บทที่ 466 เบื้องหลัง
เมฆสีดำบดบังทั่วท้องฟ้า ถนนอยู่ภายใต้ความมืดยามสนธยา หลายคนกำลังรีบเดินทางกลับเคหสถานของตน ไม่ว่าจะยุคสมัยใด คงมีเพียงไม่กี่คนที่จะรู้สึกเป็นสุขเมื่อต้องเปียกปอนท่ามกลางสายฝน โดยเฉพาะในสมัยที่ยังขาดแคลนหรือไม่มีการรักษาทางแพทย์ การเป็นไข้หวัดบ่อยครั้งอาจหมายถึงชีวิต

ผู้คนที่เดินผ่านไปมาล้วนสวมเสื้อผ้าลินินสีเทาคล้ายๆ กัน ขาดไร้ซึ่งสีสันและรสนิยม มีเพียงทหาร บาทหลวงประจำการเท่านั้นที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน พวกทหารอยู่ในชุดเกราะที่ส่วนอกที่ทำจากทองแดงและเกราะสนับแข้ง พร้อมทั้งดาบและหอกเหล็กดำ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความทรหดอดทน

ด้วยเครื่องแต่งกายเสื้อคลุมผ้าลินิน ลูเซียนเดินตามหลังชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่เดินช้าบ้างเร็วบ้างสลับกันไปมา ชายคนนั้นเดินหลบเลี่ยงไปมาระหว่างซอยเล็กๆ กับถนนหลัก ไม่ต่างจากผู้สัญจรไปมาทั่วไปคนอื่น

ท้องฟ้าเริ่มมืดลง สายลมเริ่มส่งเสียงหวีดหวิว พายุอาจมาเยือนได้ทุกเวลา ทหารที่ลาดตระเวนไม่มีทางเลือกอื่น นอกเหนือจากต้องเร่งความเร็วของขบวนแถวเพื่อไปให้ถึงค่ายที่ตั้งอยู่ภายในกำแพงเมือง

ชายวัยกลางคนคนนั้นหยุดอยู่ตรงหน้าอาคารหินสองชั้นหลังหนึ่ง แล้วเขาก็สำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างระมัดระวัง หลังจากมั่นใจแล้วว่าไม่มีใครสนใจ เขาก็เคาะประตูไม้วอลนัทด้วยจังหวะที่แปลกประหลาด สองครั้งแรกตรงกลางประตู ครั้งที่สามเคาะใกล้กับเดือยประตู และเคาะครั้งสุดท้ายตรงล็อกของประตู แต่ละส่วนของประตูให้เสียงที่ต่างกัน

หลังจากนี้เงียบอยู่ราวสิบวินาที ก็มีรูๆ หนึ่งปรากฏขึ้นบนประตู และมีดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองลอดออกมา

ชายวัยกลางคนก้าวถอยหลังออกมา เพื่อให้ตาดวงนั้นสามารถมองเห็นดอกกุหลาบสีเทาตรงมุมเสื้อเชิ้ตของเขาได้เต็มตา

ภาพของดอกกุหลาบไม่ได้ชัดเจนมากนัก หากไม่รู้มาก่อน เขาก็คงไม่อาจสังเกตเห็น

ลูเซียนก็ขยับเปลี่ยนท่าทางเพื่อให้เห็น ‘ดอกกุหลาบสีเทา’ ของเขาชัดเจน

ดวงตาสีน้ำตาลกระพริบตาแล้วหายไปหลังประตู แล้วประตูไม้วอลนัทบานนั้นก็เปิดออกช้าๆ ชายหลังค่อมคล้ายกับคนแคระก็พูดเสียงแผ่วเบา “ท่านผู้ริเริ่ม ‘คราวน์’ กำลังรอท่านอยู่”

ชายวัยกลางคนเดินนำหน้าเข้าไปในห้องหนึ่งอย่างรวดเร็ว สายตาของเขาส่งสัญญาณบอกให้ลูเซียนเดินตามไป

ลูเซียนไม่ได้กระฉับกระเฉงและตื่นตัวเหมือนกับชายวัยกลางคนคนนั้น เขาผลักประตูเปิดออกพร้อมกับรอยยิ้มและเข้าไปในห้องอย่างไม่รีบร้อน ราวกับว่าเขากำลังมาเยี่ยมเยียนสหายธรรมดาๆ เท่านั้น

