ตอนที่ 1069 ซูหลีไม่ใช่คนที่ยั่วโมโหได้ / ตอนที่ 1070 นี่ยังต้องการกระทำสิ่งใดอีก

เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ

ตอนที่ 1069 ซูหลีไม่ใช่คนที่ยั่วโมโหได้

 

 

ที่จริงแล้วพวกเขาเพียงแค่ยื่นมติไม่ไว้วางใจซูหลีก็เท่านั้น

 

 

ครั้นถูกฝ่าบาทด่าทอเช่นนี้ ในเวลานี้ขุนนางตรวจการเหล่านี้คล้ายดั่งมะเขือที่ถูกน้ำแข็งเกาะจนเ**่ยวเฉาไปหมดแล้ว

 

 

เรื่องหนึ่งที่ในใจของพวกเขาเข้าใจอย่างชัดแจ้งมากกว่าเดิม นั่นก็คือซูหลีมีฝ่าบาทคอยคุ้มครองอยู่!

 

 

ตัวพระองค์เองทรงมิตรัสอะไรออกมา คนอื่นยิ่งไม่สามารถพูดออกมาได้! มิเช่นนั้นสิ่งที่รอคอยพวกเขาอยู่ก็คือ โทสะประหนึ่งสายฟ้าฟาดของฝ่าบาท!

 

 

นี่ช่างเป็นการกระทำที่เด่นชัดโดยแท้!

 

 

หากพวกเขายังต้องการจะจัดการกับซูหลีเช่นนี้ คงไม่มีวิธีใดทั้งสิ้น!

 

 

 

 

วันนั้นซูหลียังมุมานะพยายามอธิบายกับฉินเย่หานคราหนึ่ง เขาเคี่ยวกรำจนเอวนางแทบจะหัก ฉินเย่หานถึงได้ยอมปล่อยนางไป

 

 

หลังจากที่เรื่องนี้สิ้นสุดลง ซูหลีพอเข้าใจความน้อยพระทัยของฝ่าบาทดี ทั้งยังมีฐานันดรสูงกว่าหนึ่งขั้น อีกทั้งนี่เป็นฝ่าบาทด้วยแล้ว พระทัยของฝ่าบาทนั้นมิได้กว้างใหญ่ไปกว่าบุรุษสามัญเท่าไหร่นัก

 

 

แต่อย่างไรนางก็ทราบดีว่า สถานะที่พิเศษของตนในราชสำนัก เช่นนั้นถึงได้มีคนจำนวนมากจับจ้องนางอยู่ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปจะกระทำเรื่องใด จักต้องระมัดระวังยิ่งกว่าเดิมถึงจะถูก

 

 

แม้นางจะทราบดีว่า ฉินเย่หานมิอาจโกรธนางเพราะเรื่องเช่นนี้ ทว่าถูกคนร้องเรียนลับหลังเช่นนี้ ใจนางก็ไม่มีความสุขเช่นกัน!

 

 

ที่ซูหลีไม่รู้ก็คือ เรื่องที่เหล่าขุนนางตรวจการร้องเรียนไม่ใช่เรื่องนี้ เรื่องที่พูดล้วนเป็นเรื่องส่วนตัว กล่าวว่านางหยิ่งยโส นำคนข้างกายไปทำร้ายกู่ซู่อย่างมิพูดมิจา ซ้ำยังขู่กรรโชกเงินจากผู้อื่นมาถึงห้าแสนชั่ง!

 

 

ไยจะรู้ว่าฉินเย่หานกลับไม่แยแสเรื่องนี้เลยสักนิด ซ้ำกลับจับผิดเรื่องอื่นๆ ของพวกเขา

 

 

หลังจากเกิดเรื่องนี้ สิ่งที่ควรรู้และไม่ควรรู้ อย่างน้อยพวกเขาก็เข้าใจทัศนคติของฝ่าบาทบ้างแล้ว

 

 

นี่ไม่ว่าซูหลีจะอยู่ในเรือนจำนานเท่าไหร่ ไม่ว่าก่อนหน้านี้เคยทำผิดอะไรมาก่อน บัดนี้กลับยังเป็นขุนนางข้างพระวรกายอันดับหนึ่งที่ฝ่าบาททรงโปรดปราน!

 

 

ฝ่าบาทปฏิบัติต่อนางล้วนเป็นความเชื่อมั่นอย่างไม่มีเงื่อนไข แม้แต่ฎีกายื่นไม่ไว้วางใจ กลับกลายเป็น ‘การมีเวลาว่าง’ ไปแล้ว!

 

 

นี่ซูหลียังเป็นคนที่ยั่วโมโหได้ง่ายๆ อีกหรือ

 

 

ดังนั้นหลังจากที่ผ่านประสบการณ์จากเรื่องนี้ ยิ่งไม่มีใครลงมือกับซูหลีอย่างง่ายๆ แล้ว

 

 

แม้แต่สกุลเซียวทั้งสกุลดูเหมือนจะเปลี่ยนเป็นสงบเสงี่ยมไปแล้ว

 

 

เสมือนเงินห้าแสนตำลึงไม่คุ้มค่าที่จะเอ่ยถึงก็มิปาน

 

 

ทุกคนล้วนทราบดีว่า เงินห้าแสนชั่ง มิอาจเหมือนกับเงินห้าชั่งที่ปลิวลอยไปอย่างกับไม่มีน้ำหนักอะไร

 

 

แม้ในเวลานี้สกุลเซียวไม่ได้แสดงอาการใดๆ ออกมา ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่สนใจเรื่องนี้!

