ตอนที่ 674

The Divine Nine Dragon Cauldron

674 – เจ็ดจ้าวแห่งความมืดผู้ยิ่งใหญ่

 

ด้านนอกตําหนักเจ็ดจ้าว

 

สองผู้เฒ่า คนหนึ่งสวมชุดขาว คนหนึ่งสวมชุดดํานั่งอยู่ตรงข้ามกัน พวกเขากําลังเล่นหมากรุกและกําลังครุ่นคิดอย่างหนัก

 

จดหมายสีขาววางอยู่ตรงมุมกระดาน มีคราบเปื้อนอยู่บ้างเล็กน้อย แค่เห็นก็บอกได้ว่าพวกเขาไม่ได้ส่งจดหมายที่ผู้เฒ่าจิวเขียนให้กับใครพรบ

 

พรึ่บ

 

สองคนบินลงมาจากฟ้า ผู้เฒ่าสองคนเหลือบมองแต่แสร้งทําเป็นไม่เห็นและเล่นหมากรุกต่อไป ผู้เฒ่าทั้งสองไม่สนใจสองคนที่เพิ่งจะมาถึงโดยสิ้นเชิงแม้ว่าหนึ่งในนั้นจะเป็นลูกหลานของจ้าวแห่งความมืดก็ตาม

 

“เอาจดหมายนั่นมาให้ข้า!”

 

จ้าวหอวารีสวรรค์ตะโกนด้วยความโกรธ

 

นางขยะแขยงความโอหังของทั้งคู่อยู่เสมอ นางไม่พอใจมากเมื่อเห็นว่าทั้งสองไม่แม้แต่จะส่งจดหมายออกไป

 

ผู้เฒ่าชุดขาวไม่โต้ตอบอะไร เขาเพียงตั้งหน้าตั้งตามองกระดานหมากราวกับไม่ได้ยินนาง ส่วนตัวจนหมาย…เขาไม่ได้เหลือบมองมันด้วยซ้ำ

 

“นี่พวกเจ้า!”

 

จ้าวหอวารีสวรรค์โกรธจัด นางเดินไปคว้าจดหมายและพูดด้วยความเยือกเย็น

 

“ย่อมได้ เดี๋ยวข้าจะได้รู้ว่าพวกเจ้าจะแก้ตัวยังไงแน่นอน!”

 

จ้าวหอวารีสวรรค์ทั้งโกรธแค้นและอับอาย นางเดินเข้าสู่ตําหนักเจ็ดจ้าว ฐานะพิเศษของนางทําให้ผู้เฒ่าทั้งสองมิอาจหยุดนางได้ แต่พวกเขาก็เหลือบมองไปจง

 

ไปจงเข้าใจความหมายของการเหลือบมองนั้น นี่เป็นการส่งสัญญาณว่าให้เขารอข้างนอกเงียบๆ ไม่เหมือนกับจ้าวหอวารีสวรรค์ที่มีฐานะพิเศษที่เข้าออกตําหนักเจ็ดจ้าวได้ ตามใจ

 

ในตําหนักเจ็ดจ้าวม่านแสงเจ็ดชั้นลอยอยู่กลางอากาศ แต่ละม่านมีขนาดเท่าฝ่ามือ

 

มันถูกจัดเรียงตามส่วนสูงสั้นไปหายาว มันจัดวางอยู่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ม่านแสงที่ดูธรรมๆนี้คือตัวแทนของจ้าวแห่งความมืดแต่ละคน

 

ม่านแสงนี้ถูกราชาแห่งความมืดจัดไว้ด้วยตัวเอง มันคือมิติที่เป็นเอกเทศ ถ้าหากไม่เปิดออกจากด้านในก็จะไม่มีใครบุกเข้าไปได้ ไม่มีคนใดจากข้างนอกที่จะบุกเข้าไปได้เลย!

