บทที่ 449 เอาชนะอย่างง่ายดาย

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

บทที่ 449 เอาชนะอย่างง่ายดาย
สีหน้าของหลัวซิวยังคงไม่เปลี่ยนไป กระบี่ยุทธ์ที่อยู่ในมือกวัดแกว่ง พุ่งตรงเข้าทำลายพลังกระบี่ธาตุไฟทั้งสองสาย โดยไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกาย

“เจ้าเองก็ลองรับกระบวนท่าของข้าดูบ้าง” กระบี่ยุทธ์ของหลัวซิวฟันออกไป เปลวไฟสีแดงเพลิงบนร่างกายของเขา เปลี่ยนเป็นเปลวไฟสีดำขนาดมหึมาในทันที

ออร่าแห่งความตายอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ขยายไปทั่วห้วงกระบี่สังหารและห้วยยุทธ์มรณะแผ่ซ่านไปทั่วทุกทิศทาง ทำให้ซือถูสงที่ยืนอยู่ตรงข้าม รู้สึกราวกับกับว่าอยู่ในสถานที่แห่งความตาย ไม่ว่าตนเองจะต่อต้านเช่นไร ก็ต้องตายโดยไม่ต้องสงสัย

วิชาภูตผีเซินหลัว !

ควบรวมเพลิงมรณะระดับกระบี่ยุทธ์ขึ้นไป กลายเป็นกระดูกญาณ ทันทีที่อ้าปากกัด จะฉีกอากาศให้ขาดออกจากกันได้

ในช่วงคับขัน ซือถูสงตั้งสติขึ้นมาได้อีกครั้ง เขาพยายามดิ้นรนเพื่อหลุดพ้นจากการครอบงำจิตใจของห้วงยุทธ์ จากนั้นจึงตะโกนเสียงดังออกมา เกิดเปลวไฟขึ้นเต็มท้องฟ้า และพุ่งตรงใส่กระดูกญาณที่กำลังอ้าปากเข้ามากัด

ตูม !

ซือถูสงกระอักเลือดออกมา ตัวของเขากระเด็นลอยออกไป

เขาเพิ่งจะยืนได้อย่างมั่นคง หลัวซิวก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเขาเสียแล้ว

“รวดเร็วจริง ๆ !” ซือถูสงตกใจจนหน้าถอดสี เขาฟันกระบี่ลงไปที่หลัวซิวซึ่งยืนอยู่ตรงหน้า

เช้ง !

นิ้วมือทั้งสองคีบกระบี่เอาไว้ ทำให้ซือถูสงตกใจจนอ้าปากค้าง

“ร่างยุทธ์ระดับจักรพรรดิ ?”

ซือถูสงเพิ่งตั้งสติได้ แสงสะท้อนของกระบี่ก็กวาดไปทั่วแล้ว สำนึกของเขาจับได้เพียงแค่ร่องรอยของแสงกระบี่เท่านั้น

“เจ้า……”

เลือดสีแดงสดไหลทะลักออกมาจากปากของซือถูสงไม่หยุด ดวงตาของเขาเบิกโพลง เต็มไปด้วยความไม่เต็มใจและโกรธแค้น

คอของเขาถูกหลัวซิวฟันขาดในกระบี่เดียว อย่างไรก็ตาม ถึงแม้เขาจะเป็นผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 2 แต่ไม่ใช่นักยุทธ์กลั่นร่าง ร่างเนื้อของเขาจึงไม่อาจต้านทานการโจมตีของกระบี่ยุทธ์ขั้นดินกลางได้

สีหน้าของหลัวซิวไร้ความรู้สึก สำหรับตัวเขาในตอนนี้ การสังหารจักรพรรดิยุทธ์ขั้นปฐมภูมิสักคน แม้กระทั่งไพ่ไม้ตายก็ไม่จำเป็นต้องใช้ด้วยซ้ำ แค่อาศัยร่างยุทธ์ระดับจักรพรรดิ ประกอบกับพลังแปรเสวียนเทียนยี่สิบสี่เท่า ไม่ต้องใช้กฎเบญจธาตุและลูกแก้วเสวียนดำ เขาก็มีพลังการต่อสู้ที่ทัดเทียมกับจักรพรรดิยุทธ์แล้ว

