ตอนที่ 675

The Divine Nine Dragon Cauldron

675 – เตรียมทําสงคราม

 

คําพูดของเขาทําให้หลายๆคนสีหน้าหม่นหมองในทันที จ้าวหนึ่งนั้นเข้มงวดและโหดร้ายอยู่เสมอ

 

แม้เขาจะให้รางวัลแก่คนที่รับใช้อย่างเหมาะสม เขาก็ลงโทษคนที่ทําผิดพลาดด้วยเช่นกัน การลงโทษของเขาคือการบังคับให้ผู้เฒ่าขาวดําทั้งสองถอนตัวจากการบ่มเพาะพลังและออกจากตําหนักเจ็ดจ้าว

 

“ท่านจ้าวหนึ่งโปรดอภัยให้พวกข้าด้วยเถอะ พวกข้ารู้แล้วว่าทําผิดพลาด พวกข้าไม่รู้เลยว่าจดหมายฉบับนี้จะสําคัญมาก”

 

ผู้เฒ่าขาวดํารีบคุกเข่าโค้งตัวต่อไป น้ำตาไหลอาบแก้มที่แก่เฒ่า

 

การลงโทษเช่นนี้รุนแรงเป็นอย่างมาก พวกเขาเริ่มเสียใจแล้วที่เป็นซือหยูเมื่อเขามาถึง

 

จ้าวหนึ่งพูดอย่างใจเย็น

 

“ข้ามิได้ลงโทษเจ้าแค่เรื่องจดหมาย มันยังเป็นโทษที่เจ้าไม่คิดจะต้อนรับเจ้าพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ด้วย ถ้าข้าจําไม่ผิด นามของเขาคือซือหยู เขาเป็นคนที่ท่านราชาหมายตาเอาไว้ เจ้าควรจะรู้ว่ามันหมายความว่าอย่างไร

 

ราชาหมายตาเอาไว้รึ? ทุกคนสูดหายใจเข้าลึกเมื่อได้ยินคําพูดนั้น สมาชิกระดับสูงทุกคนในอาณาจักรทมิฬรู้ดีว่ามันหมายถึงการที่ซือหยูจะได้กลายเป็นหนึ่งในผู้สืบทอดของอาณาจักรทมิฬ

 

“มิใช่เพราะข้าอยากจะลงโทษพวกเจ้า แต่เป็นเพราะพวกเจ้าสร้างปัญหาใหญ่ต่างหาก”

 

จ้าวหนึ่งโบกมือพัดทั้งคู่ออกไป

 

ข่าวเรื่องที่ซือหยูถูกราชาแห่งความมืดหมายตาให้เป็นหนึ่งในผู้สืบทอดนั้นทําให้หลายคนตกตะลึง

 

“ข้าจะส่งจดหมายให้กับท่านราชา เจ้าไปได้แล้ว”

 

จ้าวหนึ่งโบกมือให้สลายการประชุม

 

“เดี๋ยวก่อน…”

 

ดวงตาจ้าวหอวารีสวรรค์สั่นด้วยความตกใจ

 

“ท่านปูไม่คิดถึงเรื่องที่ซือหยูมาขอกําลังเสริมหน่อยรึ?”

 

จ้าวหนึ่งดูอ่อนโยนและอบอุ่นขึ้นมา

 

“ไม่จําเป็นหรอก เราควรจะใช้สงครามครั้งนี้มองดูพลังของเขา ถ้าเขาชนะ เขาก็จะได้รับการยอมรับจากทั้งทวีปและครองบัลลังก์ของราชาแห่งความมืดได้โดยง่าย ถ้าเขาตาย นั่นก็แค่หมายความว่าเขาไม่ดีพอ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเขาไม่ควรค่าแก่การสนใจ”

 

จ้าวหอวารีสวรรค์ตกตะลึง

 

“ท่านปู่แน่ใจแล้วรึ? ตามข่าวที่ข้าได้มา ห้าศักดิ์สิทธิ์จะนําทัพกึ่งภูติพันคนออกมา สงครามแรกคือที่ทวีปเหนือ เพราะเรื่องนี้ซือหยูจึงมาขอกําลังเสริม ต่อให้เขาแข็งแกร่งกว่านี้ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะรับมือกับกองทัพพันคนโดยไร้กําลังเสริม”

 

