บทที่ 225 รวมศูนย์

ระบบเติมเงินข้ามภพ

บทที่ 225

รวมศูนย์

“นักพรตเฉิงได้โปรดวางใจ ข้าจะ-” ซู่หยวนกงที่เป็นฝ่ายเข้าโจมตีเย่เย่ก่อน พูดไม่ทันจบประโยคก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่แผ่ออกมาราวกับเป็นเงามืดที่ครอบงำจิตใจของเขาชั่วขณะ จนทำให้ร่างกายของเขาไม่สามารถขยับได้ดังใจนึกคิด

“ทะ ท่านซู่! ท่านซู่” ไม่ว่าเฉิงติ้งซานขานเรียกเท่าไหร่ ก็ไม่มีเสียงตอบรับ

เมื่อซู่หยวนกงได้สติ ภาพที่ปรากฏตรงหน้าเขาก็ทำให้เขาตื่นตระหนกจนหน้าถอดสี เย่เย่เคลื่อนที่ผ่านเขาไปถึงตัวเฉิงติ้งซานโดยที่เขาไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย

“ไม่ว่าพวกเจ้ามีแผนอะไร คิดหรือว่าข้าจะยอมให้เจ้าทำได้น่ะ!” แม้ว่าพลังปราณจะเหลือเพียงน้อยนิด แต่มันก็มากพอที่จะใช้กระบวนท่านั้นอีกครั้ง

เย่เย่ใช้มือขวาที่อัดแน่นพลังปราณ จับหน้าเฉิงติ้งซานกดลงกับพื้นพร้อมปล่อยลำแสงทำลายล้างออกมาจากฝ่ามือจนแสงสีม่วงค่อยๆเลือนหายไป ร่างของนักพรตเฉิงสลายไปโดยที่ไม่ทันได้ตอบโต้

ซู่หยวนกงที่เห็นนักพรตเฉิงถูกฆ่าต่อหน้าต่อตา ก็ใช้วิชาตัวเบาหลบหนีไปโดยที่ไม่เหลียวหลังกลับมา

ทั้งสามประมุขที่ถูกตงซานและกองกำลังปีกแห่งแสงรั้งเอาไว้ พอเห็นซู่หยวนกงเหาะหนีไปอย่างลนลานก็ล้มเลิกแผนการทั้งหมด และดีดตัวหนีไปตามๆกัน

เย่เย่ที่แทบไม่เหลือพลังแล้ว ก็ไม่ได้ไล่ตามพวกเขาไป สั่งให้ตงซานและพรรคพวกกลับเข้าไปในอารามเพื่อฟื้นฟูพลังปราณและอาการบาดเจ็บจากการต่อสู้

“ขอรับ” ถึงแม้ว่าพวกเขาจะอยากสู้กับพวกนิกายต่อ แต่พวกเขาก็ต้องยึดถือคำสั่งของเย่เย่เป็นสำคัญจึงได้แต่กลับเข้าไปในอารามวิถีสวรรค์ด้วยความรู้สึกค้างคาใจ

เมื่อกองกำลังปีกแห่งแสงกลับเข้าไปครบจำนวน เย่เย่ก็เปลี่ยนอารามกลับเป็นแหวนและสวมไว้ที่นิ้วกลาง ก่อนมุ่งหน้ากลับไปยังหวางตู้

หนึ่งวันให้หลัง ข่าวการตายของประมุขนิกายหลักทั้งสองก็แพร่กระจายไปทั่วแผ่นดินฉางหลาง อย่างรวดเร็ว

ขั้วอำนาจใหญ่ๆในแผ่นดินฉางหลาง รวมไปถึงตัวราชวงศ์เอง พอทราบข่าวก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆออกมา ผืนแผ่นดินตกอยู่ในความเงียบสงบอย่างเป็นประวัติการณ์

หลังจากคลื่นลมสงบไปได้ไม่นาน คลื่นลูกใหม่ก็โหมกระหน่ำซัดแผ่นดินฉางหลางอีกครั้ง

นิกายสายลมราชัน ผู้ที่ไม่ได้ข้องแวะกับสงครามระหว่างสองนิกายก็ออกมาประณามการกระทำอันโหดเหี้ยมของประมุขแห่งอารามวิถีสวรรค์ ไม่เพียงแต่นิกายหลัก ทั้งราชสำนักและทัณฑ์สวรรค์ต่างก็มีความเคลื่อนไหวด้วยเช่นเดียวกัน