 

มิติทั้งเจ็ดนี้เชื่อมต่อกับแหล่งเก็บสมบัติของอาณาจักรทมิฬที่เต็มไปด้วยปริมาณพลังวิญญาณที่หนาแน่น การบ่มเพาะที่นั่นหนึ่งวันก็เทียบเท่ากับการบ่มเพาะพลังที่โลกภายนอกสิบวัน เจ็ดจ้าวแห่งความมืดทุกคนล้วนบ่มเพาะพลังอยู่ข้างใน

 

“เจ็ดจ้าวแห่งความมืดทุกท่าน ข้ามีเรื่องสําคัญจะรายงาน…”

 

จ้าวหอวารีสวรรค์พูด

 

ทันทีที่นางพูด เหล่าม่านแสงได้หมุนวนอย่างไร้เสียง เงาทมิฬปรากฏตรงหน้าของนาง เงานี้ดูลึกลับชอบกล

 

“เจ้ามารบกวนการบ่มเพาะของพวกเราทําไม?”

 

ไม่มีใครบอกได้ว่าใครคือผู้พูด เพราะเสียงที่เปล่งออกมานั้นดูทับซ้อนกับสิ่งวอื่น

 

จ้าวหอวารีสวรรค์ยื่นจดหมายด้วยมือทั้งสอง นางรู้สึกอึดอัด

 

“นี่เป็นจดหมายที่เจ้าพันธมิตรซือทิ้งเอาไว้ โปรดรับไว้ด้วย”

 

นางมองผ่านไปยังม่านแสงทั้งสองที่ระดับสูงสุด นางดูผิดหวังที่ปูของนางที่เป็นจ้าวแห่งความมืดกับจ้าวสองมิได้ปรากฏตัว เพราะทั้งสองมีตําแหน่งสูงสุดที่นี่

 

“ขอกําลังทหาร? ขออภัย พวกเรารู้อยู่แล้ว เจ้ารบกวนพวกข้าด้วยเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้รึ? เจ้าทําเหมือนกับว่าที่นี่คือบ้านเจ้า? ถึงจะเป็นลูกหลานของจ้าวแห่งความมืด เจ้าก็ควรจะแยกแยะให้ได้ว่าสิ่งใดสําคัญหรือไม่”

 

เสียงอันเย็นชานี้มาจากจ้าวสามไม่ผิดเพี้ยน เขาเพิ่งจะรอดมาจากเงื้อมมือแห่งความตายของซือหยู

 

จ้าวหอวารีสวรรค์ถามเขาอย่างไม่ให้เกียรติ

 

“บาดแผลท่านหายดีแล้วรึ? คําพูดของท่านรุนแรงดีนะ”

 

ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่ามีดวงตาอันเยือกเย็นจ้องมองนาง นางสัมผัสได้ถึงความโกรธและความอับอายของจ้าวสาม

 

นางหัวเราะอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดอีกครั้ง

 

“จ้าวแห่งความมืดทั้งสี่ท่าน จดหมายนี้ต้องส่งให้ราชาแห่งความมืด โปรดส่งมันให้กับเขา มันเป็นเรื่องสําคัญที่จะรีรอไม่ได้อีกแล้ว”

 

“ราชาแห่งความมืด? เขาไม่สนใจเรื่องจากภายนอก ไม่มีทางที่เราจะส่งจดหมายนี้ได้ เจ้าฝากมันไว้กับพวกข้าก็พอ ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็ไปเถอะ”

 

เมื่อประโยคนี้ดัง จดหมายในมือนางก็ถูกบังคับดึงออกไป

 

จ้าวหอวารีสวรรค์สัมผัสได้ว่าน้ำเสียงที่ได้ไม่ดูจริงจังนัก นางเริ่มเป็นกังวล

 

คนระดับสูงของอาณาจักรทมิฬมิได้สนใจพันธมิตรผู้คุมสวรรค์นัก พวกเขาไม่ได้ให้ความนับถือซือหยูแม้แต่น้อย

 

“ท่านจ้าวแห่งความมืดทุกท่าน ข้าจะยืนกรานอีกครั้งว่าจดหมายนี้สําคัญมาก ท่านต้องส่งให้ราชาแห่งความมืด”

 

จ้าวหอวารีสวรรค์ดูมั่นใจอย่างมากเมื่อโต้แย้งกลับไป

 

เหล่าจ้าวแห่งความมืดที่จะกลับไปบ่มเพาะพลังเริ่มหงุดหงิด

 

“ข้ายินดีหยุดบ่มเพาะเพราะเจ้าเป็นหลานของจ้าวแห่งความมืดลําดับแรก แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่เอาเรื่องเล็กน้อยมาให้พวกข้าเห็นอีก เจ้าพอแค่นั้นแหละ พวกข้าจะไปแล้ว”

