บทที่ 224
ฝ่ามือวชิระสยบหล้า
ปรมาจารย์ที่พุ่งทะยานเข้าหาเย่เย่นี้มิใช่ใครอื่น พวกเขาก็คือประมุขของทั้งหกนิกายที่เป็นชนวนของสงครามในครั้งนี้ พละกำลังและวรยุทธ์ล้วนสูงส่งถึงระดับก้าวสวรรค์ แต่นั่นก็ไม่ทำให้เย่เย่รู้สึกหวั่นไหวแต่อย่างใด
“น่าขัน” เย่เย่แสยะมุมปาก พูดขึ้นอย่างประชดประชัน ด้วยความเร็วขณะที่สวมใส่เกราะทมิฬทำให้เขาเมินการโจมตีของเหล่าปรมาจารย์ราวกับเป็นอากาศธาตุ ก่อนหันหน้าไปยังทิศที่ตั้งฐานที่มั่นของนิกายเมฆาสวรรค์
ตู๋ไห่ ไต้ซือประมุขของนิกายดังกล่าวเห็นท่าไม่ดี จึงเร่งฝีเท้ากลับไปยังนิกายของตน เพื่อหนุนกำลังต้านศัตรู ประมุขคนอื่นๆก็ไล่ตามตู๋ไห่เพื่อหวังผนึกกำลังจับกุมเย่เย่เอาไว้
พอเย่เย่มาถึงค่ายของนิกายเมฆาสวรรค์ เหล่าศิษย์ที่คุ้มกันค่ายอยู่กะละทิ้งฐานที่มั่น วิ่งหนีออกไปคนละทิศคนละทางอย่างไร้การควบคุม แต่ความเร็วของพวกเขาก็เทียบไม่ได้กับอสนีบาตจำนวนนับไม่ถ้วนที่ถูกปล่อยออกจากฝ่ามือของเย่เย่
ตู้มมมม ตู้มมมม ตู้มมมม!
เสียงระเบิดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำลายโสตประสาทของทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้น ก่อนที่ร่างผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้นจะสลายเป็นธุลีลอยไปในอากาศ
ฐานที่มั่นของนิกายเมฆาสวรรค์ถูกทำลายลงใน ชั่วพริบตา ต่อหน้าตู๋ไห่ผู้ที่มาช้าไปไม่กี่ก้าว ไต้ซือผู้ละทิ้งทางโลกเห็นดังนั้นก็อดรนทนไม่ได้ เขาขบฟัน กระชับคทาอักขระแน่น ก่อนใช้วิชาตัวเบาเหยียบกลีบเมฆทะยานเข้าหาเย่เย่ด้วยจิตสังหารที่เปี่ยมล้น
“เข้ามา!” เย่เย่เหลียวมองตู๋ไห่ ก่อนกวักมือท้าทาย
ตู๋ไห่ที่ถูกไฟโทสะบดบังสายตา ก็พุ่งเข้าไปตามคำเชื้อเชิญ
“ฝ่ามือวชิระสยบหล้า!” ความเร็วผนวกกับวรยุทธ์ชั้นก้าวสวรรค์ของตู๋ไห่เล่นเอาเย่เย่หวั่นใจอยู่ไม่น้อย ทำให้เขาต้องฝืนดึงวิชายุทธ์ที่เขายังฝึกไม่สำเร็จออกมาใช้อย่างกะทันหัน
ประจุสายฟ้าที่ถูกรวมศูนย์ที่ฝ่ามือของเย่เย่นั้นมีอานุภาพร้ายกาจกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ทันทีที่มันถูกปล่อยออกมา ร่างของตู๋ไห่ที่เข้าปะทะกับมันในระยะเผาขนก็แหลกสลายไปโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว
ทั่วทั้งสมรภูมิก็พลันเงียบสงัดลง ทั้งห้าปรมาจารย์รวมไปถึงนักพรตเฉิงติ้งซานที่ตามตู๋ไห่มาติดๆก็ชะงักเท้าลงอย่างไม่ได้นัดหมาย พวกเขาแทบไม่เชื่อในสายตาของตนเองกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“ปะ เป็นไปไม่ได้!” ไม่เพียงแต่เหล่าผู้นำ บรรดาศิษย์เองก็อึ้งกันไปตามๆกัน
แต่หลังจากนั้นไม่นานเหล่าสาวกที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือต่างดีใจจนออกนอกหน้า บ้างก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกราวกับถูกปลดปล่อยออกจากพันธนาการที่เหนี่ยวรั้งพวกเขาเอาไว้
“ฮ่าฮ่าฮ่า สมน้ำหน้าเจ้าตู๋ไห่ บังคับขู่เข็ญพวกเราดีนัก” จากคำพูดของศิษย์คนหนึ่งทำให้รู้ว่า ไม่เพียงแต่นิกายวิถีสวรรค์ แต่นิกายเมฆาสวรรค์เองก็มัดมือชกศิษย์ในสำนักเช่นเดียวกัน
“ข้าตัดสินใจแล้ว ถ้าข้ารอดไปได้ ข้าจะเข้าร่วมกับกองกำลังปีกแห่งแสง ทำคุณไถ่โทษ!”