จ้าวหนึ่งเพียงแค่ยิ้มและไม่ตอบอะไร

 

“พอแล้วหลานเอ๋ย มองดูสงครามครั้งนี้ให้ดี แล้วเจ้าจะรู้ว่าซือหยูผู้นี้คือมังกรหรือเพียงหนอนแมลง”

 

หลังจากที่จ้าวหอวารีสวรรค์เดินออกไป เขาพูดขึ้นมาอีกครั้ง

 

“ดูจากเวลาที่ผ่านไป มันควรจะถึงเวลาที่หัวหน้าหน่วยข่าวกรองเสร็จภารกิจที่ก้นบึงมังกรแล้ว ขึ้นอยู่กับคนเฒ่าอย่างพวกเราแล้วว่าจะมอบสันติสุขให้กับทวีปได้หรือไม่ พวกเจ้าจงเตรียมตัวให้ดี”

 

หลังจากที่ตําหนักเจ็ดจ้าวปิดอีกครั้ง อาณาจักรทมิฬได้กลับมาเงียบสงบดังเดิม แต่ข่าวที่บอกว่าอีกไม่นานกองทัพจากต่างโลกจะมาโจมตีก็ไปถึงทุกคนในทวีปเหนือ

 

“ผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดกับทัพกึ่งภูติพันคนจะมาถึงในอีกไม่นานแล้ว!”

 

“ต่อให้เจ้าพันธมิตรชื่อปกป้องวเรา พวกเขาก็อาจจะขวางกองทัพนั้นไม่ได้”

 

ความกลัวและความวิตกปกคลุมผู้คน พวกเขาล้วนกังวลกับศึกใหญ่ที่กําลังจะเกิดขึ้นในทวีปเหนือ พวกเขาล้วนคิด…

 

เจ้าพันธมิตรชื่อผู้เลื่องชื่อจะรับมือกับสงครามนี้ได้หรือไม่?

 

ทวีปเหนือได้กลายมาเป็นศูนย์กลางของทวีปโดยไม่มีใครรู้ตัว เมื่อซือหยูกลับมา เขาได้เห็นคนมากมายที่กําลังหนีเอาชีวิตรอด

 

ภาพที่ได้เห็นทําให้เขาหนักใจ

 

จะมีสักกี่คนที่เต็มใจสละตัวต่อสู้เพื่อคนหมู่มาก เพื่อสามัญชน ทั้งที่ต้องเจอกับสงครามครั้งใหญ่เช่นนี้กัน?

 

ซือหยูไม่ขวางคนที่หลบหนี เขากลับไปยังตําหนักรองของอาณาจักรทมิฬที่ตอนนี้กลายเป็นสถานที่หลักของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์

 

มาฆ่าพวกมันกันเถอะ!

 

ก่อนที่เขาจะถึงเมือง เขาได้ยินเสียงกรีดร้องที่สั่นสะเทือน

 

“มีการต่อสู้แล้วรึ?”

 

ซือหยูอึดอัดใจ เขารีบตามต้นเสียงไป

 

เขาเห็นว่าสมาชิกของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์กําลังฝึกฝนและต่อสู้กัน ซือหยูเห็นว่าพวกเขากําลังฝึกฝนการต่อสู้ระยะประชิด

 

แต่ในท้องนภาห่างไกล มีวงแหวนวงยักษ์ลอยอยู่ มีคนมากกว่าร้อยคนอัดพลังชีวิตลงไป พวกเขากําลังฝึกใช้วงแหวนอัดพลังเพื่อเตรียมตัวทําสงครามที่จะมาถึงในอีกไม่นาน

 

ไม่ว่าเขาจะมองไปทางใดก็จะเห็นคนของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ฝึกฝนและบ่มเพาะพลังเต็มไปหมด ไม่มีใครหนีหรือตัดพ้อ พวกเขาต่างตั้งมั่นที่จะเผชิญหน้ากับความตาย

 

ซือหยูรู้สึกขอบคุณกับผู้คนเหล่านี้ เขาภูมิใจที่ได้เห็นคนเหล่านี้ยินดีต่อสู้

 

“นายน้อย”

 

แปดศักดิ์สิทธิ์วู่เหิงบินมาที่ซือหยูทันทีที่เห็นว่าเขามาถึง

 

“เจ้าทําให้พวกเขาเริ่มฝึกงั้นรึ?”