ยื่นมือออกไปจับ ลำแสงของพลังจิตแท้ก็พุ่งตรงเข้าทำลายจุดตันเถียนของซือถูสงทันที และหยิบเม็ดยาทองทรงกลมออกมาได้

หัวของซือถูสงห้อยลง และออร่าก็ดับไป

คนของสำนักไป๋ซิงกู่ต่างตกตะลึงจนอ้าปากค้าง จนแทบจะหยุดหายใจ

หากก่อนหน้านี้ การที่หลัวซิวสังหารราชายุทธ์สองคน ทำให้พวกนางต้องตกใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้แล้ว ถ้าอย่างนั้นการที่เขาสังหารตาเฒ่าประหลาดระดับจักรพรรดิยุทธ์หนึ่งคน ก็คงไม่สามารถหาคำใดมาบรรยายความรู้สึกตกใจนี้ได้อีกแล้ว

เขาเพิ่งจะอายุเท่าไหร่เองนะ ? จักรพรรดิยุทธ์ที่มีอายุไม่ถึงยี่สิบปีอย่างนั้นหรือ ?

แต่หลัวซิวไม่สนใจที่จะอธิบายให้คนเหล่านี้ฟัง เขาเดินตรงเข้ามา แล้วยื่นกระบี่ยุทธ์ในมือให้กับเหยียนซีโรว่

ใบหน้าของเหยียนซีโรว่แดงก่ำ “กระบี่เล่มนี้ เป็นของเจ้า”

“ข้ามอบให้เจ้าแล้ว เพราะฉะนั้นมันเป็นของเจ้า” หลัวซิวพูดด้วยรอยยิ้ม

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทุกครั้งที่พบหน้ากับเหยียนซีโรว่ มักทำให้เขาเกิดความรู้สึกที่อยากเข้าใกล้นาง

“ขอบคุณท่านชายหลัวซิวที่ช่วยชีวิต”

คนของสำนักไป๋ซิงกู่ นำโดยไป๋หุ้ยเหลียน ต่างก้าวไปข้างหน้าและยกมือขึ้นคารวะหลัวซิว

สำหรับคนเหล่านี้ หลัวซิวทำเพียงแค่ตอบรับเบา ๆ หนึ่งคำ และไม่คิดจะสนใจอีก

ตอนนั้นเขาจำได้ดีว่า ทันทีที่การต่อสู้แย่งชิงโควต้าแดนปริศนาสิ้นสุดลง พวกนางก็บังคับพาตัวเหยียนซีโรว่ไป ไม่ว่าจะเป็นเพราะรู้สึกโลภในกระบี่ยุทธ์ขั้นดินกลางที่เขามอบให้ หรือเพราะเหตุผลอื่น แต่หลัวซิว็ไม่รู้สึกประทับใจคนของสำนักไป๋ซิงกู่เลยแม้แต่น้อย

“ทำไมเจ้าถึงมาที่เทือกเขาเหิงหยุนได้ ? แดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่มันเรื่องอะไรกันแน่ ?” หลัวซิวหันไปหาเหยียนซีโรว่

“เรื่องเป็นเช่นนี้……”

จากคำบอกเล่าของเหยียนซีโรว่ ก่อนหน้านี้เพียงไม่นาน มีผู้แข็งแกร่งของแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ท่านหนึ่ง เดินทางผ่านประเทศเทียนหวู แล้วบังเอิญเห็นนางเข้า และกล่าวว่านางมีความสามารถที่ไม่ธรรมดา สามารถเข้าไปฝึกตนในแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ได้

เพียงแต่ผู้แข็งแกร่งของแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ท่านนั้น ดูเหมือนจะมีธุระสำคัญจึงไม่ได้อยู่ต่อนานนัก และจากไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะออกเดินทาง ได้ทิ้งป้ายบัญชาการเอาไว้หนึ่งแผ่น บอกนางว่าขอเพียงถือป้ายบัญชาการแผ่นนี้ไป ก็จะสามารถเดินทางไปยังแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ และเข้าไปเป็นศิษย์ของแดนศักดิ์สิทธิ์ได้