ผู้คนที่รอดตายจากสมรภูมิก็ปิดปากเงียบ ไม่มีใครกล้าพูดถึงเหตุการณ์ในวันนั้นอีกเลยราวกับเป็นข้อต้องห้ามร้ายแรง

สองวันจากนั้น ณ ห้องโถงนิกายสายลมราชัน จี๋เฉียนเยว่ผู้เป็นประมุขได้รวบรวมกำลังที่เหลือรอดจากสงครามเพื่อเตรียมหาทางรับมือกับประมุขแห่งอาราม

“ก่อนอื่น ข้า จี๋เฉียนเยว่ขอแสดงความเสียใจกับนิกายทั้งสอง นึกไม่ถึงว่าประมุขแห่งอารามวิถีสวรรค์จะลงมือโหดเหี้ยมได้ถึงเพียงนี้ แน่นอนว่าหนี้แค้นของประมุขทั้งสองต้องได้รับการชำระ วันนี้ข้าจึงเรียกพวกท่านมาเพื่อหารือเกี่ยวกับแผนการในการรับมือไอ้ปิศาจนั่น!” จี๋เฉียนเยว่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น พลางเหลียวมองซู่หยวนกงและสามประมุขที่รอดมาจากเงื้อมมือมัจจุราช แต่มุมปากภายหลังแขนเสื้อที่เขายกขึ้นมาป้องไว้ กลับ ชูชันขึ้นด้วยความสมเพช

เดิมทีจี๋เฉียนเยว่นั้นมีลางสังหรณ์ว่าประมุขแห่งอารามจะไม่ได้รับมือง่ายอย่างที่เขาคิด จึงปล่อยให้สองนิกายคู่แข่งไปเป็นหนูทดลอง แต่แล้วผลลัพธ์กลับเกินกว่าที่คาดคิดเอาไว้มาก ทั้ง ตู๋ไห่และเฉิงติ้งซานที่คอยคานอำนาจของเขาถูกกำจัดลงได้อย่างง่ายดาย ถึงปากจะพูดว่าจะชำระแค้นให้ทั้งสอง แต่ในใจกลับยินดีปรีดาเสียยิ่งกว่าใคร

เมื่อทั้งสองนิกายสูญเสียผู้นำ เหล่าศิษย์ก็ทยอยออกจากนิกาย ทำให้อำนาจของพวกเขาตกต่ำลงจนโดนกินรวบ แปดนิกายหลักเหลือเพียงหกนิกาย สามก๊กก็เหลือเพียงหนึ่งนั่นก็คือก๊กของนิกายสายลมราชัน

“ถึงเวลาแล้วที่ทั้งหกนิกายต้องรวมใจเป็นหนึ่ง ขืนยังมัวแต่ทะเลาะกันอยู่ จุดจบของพวกเราคงไม่ต่างจากสองนิกายเป็นแน่!” ประมุขฝูไช่ ที่อยู่ฝั่งเดียวกับจี๋เฉียนเยว่มาตั้งแต่ต้นก็พูดเสริมขึ้น เขารู้ดีว่าจี๋เฉียนเยว่นั้นต้องการรวมศูนย์อำนาจเอาไว้

ซู่หยวนกง และประมุขคนอื่นๆต่างมองหน้ากันไปมา ก่อนถอนหายใจออกมาอย่างหมดทางเลือก ต่อให้พวกเขาทั้งหมดร่วมมือกันก็ไม่อาจทัดเทียม จี๋เฉียนเยว่และฝูไช่ที่มีวรยุทธ์สูงกว่าได้

“ไม่คัดค้าน” ซู่หยวนกงเป็นคนแรกที่ก้มหัวให้กับจี๋เฉียนเยว่

“พวกเราขอสวามิภักดิ์ต่อนิกายสายลมราชัน ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปต้องพึ่งประมุขจี๋แล้ว” สามประมุขที่เหลือต่างก็โค้งคำนับกันตามๆกัน

“ฮ่าฮ่าฮ่า พวกท่านเยินยอเกินไปแล้ว” จี๋เฉียนเยว่ประสานมือตอบรับการคำนับของประมุขคนอื่นๆอย่างถ่อมตัว ก่อนผายมือเป็นสัญญาณให้ทุกคนลุกขึ้นและกลับไปยังที่นั่งของตน

“ก่อนอื่นข้าคิดว่าพวกเราควรฟื้นฟูทั้งหกนิกายที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม โดยการแบ่งทรัพยากรมาจากทั้งสองนิกายที่ล่มสลาย ไม่ทราบว่าพวกท่านมีความเห็นว่าอย่างไร?”