 

 

ในใจของซูหลีล้วนทราบดี ทว่านางกลับมิหวั่นเกรง สกุลเซียวจะทำอะไรก็ลงมือมาได้อย่างเต็มที่ นางจะอยู่เป็นเพื่อนจนถึงสุดท้าย!

 

 

วันนี้มีราชกิจยามเช้า เมื่อวานซูหลียังพำนักอยู่ในวังหลวง

 

 

ทุกครั้งที่นางพำนักอยู่ในวังหลวง วันที่สองกำลังวังชามักจะไม่ดีเสมอ วันนี้ก็เช่นกัน

 

 

ครั้นนางเดินอย่างเนิบๆ มาถึงตำหนักอวิ๋นซิน เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่โดยรอบล้วนมาจะครบแล้ว

 

 

เพียงแต่บรรยากาศในวันนี้นั้นแปลกๆ ซูหลีรู้สึกได้อย่างชัดเจนก็คือในวินาทีสุดท้ายก่อนที่นางย่างกรายเข้าตำหนักอวิ๋นซิน ทั้งตำหนักล้วนมีเสียงอึกทึกครึกโครม ขุนนางชั้นผู้ใหญ่จำนวนมากสุมหัวอยู่ด้วยกัน ไม่รู้ว่ากำลังปรึกษาหารืออะไรกันอยู่

 

 

อีกทั้งหลังจากที่ซูหลีเดินเข้ามา เสียงเหล่านี้พลันเงียบลงอย่างฉับพลัน

 

 

ซูหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย สมองที่สะลึมสะลือกลับมาปรุโปร่ง นางเหลือบตามองก็พบกับเซียวเก๋อเหล่าและเซียวเสวียนที่อยู่ในกลุ่มคนนั้น มองมาทางนางด้วยสีหน้าที่ไม่น่ามองนัก

 

 

อากัปกิริยา คล้ายกับซูหลีกระทำเรื่องล่วงเกินพวกเขาก็มิปาน

 

 

ซูหลี…

 

 

คนสกุลเซียวสมองมีปัญหาใช่หรือไม่

 

 

นางยังมิได้ทำอะไรสักนิด กลับใช้สายตาที่ใช้มองศัตรูมองมาทางนาง!

 

 

ในขณะที่กำลังครุ่นคิด กลับได้ยินเสียงตะโกนดังขึ้น…

 

 

“ฮ่องเต้เสด็จแล้ว!” ขุนนางชั้นผู้ใหญ่โดยรอบเงียบอย่างฉับพลัน จากนั้นคุกเข่าคารวะ

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 1070 นี่ยังต้องการกระทำสิ่งใดอีก

 

 

“ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี!” ซูหลีคุกเข่าลงไปพร้อมกันเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่เหล่านั้น

 

 

นางระมัดระวังเป็นอย่างมาก ขณะที่คุกเข่าลงไปนั้นเหลือบตามองไปทางเซียวเก๋อเหล่ากับเซียวเสวียน ในเวลานี้กลับเห็นคนทั้งสองคนเพียงแค่คุกเข่าอย่างนิ่งเฉยเท่านั้น

 

 

สายตาแปลกประหลาดเมื่อครู่ ราวกับซูหลีตาฝาดไปมิปาน

 

 

“ลุกขึ้นเถิด” ฉินเย่หานสวมชุดราชสำนักสีเหลืองเรืองรอง เดินขึ้นไปด้านบนของตำแหน่งและนั่งลง จากนั้นเอ่ยด้วยเสียงเยียบเย็น

 

 

“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ!” ซูหลีช้ากว่าผู้อื่นเล็กน้อย แต่ก็ลุกขึ้นมาพร้อมๆ กับขุนนางเหล่านั้น

 

 

ครั้นยืนอย่างมั่นคง หวงเผยซานที่อยู่ในตำหนักยังมิทันได้เอ่ยอะไร ซูหลีที่ยังอยู่ในความมึนงงชำเลืองเห็นคนคนหนึ่งยืนออกมาจากแถวขุนนางนับร้อย

 

 

จากนั้น…

 

 

“ตุบ!” จากนั้นจึงคุกเข่าลงไปทันที!

 

 

เสียงนี้ดังจนทำให้ซูหลีตกใจตื่นขึ้นไม่น้อย เมื่อนางได้ยินเสียงจึงหันไปมอง พบว่าคนที่คุกเข่าลงไปนั้นก็คือ คนที่มองนางด้วยสีหน้าแปลกประหลาดอย่างเซียวเก๋อเหล่า!