 

ซือหยูยิ้มเล็กน้อยเมื่อถาม เขาเห็นว่าการฝึกฝนนี้คล้ายกับการฝึกทหาร และมีเพียงคนจากกองทัพอย่างว์เหงวเท่านั้นที่จะจัดการเรื่องแบบนี้ได้

 

แปดศักดิ์สิทธิ์ตอบอย่างกระวนกระวายใจ

 

“โปรดอภัยที่ขาทําไปโดยไม่รอฟังคําสั่งท่าน ข้าเพียงรู้ว่าสงครามกําลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่นาน เป็นความร้อนรนของข้าที่มิอาจรอให้ท่านกลับมาได้”

 

“หึหึ เจ้าไม่ต้องพูดต่อแล้ว ข้าไม่สนใจต้นตอความคิดในคนของข้า ถึงเจ้าจะเคยเป็นศัตรู ข้าก็ได้เห็นตอนที่เจ้าสู้กับเชี่ยหวี่”

 

ซือหยูพยักหน้าให้รูเหิงเป็นเชิงยอมรับ

 

“หลังจากสงครามเฉินหลงจบลง ข้าจะปล่อยเจ้าเป็นอิสระ”

 

อะไรนะ? แปดศักดิ์สิทธิ์ใจเต้นแรง เขาตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ดูเหมือนว่าเขาจะมีหวังได้เป็นอิสระอีกครั้ง!

 

“ข้าจะทําให้ดีที่สุดแน่นอน”

 

เขาเข้าใจว่าถ้าอยากเป็นอิสระจากซือหยู เขาจะต้องทํางานให้ดี

 

“ตอนนี้ เจ้าไปเรียกคนระดับสูงของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ ข้ามีเรื่องสําคัญต้องประกาศ..”

 

เรื่องสําคัญรึ? เขาได้กําลังเสริมมาแล้วสินะ? วู่เหิงดีใจมากกับข่าวดี เขารีบไปแจ้งเหล่าผู้เฒ่าในลานฝึก

 

ซือหยูบินไปที่ตําหนักและร่อนลงเบาๆที่หน้าห้องเซี่ยนเอ๋อ เขาเห็นว่านางยังบ่มเพาะพลังอยู่ร่างของนางมีพลังลึกลับอ่อนๆห่มเอาไว้ ฐานพลังของนางในตอนนี้ทําให้ซือหยูตกใจมาก

 

เขาแค่จากนางไปไม่กี่วัน แต่นางก็ก้าวขึ้นมาเป็นกิ่งภูติที่มีแก้วสามดวงแล้ว! ตอนที่เขาออกไป นางมีแก้วพลังชีวิตแค่ดวงเดียวเท่านั้น!

 

“ราชาภูติงั้นรึ ของที่นางได้มาช่างน่าอัศจรรย์นัก”

 

ซือหยูรู้สึกทึ่ง

 

ในตอนนั้น เขาคิดถึงเรื่องราวของราชาภูติอีกครั้ง วิชาที่ฟื้นฟูจุดกําเนิดพลังที่ถูกทําลายไปแล้วได้นั้นเหมือนกับปาฏิหาริย์ ซือหยูทําได้แค่ยินดีไปกับนาง เพราะนางบังเอิญได้รับสิ่งที่ดีมาแล้ว

 

“เซี่ยนเอ๋อ ถ้าข้ารอดจากสงคราม ข้าจะแต่งงานกับเจ้าแน่นอน…”

 

ซือหยูพูดเบาๆไม่ให้นางได้ยิน เขารีบออกไป

 

ที่โถงตําหนัก

 

“ผู้เฒ่าจิวไปไหนล่ะ?”