 

เสียงที่ทับซ้อนปล่อยพลังเบาๆที่จะผลักจ้าวหอวารีสวรรค์ออกไป

 

จ้าวหอวารีสวรรค์กัดฟันเมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่คิดจะฟังคําแนะนําของนาง

 

“ก็ได้ ทีแรกข้าแค่จะให้ท่านปรู้เรื่องนี้ แต่ตอนนี้ข้าคงต้องบอกทุกคนแล้ว”

 

เมื่อนางพูดจบ นางเริ่มเล่าข่าวที่ได้มาจากสายลับ พลังเบาๆที่ผลักนางออกไปหายไปในทันที

 

เงาห้าร่างสั่นสะเทือนรุนแรง ดูเหมือนทั้งห้าจะพูดคุยกัน

 

ไม่นานก็มีเสียงดังพร้อมกันห้าครั้ง เงาร่างได้ออกมาจากมิติและเผยตัวออกมา มีทั้งสตรีและบุรุษหลากหลายช่วงอายุ แต่ละคนแต่งกายด้วยชุดที่แตกต่างกัน

 

ที่ด้านนอกห้อง ผู้เฒ่าสองคนที่มัวแต่เล่นหมากรุกเริ่มตัวสั่นและตื่นตัวอย่างมาก

 

“เกิดอะไรขึ้น ทําไมจ้าวแห่งความมืดห้าคนถึงออกมาพร้อมกันเล่า?”

 

ผู้เฒ่าชุดขาวดูตกใจ

 

ผู้เฒ่าชุดดําตกใจเล็กน้อย

 

“ครั้งสุดท้ายที่จ้าวแห่งความมืดห้าคนปรากฏตัวก็คือสามปีก่อน มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นนั้นรึ?”

 

พวกเขาคิดถึงคําขู่จากจ้าวหอวารีสวรรค์เมื่อครู่ ทั้งสองขมวดคิ้วและครุ่นคิดอย่างหนัก

 

“เจ้ามีหลักฐานหรือไม่?”

 

ชายแก่ผมขาวเครายาวถามนางอย่างสนอกสนใจ ส่วนจ้าวแห่งความมืดอีกสี่คนก็สนใจเรื่องนี้ไม่แพ้กัน

 

“ข้าไม่มีหลักฐานแน่ชัด ข่าวนี้มาจากคนระดับสูงในพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ มีคนไม่มากนักที่รู้เรื่องนี้”

 

นางดูมั่นใจมากในขณะที่พูด

 

“แต่ข้าเชื่อเรื่องนี้ยิ่งกว่าสงสัย พลังของซือหยูมิอาจชี้วัดได้ด้วยมาตรฐานทั่วไป”

 

เหล่าจ้าวแห่งความมืดคิดหนัก

 

จ้าวสามถอนหายใจเบาๆก่อนจะถาม

 

“เจ้ากล้าดียังไงมาขัดขวางการบ่มเพาะของพวกข้าด้วยเรื่องเล่าปลอมๆพวกนี้?”

 

แน่นอนว่าเขาไม่เชื่อว่าซือหยูจะมีพลังมากพอที่จะสังหารจ้าวเทวะ

 

“พวกเรารู้เรื่องนี้แล้ว เราต้องรอให้จ้าวหนึ่งตื่นขึ้นมาก่อนจะสืบสวนต่อไป”

 

ชายแก่เครายาวส่ายหน้า

 

เขาดูผิดหวังและหันกลับไป ดูเหมือนว่าเขาเตรียมจะกลับไปบ่มเพาะพลัง

 

จ้าวแห่งความมืดคนอื่นเริ่มที่จะไม่สนใจ แต่จากนั้นม่านแสงทั้งสองที่ไม่ไหวติงเมื่อครู่ได้เริ่มปล่อยพลังอันน่ากลัวออกมา

 

เงาทมิฬสองร่างปรากฏ ยากที่จะมองร่างของพวกเขา ที่มองได้จะมีเพียงเส้นสายของร่างเท่านั้น ทั้งคู่คือจ้าวแห่งความมืดลําดับหนึ่งและจ้าวสอง ผู้ที่เป็นรองเพียงแค่ราชาแห่งความมืดในด้านพลัง