“ข้าเอาด้วย!”
เมื่อขาดผู้นำ พวกเขาก็ไร้ที่พึ่ง จิตใจที่ล่องลอยของศิษย์นิกายเมฆาสวรรค์ก็เริ่มเอนเอียงไปทางเย่เย่เป็นส่วนมาก
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เย่เย่ใช้ฝ่ามือวชิระสยบหล้าไปได้พักหนึ่ง ร่างกายของเย่เย่ก็หนักอึ้งขึ้นราวกับว่ากำลังภายในของเขาถูกใช้ไปจนหมด มุมปากที่ชูชันด้วยความทะนงก็หุบลง เขาใช้โอกาสที่ศัตรูยั้งเท้าลงด้วยความกลัว บินหนีไปด้วยกำลังที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด
“มะ มันไปไหนแล้ว?” ประมุขนิกายย่อยผู้หนึ่งพูดขึ้นอย่างกล้าๆกลัวๆ
“ท่านตามมันไปสิ!”
“มิกล้าๆ ข้าน้อยอ่อนด้อยประสบการณ์ เชิญท่านก่อน”
“เลิกเกี่ยงกันได้แล้ว! ไปพร้อมกันหมดนี่แหละ ไม่แน่ว่าพลังปราณของมันอาจจะร่อยหรอเต็มทีแล้วก็เป็นได้” นักพรตเฉิงติ้งซานพูดขึ้นด้วยความรำคาญ พลางคาดคะเนจากความเร็วที่แผ่วลงจากในทีแรกของเย่เย่
พอได้ยินดังนั้น ประมุขทั้งห้าก็เห็นพ้องต้องกัน และไล่ตามเย่เย่ไปอย่างสุดกำลัง
“กรอดดด ถ้าข้ายังเหลือพลังปราณอยู่ล่ะก็ อย่างพวกเจ้าไม่คณามือข้าหรอก!” เย่เย่ขบฟันกรอด พลางเหลียวหลังมองห้าประมุขที่ไล่ตามเขามาติดๆ
เมื่อเวลาผ่านไป ร่างกายที่หนักประหนึ่งหินผาของเย่เย่ ก็ไม่อาจต้านทานแรงโน้มถ่วงของโลกได้อีกต่อไป ปีกสองคู่ค่อยๆหุบลงและร่างของเขาค่อยๆร่วงหล่นจากฟากฟ้า ตกลงสู่ยอดเขาทางตอนใต้ของแผ่นดินฉางหลาง
ปรมาจารย์ทั้งห้าเห็นดังนั้น ก็ค่อยๆผ่อนกำลัง ร่อนตัวลงมา และยืนรายล้อมประมุขแห่งอารามเอาไว้
“ประมุขแห่งอารามวิถีสวรรค์ ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร มันจบแล้ว!” เฉิงติ้งซานก้าวเท้าเข้าหาเย่เย่ และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ข่มความกลัวเอาไว้
แม้ว่าตัวเขาและประมุขทั้งสี่ อยากเปิดโปงโฉมหน้าของประมุขแห่งอารามวิถีสวรรค์เสียเต็มแก่ แต่เพื่อความไม่ประมาท พวกเขาจึงรักษาระยะห่างจากตัวเย่เย่ไว้ประมาณนึง
“ยอมจำนนแต่โดยดี หรือจะให้ข้าส่งเจ้าไปสำนึกผิดในนรกเดี๋ยวนี้!?” ซู่หยวนกงเสริมขึ้น
ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ สีหน้าของเย่เย่ก็ไม่ได้แสดงความหวาดกลัวออกมาแม้แต่น้อย เขาสบตาเฉิงติ้งซาน ก่อนแสยะยิ้มอย่างมีเลศนัย
กริ้งงงงงงง!