เรื่องนี้ ทำให้ทุกคนในสำนักไป๋ซิงกู่ต่างตื่นเต้นยินดี สำหรับพวกนางแล้ว แดนศักดิ์สิทธิ์ถือเป็นเรื่องไกลตัวอย่างยิ่ง เมื่อไรที่เหยียนซีโรว่สามารถเข้าไปเป็นศิษย์ในแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ได้สำเร็จ เช่นนั้นฐานะของสำนักไป๋ซิงกู่ จะต้องเพิ่มขึ้นตามมาอย่างเลี่ยงไม่ได้แน่นอน

เมื่ออยู่ต่อหน้าแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ที่ยิ่งใหญ่ ต่อให้เป็นกองกำลังอย่างเช่นสำนักเสวียนหยางหรือสำนักฉางเหอ ก็ไม่มีค่าพอที่จะพูดถึง

ดังนั้น สำนักไป๋ซิงกู่จึงส่งราชายุทธ์สองคน และศิษย์อีกหลายคน พาเหยียนซีโรว่ไปส่งยังแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ด้วยกัน ระหว่างทาง นางเองก็มีโอกาสได้ฝึกฝนประสบการณ์และยกระดับความสามารถ และใช้ทัศนคติที่สูงขึ้นในการเข้าไปฝึกตนที่แดนศักดิ์สิทธิ์

เพียงแต่พวกนางคิดไม่ถึงว่า เพิ่งจะเข้ามาในเทือกเขาเหิงหยุนได้เพียงไม่นาน กลับต้องมาพบกับตาเฒ่าประหลาดจักรพรรดิยุทธ์ที่ละโมบในความงามของเหยียนซีโรว่

ในประเทศเทียนหวู ตาเฒ่าประหลาดจักรพรรดิยุทธ์มีอยู่น้อยมาก ส่วนหนึ่งคือผู้แข็งแกร่งระดับเจ้าสำนัก แต่ในเทือกเขาเหิงหยุนแห่งนี้ ตาเฒ่าประหลาดจักรพรรดิยุทธ์สามารถพบเห็นได้ไม่น้อย

สรุปว่า คนของสำนักไป๋ซิงกู่เหล่านี้ คุ้นชินเพียงแค่สถานการณ์ภายในประเทศเทียนหวูเท่านั้น และไม่รู้เลยว่าโลกภายนอกนั้นอันตรายเพียงใด

แต่เมื่อหลัวซิวฟังเรื่องนี้จบ คิ้วของเขาก็ขมวดขึ้นอย่างอดไม่ได้

ถึงแม้พรสวรรค์ในการฝึกตนของเหยียนซีโรว่จะไม่เลวนัก แต่นั่นก็เพียงแค่สำหรับประเทศเทียนหวูเท่านั้น อีกทั้งในการต่อสู้แย่งชิงโควต้าแดนปริศนาในตอนนั้น นางเองไม่สามารถเข้าสู่สิบอันดับแรกเสียด้วยซ้ำ พรสวรรค์ในการฝึกตนเช่นนี้พูดได้เพียงว่าไม่เลว แต่ยังไม่ถึงขั้นสุดยอด

อีกทั้งกองกำลังขนาดใหญ่อย่างแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ ต่อให้เป็นผู้มีพรสวรรค์ขั้นสุดยอดในประเทศเทียนหวู ก็ใช่ว่าจะมีสิทธิ์เข้าตา แล้วทำไมจู่ ๆ ถึงรู้สึกถูกใจเหยียนซีโรว่ได้ ?