ชายวัยกลางคนพยักหน้าเบาๆ หลังจากคอยสังเกตอากัปกิริยาของลูเซียน

หลังจากการลอบสังหารของผู้พิทักษ์ราตรีทำให้ลูเซียนไปโผล่ในประตูมิติ การเทเลพอร์ตก็เกิดการปั่นป่วนจากการโจมตีด้วยการระเบิดตัวเองตรงหน้าประตู แล้วลูเซียนก็ถูกดึงมายังเมือง ‘โปลิทาวน์’ เมืองที่เขายังไม่รู้จักดีนักเมืองนี้ ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากลูเซียนพลัดหลงจากการคุ้มครองของประตูมิติในช่วงขั้นตอนสุดท้ายของการเทเลพอร์ต เขาจึงได้รับผลกระทบอันหนักหน่วงจากความปั่นป่วนของอวกาศ ไม่เพียงร่างกายจะบาดเจ็บสาหัสเท่านั้น แต่วิญญาณของเขาก็อ่อนแอลงมากในตอนนี้ พลังของเขาเหลือเพียงระดับอัศวินธรรมดาและนักเวทชั้นกลาง อุปกรณ์ของเขาก็ได้รับความเสียหายระหว่างพายุอวกาศ และต้องซ่อมแซมก่อนที่จะกลับมาใช้ได้อีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม ลูเซียนยังค่อนข้างโชคดี เขาไม่ได้โผล่มาเจอกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของศาสนจักรและพระคาร์ดินัลหลวง หรือเจอกับเทพพระเทียมเท็จหรือปีศาจร้าย อย่างไรก็ตาม เขาได้รับการดูแลจากชายชราผู้โอบอ้อมอารีคนนี้ที่ชื่อว่า ‘นอร์ตัน’ หลังจากใช้เวลาพักฟื้นอยู่สองเดือน พลังเวทมนตร์และพลังอัศวินพื้นฐานก็กลับมา

ปัญหาเดียวที่มีตอนนี้ก็คืออุปกรณ์เวทมนตร์ที่ใช้ระหว่างถูกลอบสังหารต้องการวัสดุพิเศษมาซ่อมแซม แต่แน่นอนว่าเครื่องราง ‘มงกุฎสุริยัน’ อุปกรณ์เวทชั้นตำนาน และ ‘คทาแห่งตะวัน’ อุปกรณ์เวทระดับเก้า ได้รับการคุ้มครองจากเวทมนตร์ในตัวเองและไม่เสียหาย

‘ดาบน้ำแข็ง’ ‘ดาบยุติธรรมจืดจาง’ ‘หน้ากากแปลงกาย’ และอุปกรณ์อื่นๆ ในกระเป๋าเวทมนตร์ก็ไม่ได้รับความเสียหายเช่นกัน และแม้แต่นอร์ตันก็มองเห็นเพียงรูปร่างมนุษย์ธรรมดาๆ ที่ลูเซียนแปลงกายหลอกตา

ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ลูเซียนไม่ได้เจอกับนักเวทหรือคนของนักบุญแห่งสัจธรรมเลย และเขาก็ไม่ได้รับข่าวคราวข้อมูลสำคัญใดๆ เช่นกัน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะอยู่ไกลจากเมืองมาก ไกลเกินกว่าที่ข่าวลือเกี่ยวกับเหตุการณ์ลอบสังหารจะมาถึง หากเขาไม่ได้รู้สึกถึงพลังแปลกประหลาดที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่งซึ่งกดทับพลังวิญญาณไว้ตามเฟอร์นันโดเอ่ยถึง ลูเซียนก็คิดว่าเขาอาจไปโผล่ที่มิติอื่นแล้วก็ได้

ตามที่ข้อมูลจากตาเฒ่านอร์ตัน ลูเซียนรู้ว่าเมืองโปลิทาวน์ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งของมหาสมุทรเออร์โด และเป็นเมืองสำคัญทางการเมืองและเศรษฐกิจของคาบสมุทรเออร์โด