 

ตามคําร่ำลือ พวกเขาเริ่มบ่มเพาะพลังเคียงคู่กับราชาแห่งความมืดมาหลายร้อยปีก่อน แต่พวกเขามักจะไม่ปรากฏตัวตั้งแต่นั้น ครั้งที่พวกเขาปรากฏตัวออกมาก็คือเมื่อสามปีก่อนที่โลกถูกรุกราน

 

พลังที่แท้จริงของทั้งคู่นั้นมิอาจมีใครรู้ได้ และวันนี้พวกเขาก็ปรากฏตัวอีกครั้ง! สองผู้เฒ่า

 

ข้างนอกแทบจะตาถลน

 

“จ้าวหนึ่งกับจ้าวสองออกมาด้วย!”

 

เขาร้องเสียงหลงพร้อมกัน

 

พรึ่บ

 

ผู้เฒ่าทั้งสองรีบวิ่งไปในห้องและตะโกนพร้อมกัน

 

“ท่านจ้าวผู้ยิ่งใหญ่!”

 

ผู้เฒ่าชุดขาวดําทั้งสองเริ่มตื่นตระหนกและเป็นกังวล พวกเขาสงสัยว่าจ้าวหอวารีสวรรค์พูดอะไรออกไป จ้าวผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองถึงได้ตื่นขึ้นมาพร้อมกัน

 

สองผู้เฒ่ามิได้แสดงความเป็นทางการใดต่อหน้าจ้าวแห่งความมืดห้าคนอื่น แต่จ้าวแห่งความมืดสองลําดับแรกที่เพิ่งจะปรากฏตัวคือผู้เป็นนายตัวจริงของพวกเขาและเป็นจุดสุดยอดของโลก!

 

“เอาจดหมายนั่นมาให้ข้า”

 

เสียงของจ้าวหนึ่งดังก้องและทรงพลัง ในน้ำเสียงไม่มีความรู้สึกแอบแฝงแต่ทุกคนก็รู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลที่กดทับบนร่าง

 

แม้แต่ชายแก่เครายาวก็หน้าซีดเมื่อยื่นจดหมายให้กับจ้าวหนึ่งด้วยมือทั้งสอง เขาเริ่มอึดอัดใจเมื่อจดหมายไปถึงเงาทมิฬ มันก็ชัดอยู่แล้วว่าไม่ถูกเปิดออก

 

“จดหมายจากจิวหยวนโจว”

 

เสียงของจ้าวหนึ่งดังทะลวงใบหูจนทุกคนตัวสั่น

 

“เฟิงหยวน ข้าเชื่อใจฝากฝั่งหน้าที่ให้กับเจ้า นี่น่ะรึสิ่งที่เจ้าทํา? น่าผิดหวังยิ่งนัก”

 

ชายแก่เครายาวโค้งคํานับด้วยความกลัว สีหน้าเขาเปลี่ยนไปมาก

 

“โปรดอภัยให้ข้าด้วยเถอะ ข้าไม่รู้ว่าจดหมายนี้สําคัญเพียงใด”

 

ชายแก่หวาดกลัวในใจเช่นเดียวกับจ้าวแห่งความมืดคนอื่น พวกเขามองจดหมายด้วยความตกใจและสับสน

 

“จิวหยวนโจวเป็นยอดฝีมือเทียบเท่าราชาแห่งความมืดตั้งแต่ช้านาน จดหมายนี้จะต้องสําคัญอย่างยิ่ง เจ้ากล้าดียังไงถึงปล่อยเรื่องนี้เอาไว้?”

 

น้ำหนักในคําพูดของจ้าวหนึ่งดูรุนแรงขึ้น

 

ชายแก่หน้าซีดเมื่อเผชิญหน้ากับความไม่พอใจของจ้าวหนึ่ง เขาเริ่มตัวสั่น

 

คนที่เทียบเท่ากับราชาแห่งความมืด? จิวหยวนโจว

 

“แม้ฐานพลังของจิวหยวนโจวจะอ่อนแอลงไปจนไม่ได้แข็งแกร่งอย่างในอดีต จดหมายนี้ก็มีอาจประวิงไว้ได้ จงไปหันหน้าชนกําแพงเสียสามปีแล้วสํานึกความผิดของเจ้าซะ…”

 

จ้าวหนึ่งพูดอย่างไร้อารมณ์

 

ชายแก่ทั้งตกตะลึงและหวาดกลัว แต่เขาก็รู้สึกว่าถูกตัดสินรุนแรงเกินไป เพราะเขาจะไม่รู้ได้อย่างไรเล่าว่าจิวหยวนโจวคือผู้ใด?

