

ที่จริงแล้วที่นางพูดมา มิใช่เขาไม่ทราบ ซูหลีไม่จำเป็นหาคนไม่กี่คนเหล่านี้ เพื่อไปกระทำเรื่องเช่นนี้

 

 

ทว่าการได้รับรู้เรื่องนี้จากปากของคนอื่น จึงทำให้เขาอดกลั้นไม่ไหว

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 1068 วิธีจัดการของฝ่าบาท

 

 

เขาปฏิบัติต่อซูหลีจนมาถึงจุดนี้อย่างไม่รู้ตัว แม้กระทั่งได้ยินจากปากคนอื่นว่า นางคลุกคลีอยู่กับบุรุษเหล่านั้นก็รู้สึกอารมณ์ไม่ได้แล้ว

 

 

“ฝ่าบาท” ซูหลีชำเลืองเห็นฉินเย่หานที่ไม่พูดอะไรออกมา จึงลุกไปนั่งข้างฉินเย่หานแล้วเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา “คนที่อยู่ในใจของกระหม่อม มีเพียงแค่ฝ่าบาทพระองค์เดียวเท่านั้น!”

 

 

คำพูดนี้พูดเสียในใจนางอดที่จะสั่นสะท้านไม่ได้

 

 

ทว่าซูหลีรู้ดีกว่า เมื่อเผชิญหน้ากับความโกรธของฮ่องเต้เช่นนี้ มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่ได้ผลที่สุด

 

 

“เช่นนั้นรึ” คิดไม่ถึงว่าความคิดของซูหลีที่จะแสดงออกมาแค่พริบตาเดียว จะถูกปฏิเสธอย่างเร็วไว

 

 

นางอ้ำอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นกะพริบดวงตามองไปทางฉินเย่หาน

 

 

ทว่าครั้นเห็นนัยน์ตาที่สีนิลของฉินเย่หานคู่นั้นที่ฉายประกายอันตรายที่คุ้นเคยเหล่านั้น

 

 

ซูหลี…

 

 

“หืม” ครั้นเห็นนางไม่พูดอะไรออกมา และไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ลำคอของฉินเย่หานจึงสั่นเทา เอ่ยเตือนสตินางด้วยเสียงแผ่วเบาคราหนึ่ง

 

 

ซูหลีมุมปากกระตุก พยายามทำให้อารมณ์ของตนเองสงบนิ่งดังเดิม นางไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่ง ต้องการให้สตรีนางหนึ่งเป็นฝ่ายเข้าหาตนยังใช้กลอุบายเช่นนี้

 

 

ช่าง…

 

 

แน่นอนว่า คำพูดซูหลีกล้าพูดในใจเพียงเท่านั้น แม้จะอาศัยความใจกล้าเป็นร้อยของนาง นางก็ยังไม่กล้าที่จะพูดกับฉินเย่หานอย่างเถรตรง

 

 

ซูหลีเตรียมพร้อมแล้ว เมื่อคิดว่าเรื่องระหว่างตนกับฉินเย่หานไม่ได้เกิดขึ้นคราสองครา หากจะมาเขินอายตอนนี้คงจะสายไปแล้ว!

 

 

เมื่อคิดเช่นนี้นางจึงเหยียดตัวตรง จากนั้นสัมผัสกับริมฝีปากของฉินเย่หานอย่างแผ่วเบาครู่หนึ่ง

 

 

ใครจะรู้ว่าฉินเย่หานไม่คิดที่จะให้โอกาสนี้แก่นาง ในเมื่อเนื้อมาจ่อถึงปากแล้ว หากไม่กินเขาจะต้องขอโทษตัวเองอย่างนั้นหรือ

 

 

จุมพิตนี้นำไปสู่การเคลื่อนไหวที่ร้อนแรง แม้แต่ซูหลีเองก็คิดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นเช่นนี้

 

 

กว่านางจะมีสติกลับมา ก็ถูกฉินเย่หานกดลงบนเตียงที่ด้านหลังทำตามอำเภอใจเสียแล้ว

 

 

“ฝะ ฝ่าบาทไยถึงทรงทราบเรื่องนี้ได้” วินาทีสุดท้ายก็ที่จะพ่ายแพ้ ซูหลียังคิดถึงเรื่องประหลาดในวันนี้

 

 

“การยื่นฎีกามติไม่ไว้วางใจ” ฉินเย่หานเมื่อเห็นในเวลานี้นางยังไม่มีสมาธิ กำลังแรงของมือจึงเริ่มควบคุมไม่ได้

 

 

ซูหลีร้องครางเสียงต่ำ ทว่ายังไม่ยอมปล่อยวางจากเรื่องนี้ “ชะ เช่นนั้นฝ่าบาททรงจัดการอย่างไร”

 

 

ฉินเย่หานได้ยินเช่นนี้ ดวงตาจึงลึกล้ำแล้วเอ่ยเสียงต่ำว่า “สตรีของเรา ยังไม่ถึงเวลาที่พวกเขาจะวิพากษ์วิจารณ์ส่งเดชได้!”

 

 

ซูหลีต้องการถามอะไรสักอย่าง ทว่าฉินเย่หานกลับไม่ให้โอกาสใดๆ กันนางอีก เพียงแค่นำนางล้มลงบนเตียงนุ่ม

 

 

ในบรรยากาศภายในตำหนักร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ

 

 

ในเวลานี้ซูหลีที่ไม่มีเรี่ยวแรงคิดเรื่องใด หารู้ไม่ว่าไม่กี่ชั่วยามก่อนหน้านี้ ยามที่ขุนนางตรวจการเหล่านั้นยื่นฎีกาถวายต่อหน้าฉินเย่หาน สีหน้าของฉินเย่หานดำทะมึนถึงเพียงใด

 

 

คนเหล่านั้นล้วนคิดว่า ครานี้ซูหลีต้องได้รับโทษอย่างแน่นอน

 

 

คิดไม่ถึงว่ารอได้ไม่นาน ก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดจากภายในระลอกหนึ่ง ครั้นแหงนหน้าก็พบกับใบหน้าดำทะมึนตึงของฉินเย่หาน…

 

 

“มีเวลาว่างกันนักหรือ เราเลี้ยงดูพวกเจ้า เพื่อให้พวกเจ้ากระทำเรื่องเช่นนี้หรือ”

 

 

ขุนนางชั้นผู้ใหญ่เหล่านั้นมองหน้ากัน ชั่วขณะนี้ไม่รู้ว่าพูดอะไรถึงจะดี และไม่รู้ว่าตนควรแสดงอารมณ์ใดต่อหน้าฉินเย่หาน จากนั้นได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น…

 

 

“ออกไป!”

 

 

ดังนั้นเหล่าขุนนางตรวจการเหล่านั้นพากันออกมาไปอย่างเศร้าซึม

 

 

แม้แต่ทำไมฉินเย่หานถึงโมโห พวกเขาก็ยังมิทราบ เพียงถูกด่าทอเต็มๆ หลังจากนั้นจึงมีพระราชโองการรับสั่งตัดเบี้ยหวัด ซึ่งพวกเขาไม่ได้รับผลดีอะไรทั้งสิ้น

 

 

มิหนำซ้ำยังถูกทำให้ตกใจ ใคร่ครวญอยู่ว่าตนเองกระทำเรื่องเลวทรามอะไรจนไม่อาจให้อภัยได้