 

ซือหยูถามเมื่อเห็นว่าผู้เฒ่าจิวกับอีกสองคนที่ควรจะอยู่ได้หายตัวไป เหลือแค่เพียงผู้เฒ่าฉิวกับเซี่ยจิงหยูที่ยังไม่ได้สติเท่านั้น

 

“ท่านเจ้าพันธมิตร ผู้เฒ่าฉิวออกไปเมื่อคืน ข้าไม่รู้ว่าเขาไปที่ใด”

 

ทหารคนหนึ่งที่เฝ้ายามได้ตอบ

 

เขาออกไปรึ? ซือหยูสับสนเพราะผู้เฒ่าจิวยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่จากอาการบาดเจ็บ เขาไม่เข้าใจว่าทําไมผู้เฒ่าจิวต้องหายตัวไปในตอนนี้

 

แต่ด้วยพลังของผู้เฒ่าจิว มีเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้นที่จะเป็นภัยต่อเขา ซือหยูไม่เป็นกังวลมากนัก

 

“อืม..หาให้ทั่ว รายงานข้าทันทีถ้าได้ข่าวท่านผู้เฒ่าจิว”

 

ซือหยูสั่งและมองไปยังผู้เฒ่าฉิวกับเซี่ยจิงหยู

 

ฟึ่บ!

 

มีกล่องหยกสองใบปรากฏในมือ นั่นคือกล่องโอสถหางวิหคเพลิงม่วงกับโอสถจันทร์ลับอดุลที่จะช่วยชีวิตผู้เฒ่าฉิว

 

เขาหยิบมันขึ้นมาวางใส่ปากของนาง เขาอัดพลังชีวิตช่วยให้นางกลืนโอสถเข้าไป

 

ซือหยูสัมผัสได้ว่าพลังของโอสถกําลังทํางานอยู่ในท้องของผู้เฒ่าฉิว ท้องของนางเป็นส่วนที่บาดเจ็บมากที่สุด ยังมีรอยฝ่ามืออยู่ตรงนั้น มันปล่อยพลังที่อันตรายออกมา

 

ฝ่ามือที่ควรจะเอาชีวิตนางไป แต่นางกลับรอดด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครรู้ รอยฝ่ามือที่ไม่เคยฟื้นฟู แม้จะผ่านมาครึ่งเดือนได้จางลงไปเมื่อมีพลังของโอสถเข้าช่วย

 

“นางรอดแล้ว เพียงแค่ต้องรอให้นางลืมตาขึ้นมาเท่านั้น”

 

ซือหยูถอนหายใจยาว

 

ผู้เฒ่าฉิวเคยช่วยเขาหนึ่งครั้ง และเขายังต้องการความช่วยเหลือจากนางให้สร้างเนตรเงินล้างอสูร นางตื่นขึ้นมาเมื่อใดก็คงจะเป็นลางดี

 

ซือหยูเดินหลายก้าวไปที่เตียงเซี่ยจิงหยู เขานั่งข้างนางและจับมืออันอ่อนนุ่มที่เย็นอยู่บ้างเอาไว้ เขารู้สึกเจ็บแปลบในใจ

 

เซี่ยจิงหยูต้องบาดเจ็บถึงเพียงนี้ก็เพราะว่านางอยากจะส่งข่าวเรื่องสงครามเฉินหลงให้กับเขา ซือหยูมิอาจจําได้อีกแล้วว่าเขาติดหนี้นางกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง และก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะตอบแทนนางอย่างเหมาะสมแม้จะพยายามไปทั้งชีวิต และเขาก็ยังมีความเสียใจสูงสุดที่มิอาจให้คําตอบกับคําสารภาพความรู้สึกจากนาง

 

“จิงหยู…”

 

ดวงตาของซือหยูมีเพียงความโศกเศร้า เขายอมรับฉินเซี่ยนเอ๋อไปแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะรับเซี่ยจิงหยูไว้อีกคน นั่นหมายความว่าเขาจะติดหนี้นางมากยิ่งขึ้นไปอีก

 

ความรู้สึกมากมายเอ่อล้นอยู่ในใจ ซือหยูมองดูสภาพร่างกายของนางอีกครั้ง เขาเห็นว่าบาดแผลที่นางได้รับฟื้นฟูเต็มที่แล้ว แต่น่าสับสนอย่างมากที่นางยังไม่ได้สติกลับมา

 

“ หวังว่าเจ้าจะตื่นขึ้นมาก่อนการแต่งงานของข้ากับเซียนเอ๋อนะ…”

 

มือนางและพูดเบาๆอย่างเหม่อลอย

 

ฟึ่บ!