 

ความประมาทนี้จะทําให้พวกเขาบ่มเพาะพลังไม่ได้ไปสามปี ฐานพลังของพวกเขาจะต้องถูกจ้าวแห่งความมืดคนอื่นนําหน้าไปแน่นอน

 

“ท่านจ้าวหนึ่ง แต่พวกข้าเพิ่งจะได้จดหมายนี้มาเอง….”

 

ชายแก่เครายาวเริ่มจะแก้ตัว

 

จ้าวหนึ่งไม่พูดอะไรอื่นและเริ่มมองจดหมายที่เปื้อนน้ำชาและรอยยับจากการถูกวางบนกระดานหมากรุกเมื่อครู่

 

“แล้วคนที่มาส่งจดหมายไปไหน?”

 

จ้าวแห่งความมืดละสายตาจากผู้เฒ่าเครายาวไปหาผู้เฒ่าขาวดํา

 

ปั้ง

 

ผู้เฒ่าขาวดําหน้าซีดราวกับกระดาษ พวกเขารู้สึกราวกับจุดจบของโลกมาอยูตรงหน้า แผ่นหลังของพวกเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ

 

“ท่านปู่ ผู้เฒ่าขาวดําเลี่ยงไม่ให้คนส่งจดหมายเข้ามาที่นี่ เขาไม่มีแม้แต่โอกาสได้เจอกับเหล่าจ้าวแห่งความมืดและถูกบังคับให้กลับไป”

 

จ้าวหอวารีสวรรค์เหลือบมองผู้เฒ่าขาวดํา นางแอบดีใจที่ได้เห็นท่าทางตื่นตระหนกของทั้งคู่

 

ทั้งสองมักจะโอหังและไม่สนใจผู้ใดอยู่เสมอ วันนี้ถึงเวลาแล้วที่ทั้งคู่จะต้องรับโทษกับความโง่เขลานั้น

 

เงาทมิฬของจ้าวหนึ่งสั่นสะเทือนขณะที่ถามเบาๆ

 

“จดหมายมาถึงนานเท่าใดแล้ว?”

 

“ครึ่งวันขอรับ”

 

ผู้เฒ่าทั้งสองพูดเสียงสั่งพร้อมกัน

 

ใบหน้าของเขาดูย่ำแย่ยิ่งกว่าคนตาย พวกเขารู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลจากจ้าวหนึ่ง พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าจดหมายฉบับเล็กๆจะสร้างปัญหาได้มากมายเช่นนี้

 

“ถ้าเช่นนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะจ้าวหอวารีสวรรค์ เจ้าก็คิดจะเก็บจดหมายนี้ไปตลอดกาลใช่หรือไม่?”

 

จ้าวหนึ่งถามด้วยเสียงที่แหบพร่ายิ่งกว่าเดิม

 

“ท่านจ้าว โปรดอภัยให้พวกข้า พวกข้าไม่ได้ตั้งใจจะทําอย…”

 

ผู้เฒ่าขาวดําโค้งคํานับและเริ่มอ้อนวอนขอความเมตตา หน้าผากของทั้งคู่กระแทกกับพื้นเสียงดัง พวกเขาหวาดกลัวจริงๆ

 

จ้าวหนึ่งถอนหายใจยาว

 

“เจ้าสองคนรับใช้ข้ามาหลายปี ข้าถึงกับเชื่อใจให้เจ้าดูแลความปลอดภัยของตําหนักเจ็ดจ้าวเพราะเชื่อมั่นใจตัวพวกเจ้า แต่ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าพวกเจ้ามันโอหังโง่เขลา เจ้าทําความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ารู้กฎของข้าอยู่แล้ว พวกเจ้าไม่เหมาะสมที่จะเฝ้าประตูของตําหนักเจ็ดจ้าวอีกแล้ว จงไปซะ”