ในยุคแรกๆ ชนพื้นเมืองชาวบาร์ริลปกครองดินแดนส่วนนี้ ชนพื้นเมืองได้สร้างจักรวรรดิบาร์ริลและบูชาเทพอะวันโด ‘เทพเจ้าแห่งไฟและการทำลาย’ อย่างไรก็ตาม เมื่อหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา จักรวรรดิแองโกนอร์มาอันยิ่งใหญ่ได้ข้ามทะเลมาโจมตีและพิชิตดินแดนแห่งนี้ เทพอะวันโดก็ถูกพิชิตและเนรเทศโดย เทพแอนทานาส ‘เทพเจ้าแห่งสงคราม’ ซึ่งได้รับการบูชาจากจักรวรรดิแองโกนอร์มา

ในการทำลายศรัทธาความเชื่อของชาวบาร์ริล ผู้รับใช้เทพเจ้าของแองโกนอร์มาจึงเผยแพร่ประกาศออกไปว่าเทพอะวันโดถูกสำเร็จโทษแล้ว

ผู้สำเร็จราชการเออร์โดซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากจักรวรรดิแองโกนอร์มา ก็ปกครองด้วยความโหดร้ายทารุณและปฏิบัติต่อชาวบาร์ริลประหนึ่งทาส ดังนั้น เกาะแห่งนี้จึงเต็มไปด้วยสงคราม กลุ่มกบฏที่อ้างตนว่าได้รับการประสาทพรจากเทพอะวันโดและผู้ที่เริ่มบูชาในเทพเจ้าองค์อื่นก็เข้าห้ำหั่นกันบ่อยครั้ง อย่างไรก็ตาม ด้วยความแข็งแกร่งของจักรวรรดิแองโกนอร์มา กอปรกับ ‘เทพเจ้า’ ผู้น่าหวาดกลัวของพวกเขา กบฏก็ถูกปราบปรามลงครั้งแล้วครั้งเล่า

เรื่องนี้ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับลูเซียนเท่าไรนัก ด้วยความระมัดระวังที่จะไม่เปิดเผยตัวตน เขากำลังรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับภูมิศาสตร์โดยรอบและอาณาจักรต่างๆ โดยหวังว่าจะพบร่องรอยเกี่ยวกับสภาเวทมนตร์ การเตรียมตัวมากพอก็จะช่วยรับประกันการเดินทางที่ปลอดภัยได้ ความรู้สึกแปลกประหลาดที่กดทับพลังวิญญาณไว้นั้นก็ยังขัดขวางการใช้ ‘เวทสารแม่เหล็กไฟฟ้า’ ด้วยเช่นกัน และลูเซียนก็ประเมินไว้ว่าการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพต้องอยู่ภายในระยะสิบกิโลเมตรเท่านั้น

ดังนั้น ลูเซียนจึงยังไม่กล้าเสี่ยงออกเดินทางโดยไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน ใครจะไปรู้ว่าเขาอาจต้องเผชิญหน้ากับคนของนักบุญแห่งสัจธรรมหรือดินแดนที่ปกครองโดยแวมไพร์เข้าอีก หน้ากากแปลงกายอาจหลอกตาคนทั่วไปได้ แต่ไม่อาจหลอกลวงพระคาร์ดินัลหลวงได้แน่นอน ไม่ต้องพูดถึงพระสันตะปาปาและเจ้าชายแดรกคูลาเลย

อย่างไรก็ตาม นอร์ตันซึ่งอยู่ในช่วงบั้นปลายของชีวิต ก็ดูเหมือนจะรู้สึกว่าในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาลูเซียนทำงานได้ดีกว่าพวกวัยรุ่นและเด็กๆ ที่เขารับมาดูแล เขายังเชื่อสนิทใจว่าลูเซียนเป็นชาวบาร์ริลผู้มีศรัทธาในเทพเจ้า เนื่องจากการพูดภาษาบาร์ริลที่ไหลลื่นของลูเซียน จักรวรรดิแองโกนอร์พยายามอย่างหนักที่จะทำให้ภาษาแองโกนอร์มาได้รับความนิยม หากไม่ได้รับการสั่งสอนตั้งแต่วัยเด็กและไม่ได้เข้ากับพวกเรียกร้องเอกราชชาวบาร์ริล ก็ไม่มีเด็กหนุ่มคนไหนสามารถพูดภาษาบาร์ริลได้เป็นธรรมชาติขนาดนี้ ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจจะส่งผ่านตัวตนที่เป็นความลับให้ลูเซียนก่อนที่เขาจะตาย