 

 

“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!” เซียวเก๋อเหล่าที่คุกเข่าลงไปเมื่อครู่ อะไรก็ไม่เอ่ยออกมา นอกจากร้องไห้ออกมาเป็นอันดับแรก

 

 

ซูหลีมองไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทั้งร่างได้ตื่นตัวขึ้นมาไม่น้อย นางหรี่ตามองเล็กน้อย ถึงอย่างไรนางก็รู้สึกว่าท่าทีที่อีกฝ่ายแสดงออกมานั้นพุ่งเป้ามาที่นาง!

 

 

ในช่วงเวลานี้ซูหลีมองรวมๆ แล้วกำลังวุ่นวายอยู่กับเรื่องของซูไท่

 

 

เรื่องของเสนาบดีกรมขุนนาง ศาลต้าหลี่ยังไม่แจ้งผลสรุปออกมา ซูไท่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ส่วนตัวหรือไม่ ยังต้องพิจารณาอยู่ เรื่องนี้ยังมีหนทางที่จะพลิกผัน ซูหลีรู้ว่าซูไท่ไม่อยากที่จะเสียตำแหน่งขุนนางนี้ไป ดังนั้นนางถึงต้องช่วยต้อนรับขับสู้อยู่บ้าง

 

 

เรื่องที่นางก็ทำให้ที่มืดนั้นมีมากมาย

 

 

ทว่าเรื่องในมือนางเหล่านั้นดำเนินการจวนจะเรียบร้อยแล้ว ทว่ายังมีพยานบุคคลที่สำคัญที่ยังไม่สามารถเข้ามาในเมืองหลวงได้

 

 

คิดไม่ถึงว่าความเคลื่อนไหวของสกุลเซียวจะเร็วกว่านางก้าวหนึ่ง นี่พวกเขาจะลงมือแล้ว!

 

 

“ฝ่าบาทโปรดเห็นแก่กระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ทรงช่วยเป็นผู้ตัดสินเรื่องนี้เพื่อซูเฟยเหนียงเหนียงด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” ซูหลีจ้องไปทางเซียวเก๋อเหล่าด้วยสายตาเยือกเย็น นางคิดอยู่ว่าเซียวเก๋อเหล่านี้จะเอ่ยอะไรออกมา คิดไม่ถึงว่าเมื่อเขาเปิดปากพูดคนแรกที่ลากมาเกี่ยวข้อง จะเป็นเซียวซูเฟย

 

 

ซูหลีหรี่ตาลงเล็กน้อย หลังจากที่เซียวซูเฟยรับรู้เรื่องเหล่านั้นแล้วก็นิ่งเฉยไปไม่น้อย

 

 

หมู่นี้นางมักไปพำนักอยู่ภายในตำหนักของฮ่องเต้ เซียวซูเฟยก็นิ่งเฉย มิได้กระทำเรื่องใดๆ

 

 

นางยังคิดอยู่ว่าเซียวซูเฟยคงจะถูกเรื่องนั้นทำให้สะเทือนจริงๆ ในเวลานี้ถึงได้เงียบเฉย คิดไม่ถึงว่านางยังจะกลั้นใจฝืนทน เพื่อมาจัดการซูหลี!?

 

 

“ใต้เท้าเซียว เมื่อครู่ยังดีๆ อยู่ นี่ท่านเป็นอะไรไปแล้ว ต่อหน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้กลับเสียมารยาทเช่นนี้” บัณฑิตเซี่ยที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและเอ่ยอย่างถากถางประโยคหนึ่ง

 

 

ความสัมพันธ์ระหว่างสกุลเซี่ยกับสกุลเซียวไม่ค่อยจะดีนัก นี่เป็นเรื่องที่หลายคนล้วนทราบอยู่แก้ใจ

 

 

ในเวลานี้เมื่อบัณฑิตเซี่ยเอ่ยปากพูด จึงถือว่าเป็นเรื่องปกติ

 

 

“ฝ่าบาท! เรื่องนี้หากไม่แก้ปัญหาให้กระจ่าง กระหม่อมกับซูเฟยเหนียงเหนียงคงจะมีชีวิตต่อไปไม่ได้แล้ว! ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ…” คิดไม่ถึงว่าเซียวเก๋อเหล่าผู้นั้นคล้ายกับไม่ได้ยินคำพูดของบัณฑิตเซี่ยมิปาน และไม่เห็นบัณฑิตเซี่ยอยู่ในสายตา

 

 

เพียงหมอบลงบนพื้น ร่ำไห้สะอึกสะอื้นออกมา

 

 

บรรยากาศบนท้องพระโรงในชั่วขณะนี้แปรเปลี่ยนตึงเครียดโดยทันที

 

 

เซียวเก๋อเหล่าเป็นขุนนางอาวุโสสามรัชสมัย อายุที่มากขึ้นเรื่อยๆ อารมณ์นิ่งสุขุมยิ่งกว่าเดิม เขาอยู่ในราชสำนักมานานหลายปีขนาดนี้ นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ลืมตัวจนกลายเป็นเช่นนี้ มีชีวิตอยู่เสมือนได้ความไม่เป็นธรรมอันใหญ่หลวงมิปาน

 

 

ซูหลีที่มองอยู่ด้านข้างอดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้

 

 

นี่ต้องการกระทำสิ่งใดอีกกัน