หลัวซิวรู้สึกว่าจะต้องมีความลับบางอย่างที่เขาไม่รู้ซ่อนอยู่ในนี้อย่างแน่นอน

“หรือว่าชาติกำเนิดของนางจะเกี่ยวข้องกับแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ หรือไม่นางอาจจะมีสมรรถภาพทางร่างกายที่พิเศษ ดังนั้นจึงเข้าตาแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่เข้า ?” หลัวซิวแสดงสีหน้าสงสัย

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด การได้เข้าไปฝึกตนในแดนศักดิ์สิทธิ์ ก็ถือเป็นโอกาสสำคัญอันดีอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตามเงื่อนไขที่เอื้อต่อการฝึกตนในแดนศักดิ์สิทธิ์ ก็เป็นสิ่งที่สำนักไป๋ซิงกู่เล็ก ๆ ไม่อาจเทียบได้

“พี่หลัว ทำไมท่านถึงมาที่เทือกเขาเหิงหยุนได้ล่ะ ?” เหยียนซีโรว่เอ่ยถาม

“ข้ามาหาวัสดุชนิดหนึ่ง” หลัวซิวตอบด้วยรอยยิ้ม

เรื่องระหว่างเหยียนซีโรว่และแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ หลัวซิวไม่อาจคิดหาเหตุผลออกมาได้แล้ว ดังนั้นจึงไม่สะดวกที่จะพูดอะไรให้มาก

“ถ้าอย่างนั้นท่านก็ไปแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่กับข้าสิ เชื่อว่าผู้ที่มีพรสวรรค์เช่นท่าน จะต้องถูกรับเข้าไปในแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างแน่นอน และจะได้ฝึกฝนอย่างจริงจัง” เหยียนซีโรว่เสนอแนะ

ในความคิดของนาง พรสวรรค์ของหลัวซิวจะต้องสูงกว่าตนเองอย่างแน่นอน ในเมื่อตนเองถูกรับเลือกจากแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ ถ้าเช่นนั้นหลัวซิวเองก็ต้องมีสิทธิ์เช่นกัน

หลัวซิวหัวเราะร่า “เด็กโง่ ตอนนี้ข้าเป็นเจ้าสำนัก คงไปแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่กับเจ้าไม่ได้หรอก”

เกี่ยวกับเรื่องของสำนักไท่เสวียน หลัวซิวไม่พูดอะไรมากนัก พูดแค่เพียงว่าตนเองนั้นเป็นเจ้าสำนักแล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้เปิดสำนักเขาอย่างเป็นทางการ และประกาศให้โลกได้รู้เท่านั้น

แดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเทือกเขาเหิงหยุน ยังมีระยะทางที่ห่างออกไปอีกอย่างน้อยหนึ่งล้านลี้ ต่อให้ความรวดเร็วในการเหาะเหินเดินอากาศระดับหลัวซิว ยังต้องใช้เวลากว่าครึ่งเดือนจึงจะถึงจุดหมาย

แต่กลุ่มคนของสำนักไป๋ซิงกู่ ซึ่งมีเพียงราชายุทธ์ขั้นปฐมภูมิสองคนที่มีผลการฝึกตนที่สูงที่สุด ความสามารถเช่นนี้ เกรงว่าคงจะเดินทางผ่านเทือกเขาเหิงหยุนไปไม่สำเร็จอย่างแน่นอน

ความเป็นความตายของคนอื่น ๆ หลัวซิวสามารถเพิกเฉยได้ แต่เขาไม่อาจเพิกเฉยต่อความปลอดภัยของเหยียนซีโรว่ได้

“เอาอย่างนี้ ข้าจะพาซีโรว่ไปส่งยังแดนสํกดิสิทธิ์หยุนไห่ ส่วนพวกท่านที่เหลือก็กลับไปก่อนเถอะ” หลัวซิวพูดเช่นนี้

คนเยอะ ก็จะยิ่งเป็นเป้าหมายใหญ่ และจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นได้ง่าย อีกทั้งความสามารถของคนเหล่านี้อ่อนแอเกินกว่าจะช่วยเหลืออะไรได้

เมื่อได้ยินคำพูดของหลัวซิว พวกของไป๋หุ้ยเหลียนก็แสดงสีหน้าระมัดระวังออกมาทันที ราวกับกำลังสงสัยว่าหลัวซิวจะเป็นอันตรายต่อเหยียนซีโรว่หรือไม่