ตัวตนลับในฐานะสมาชิกระดับสูงของ ‘สภาภาวนาลับ’ อัครทูตที่เจ็ดแห่งการกลับชาติมาเกิดใหม่ของ ‘เทพเจ้าแห่งไฟและการทำลาย’

ลูเซียนรู้ดีว่าความเชี่ยวชาญภาษาบาร์ริลของเขาต้องยกความดีความชอบให้กับเวท ‘ความรอบรู้แห่งภาษา’ อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาว่าเขาจะเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้นจากองค์กร เขาก็ตกลงเข้าร่วม เนื่องด้วยการก่อกบฏบ่อยครั้ง เมืองโปลิทาวน์จึงอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างใกล้ชิดจากทั้ง ‘ผู้สำเร็จราชการเออร์โด’ และ ‘อารามเทพเจ้าแห่งสงคราม’ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ การพยายามหลอกลวงความทรงจำของคนอื่นไม่น่าจะได้ผลดี ฉะนั้น การแทรกแซงเข้าเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของแองโกนอร์มาเพื่อหาข้อมูลก็สามารถลงมือได้เพียงครั้งเดียว เนื่องจากเขาอาจเสี่ยงที่จะถูกเปิดเผยตัวตน หากภารกิจครั้งนี้กินเวลายืดเยื้อเกินกว่าหนึ่งวัน

อันที่จริง หากไม่ได้รับการคุ้มครองจากนอร์ตัน ลูเซียนก็คงถูกตรวจสอบตัวตนหลายต่อหลายครั้ง สำหรับตัวผู้สำเร็จราชการเออร์โด มีข่าวลือว่าเขาเป็นลูกครึ่งระหว่างเทพกับมนุษย์ และสามารถใช้ ‘พลังแห่งเทพเจ้า’ ได้เหมือนผู้นำนักบวชของอารามเทพเจ้าแห่งสงคราม จึงเทียบได้กับการมีนักบวชระดับเก้าสองคนอยู่ในเมืองนี้

แต่ไม่มีนักเวทบ้าคลั่งและอัศวินทางสายเลือดอยู่ในโลกนี้ อย่างไรก็ตาม เทพเจ้าเทียมเท็จมักลุ่มหลงมัวเมาในการเสพสังวาสและผลิตลูกหลานออกมามากมาย ลูกหลานเหล่านี้ก็มักมีพลังคล้ายคลึงกับอัศวินทางสายเลือดอีกด้วย

คนธรรมดาไม่สามารถเลื่อนขั้นขึ้นเป็น ‘ผู้รับใช้เทพเจ้า’ และเจริญก้าวหน้าในตำแหน่งนักบวชได้ กองทัพก็สามารถรับมือกับชาวบ้านธรรมดาๆ เพียงเท่านั้น แต่ไม่อาจต่อกรกับ ‘วีรบุรุษ’ สายเลือดเทพได้ แต่โชคดีที่พวกสายเลือดเทพมีไม่มากนัก และกองทัพก็ยังมีประโยชน์ในการปราบปรามการลุกฮือต่อต้านของกบฏ หากปัญหาไม่ใหญ่เกินกว่าจะรับมือ

พวกเขาเดินตามอัครทูตที่ห้า ‘แอนฮิวซ์’ ผ่านห้องโถงขนาดใหญ่และเข้าไปด้านหลังของอาคาร ขณะที่แอนฮิวซ์เปิดทางเดินลับที่เผยให้เห็นขั้นบันไดนำทาง ลูเซียนก็มองขั้นบันไดทีละขั้น ขณะที่ครุ่นคิดว่าเขาจะมีโอกาสและได้ศึกษาเรื่องการกลับชาติมาเกินของ ‘เทพเจ้าแห่งไฟและการทำลาย’ หรือไม่ นับเป็นครั้งแรกที่เขาจะได้เห็นการกลับชาติมาเกิดของเทพเจ้าเทียมเท็จ และเป็นโอกาสดีที่จะได้เข้าถึงข้อมูลด้วยตัวเอง นี่เป็นอีกหนึ่งในเหตุผลหลักที่เขาตัดสินใจเข้าร่วมกับ ‘สภาภาวนาลับ’