เย่เย่ถอดแหวนออกจากนิ้ว ก่อนดีดมันลงไปกับพื้น
ครืนนนนนนนนนนนนนน!
ทันใดนั้นแหวนก็ค่อยๆกลายสภาพเป็นอาราม 9 ชั้นสูงตระหง่าน สร้างความตื่นตะลึงให้กับห้าประมุข เย่เย่ฉวยโอกาสนี้บินขึ้นไปบนยอดอาราม พร้อมออกคำสั่งให้เหล่ากองกำลังปีกแห่งแสงเข้าโจมตี
เมื่อประตูของอารามเปิดออก สามพี่น้องสกุลตงและกองกำลังกว่าร้อยชีวิตก็กรูออกมาจู่โจมใส่ประมุขทั้งห้า
สมาชิกกองกำลังปีกแห่งแสงล้วนแล้วแต่สวมยุทโธปกรณ์ระดับสูงที่เย่เย่ มอบให้ทำให้วรยุทธ์ของพวกเขาเพิ่มพูนอย่างก้าวกระโดดราวกับเป็นคนละคน
ตงซาน พี่ใหญ่ผู้มีพลังฝึกปรือสูงกว่าใครเพื่อน รุดหน้าเปิดฉากการโจมตีใส่ปรมาจารย์ผู้หนึ่งด้วยตัวคนเดียวเพื่อหวังแบ่งเบาภาระของให้กับเย่เย่และพรรคพวก
แม้ว่าตงหยู น้องรองและตงซิงน้องสามวรยุทธ์ไม่กล้าแกร่งแบบผู้พี่ แต่ทั้งสองผนึกกำลังกับกองกำลังส่วนที่เหลือรับมืออีกสองประมุขนิกายย่อย
มีเพียงเฉิงติ้งซานและซู่หยวนกงที่ใช้วิชาตัวเบา ก้าวข้ามหัวนับร้อยชีวิต ไล่ตามเย่เย่จนไปถึงยอดของอาราม
เย่เย่ที่เพิ่งฟื้นพลังได้ไม่ถึงเจ็ดส่วน ก็ต้องประมือกับสองปรมาจารย์ที่รุกไล่เข้ามา
ตู้มมม ตู้มมมม ตู้มมมมมมม!
ด้วยแรงปะทะ และกระแสปราณของทั้งสามทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งเทือกเขา สัตว์ป่าที่อาศัยอยู่ในละแวกนั้นก็ตกใจ หนีแตกกระเจิงออกไป
“ด้วยพลังแค่นี้ คิดจะเอาชนะข้างั้นรึ? ฝันไปเถอะ!” ระหว่างที่เย่เย่รับฝ่ามือของสองประมุขด้วยฝ่ามือทั้งสองข้าง เขาก็ลอบกระตุ้นจิตวิญญาณแห่งมังกรอสรพิษเสริมเข้าไปจนทำให้ทั้งนักพรตเฉิงและซู่หยวนกงต้องผละถอยออกไปหลายก้าว
ทั้งสองเห็นเช่นนั้น ก็ขมวดคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ น่าแปลกที่ภายในระยะเวลาสั้นๆเย่เย่กลับฟื้นฟูพลังจนสามารถรับมือพวกเขาได้พร้อมๆกัน แต่พวกเขาก็เก็บความสงสัยนั้นเอาไว้ในใจและเริ่มคำนึงถึงเป้าหมายเป็นสำคัญ
เดิมทีแผนการของทั้งหกนิกายคือการจับเป็นเย่เย่เพื่อเรียกความดีความชอบจากทัณฑ์สวรรค์ แต่ในเมื่อเรื่องมันเลยเถิดมาถึงขนาดนี้ พวกเขาก็เหลือทางเลือกไม่มากนัก
“ท่านซู่ ถ่วงเวลาให้ข้าสักเดี๋ยว” นักพรตเฉิงจ้องเย่เย่ไม่วางตา พลางกระซิบเรียกแผนกับซู่หยวนกง
แม้จะเป็นคำพูดสั้นๆ แต่ซู่หยวนกงก็รู้ได้ทันที เขาพยักหน้าตอบรับก่อนรีบชักหมัดต่อไปโถมใส่เย่เย่ในทันที…