 

“นายน้อย คนระดับสูงของพันธมิตรมากันครบแล้วที่โถงหลัก”

 

วู่เหิงยืนหน้าประตูและมองซือหยูที่มองเซี่ยจิงหยูด้วยความรัก

 

เมื่อซือหยูกลับมาได้สติ เขาวางมือของเซี่ยจิงหยูและยืนขึ้นช้าๆ

 

“ไปกันเถอะ”

 

แต่เขาไม่รู้เลยว่าหลังจากที่เขาออกไป นิ้วก้อยของเซี่ยจิงหยูที่หลับใหลมานานได้กระตุกเบาๆ เมื่อแสงอาทิตย์อันอบอุ่นส่องผ่าน

 

ที่โถงหลัก

 

ผู้เฒ่าเฉิน หน่วยกวาดล้าง และผู้เฒ่าอีกหลายคนกําลังรออย่างเงียบเชียบอยู่ที่โถงหลัก ทุกคนก้มหน้าด้วยความนับถือเมื่อซือหยูมาถึง

 

“ทุกท่าน ข้าจะพูดให้ยาวนัก สงครามครั้งใหญ่กําลังจะมา ทุกท่านควรจะรู้อยู่แล้ว ข้าคงไม่ต้องพูดอะไรอีก…”

 

ซือหยูเริ่มประกาศ

 

ซือหยูที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขานั้นดูสง่างาม ตัวตนของเขาสูงส่งราวกับราชาผู้ยิ่งใหญ่

 

เกาะราชาผู้ยิ่งใหญ่

 

“ยินดีร้อนรับกลับ ท่านเจ้าพันธมิตร”

 

ทุกคนพูดขึ้นมาพร้อมกัน

 

ซือหยูโบกมือปฏิเสธ

 

“จากนี้ไปไม่ต้องทําตัวเป็นทางการกับข้านัก เรามีเวลาไม่มาก ข้าจะมอบหมายภาระให้พวกเจ้าทันที”

 

ทุกคนเริ่มมีใจสู้ขึ้นมาเมื่อได้ฟังซือหยู พวกเขาคิดว่าซือหยูน่าจะได้กําลังเสริมมาจากอาณาจักรทมิฬ

 

“อย่างแรก ข้าจะบอกเรื่องผลที่ข้าไปอาณาจักรทมิฬ”

 

ซือหยูสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อมองคนรอบๆ

 

“น่าเสียดายที่ข้าไม่ได้กําลังเสริมอย่างที่พวกเจ้าหวัง ข้าไม่ได้ทหารมาเลยแม้แต่คนเดียว”

 

ทุกคนใบหน้าตึงเครียดเมื่อได้ฟัง ความหวาดกลัวเริ่มกัดกิดจิตใจ พวกเขารู้ว่ากองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดกําลังจะมาในอีกไม่นาน การต่อสู้กับคนเหล่านี้ด้วยคนเพียงหมื่นคนนั้นไม่ต่างกับการคิดทําลายก้อนศิลาด้วยไข่หนึ่งฟอง!

 

“เจ้าเลิกคิดถึงความตายของตัวพวกเจ้าเองไปแล้ว เจ้าจะต้องกังวลสิ่งใดอีกเล่า? ถึงเราจะไม่ได้กําลังเสริม เราก็ยังมีพวกเราอยู่ไม่ใช่รึ?”

 

แววตาเยือกเย็นของซือหยูเปล่งประกาย

 

ผู้คนที่ได้ฟังยิ้มอย่างขมขึ้น พวกเขาหยุดคิดเรื่องความเป็นความตายของตัวเองไปแล้ว ซือหยูพูดถูก

 

“นี่คือเรื่องแรกที่ข้าอยากบอกพวกเจ้า เรื่องต่อไปคือเรื่องการบ่มเพาะพลังของพวกเจ้า พวกเจ้าถอยไปก่อน ข้าต้องการพื้นที่โล่ง”

 

ซือหยูชายตามองคนรอบๆ

 

ผู้เฒ่าเฉินกับคนอื่นงุนงง พวกเขาถอยเว้นพื้นที่ให้ซือหยูแม้จะยังสับสน

 

“ยังไม่พอ…พวกเจ้าถอยไปอีก…”

 

ซือหยูพูดหลังจากประมานพื้นที่ที่ต้องใช้

 

ผู้เฒ่าเฉินกับคนที่เหลือสับสน พวกเขาจึงเดินออกจากโถงผลักและทิ้งทั้งโถงให้กับซือหยูคนเดียว