ขั้นบันไดดูเหมือนจะพาพวกเขาขึ้นไปยังเพดาน อย่างไรก็ตาม จู่ๆ แอนฮิวซ์ก็หยุดเดิน เมื่อพวกเขาเดินขึ้นมาได้ครึ่งทางและประตูลับก็ยังไม่เปิดออก ตอนนี้นั้น ขั้นบันไดดูเหมือนจะนำลงไปด้านล่างอีกครั้ง

ทั้งสองเดินไปด้วยความเงียบพักใหญ่ ก่อนที่จะมาถึงหน้าประตูทองแดง บานประตูเต็มไปด้วยลวดลายไฟรูปร่างประหลาดทุกรูปแบบ

มือของเขาวางลงบนลวดลายไฟลายหนึ่ง ร่างของแอนฮิวซ์ก็เปล่งแสงสีแดงออกมา แล้วเขาก็ผลักประตูทองแดงนั้นเต็มกำลัง เบื้องหลังประตูเป็นห้องโถงที่เต็มไปด้วยเตาไฟที่มีไฟลุกโชนเรียงเป็นแถว เผยให้เห็นเสาหินและโต๊ะกลมที่ตั้งอยู่ตรงกลาง

มีเก้าอี้สิบสามตัว ตั้งอยู่รอบโต๊ะ เก้าอี้ตัวหนึ่งทำจากทองและประดับด้วยเม็ดทับทิม และยังไม่มีใครนั่งจับจอง ทั้งสองด้านของเก้าอี้ทองเป็นเก้าอี้เงินหกตัว ซึ่งก็ประดับด้วยลวดลายไฟลักษณะคล้ายกัน

เก้าอี้ห้าจากสิบสองตัวมีคนนั่งอยู่แล้ว ชายชราผมสีดอกเลาหนวดเฟิ้มคนหนึ่งมองลูเซียนแล้วพูดขึ้น “จากคำแนะนำของนอร์ตันก่อนที่เขาจะจากไป เทพเจ้าแห่งไฟและการทำลายล้างพยากรณ์ไว้ว่าเจ้า ‘เลเวียธาน’ จะเข้ามาเป็นอัครทูตที่เจ็ด”

เลเวียธานเป็นนามแฝงของลูเซียน

“อย่างไรก็ตาม เจ้ายังไม่ได้แสดงพลังและเซ่นสังเวยต่อเทพเจ้า ในปีหน้า เราจะทดสอบเจ้า หลังผ่านการทดสอบแล้วเจ้าจะได้รับ ‘เมล็ดพันธุ์แห่งวิญญาณ’ และพลังวิเศษ”

“เข้าใจขอรับ” ลูเซียนอยากรู้เรื่อง ‘เมล็ดพันธุ์แห่งวิญญาณ’ ขึ้นมา นี่อาจจะเป็นกุญแจที่ถอดรหัสความลับของอาคมเทพได้หรือไม่? เขาควรจับตัวพวกอัครทูตหรือ ‘เทพเจ้าแห่งไฟและการทำลาย’ มาทำการวิจัยหรือไม่?

หลังจากชายชราพูดจบ เขาก็ชำเลืองมองลูเซียน “เชิญนั่ง อีกสักพักเราจะทำพิธีศีลจุ่มไฟรับเจ้า แต่ตอนนี้ มีเรื่องเร่งด่วนยิ่งกว่าที่ต้องถกกัน”

“เรื่องอะไรขอรับ?” แอนฮิวซ์นึกว่าพวกเขามารวมตัวกันเพียงเพื่อทำพิธีศีลจุ่มไฟรับอัครทูตที่เจ็ดเพียงอย่างเดียว

“เกี่ยวกับเส้นทางของเราในอนาคต วิธีช่วยให้เทพเจ้าของเราฟื้นกลับมาโดยสมบูรณ์” เจคอป ชายชราผู้เป็นอัครทูตที่หนึ่ง ตอบเสียงเบาๆ