บทที่ 226
กระแสลม
จี๋เฉียนเยว่เผยธาตุแท้ออกมา พลางทอดสายตาไปยัง ซู่หยวนกง และประมุขคนอื่นๆ
ถึงแม้ซู่หยวนกงจะอยากคัดค้านแผนกินรวบของ จี๋เฉียนเยว่ แต่เมื่อนึกย้อนถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสงคราม เขาก็ล้มเลิกความตั้งใจลง
“ข้า ซู่หยวนกง ยอมรับข้อเสนอของท่าน” ซู่หยวนกงพูดขึ้นอย่างกระอักกระอ่วน
พอประมุขคนอื่นๆที่เหลือเห็นท่าทีออมชอมของ ซู่หยวนกง พวกเขามองหน้ากันไปมาอยู่พักหนึ่งก่อนตกลงปลงใจยอมรับข้อเสนอของจี๋เฉียนเยว่ ทั้งนิกายวิถีสวรรค์ และเมฆาสวรรค์ได้ตกอยู่ในน้ำมือของนิกายสายลมราชันเป็นที่เรียบร้อย
เมื่อแผนการลุล่วงไปได้ด้วยดี จี๋เฉียนเยว่ก็จัดงานเลี้ยงเล็กๆขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการเป็นพันธมิตรกันอย่างเป็นทางการของทั้งหกนิกาย
ในอีกด้านหนึ่ง หลังกรำศึก เย่เย่ก็ได้ส่งเหล่ากองกำลังปีกแห่งแสงกลับไปยังบ้านเกิดของตน แม้ว่าการฝึกปรือในอาราม 9 ชั้นจะได้ผลลัพธ์ดีกว่าโลกภายนอกหลายเท่าตัว แต่สามพี่น้องสกุลตงก็ได้ให้เหตุผลว่ากองกำลังปีกแห่งแสงยังขาดประสบการณ์ในการต่อสู้อยู่มากจึงทำให้วรยุทธ์ไม่ก้าวกระโดดอย่างที่คาดหวังแม้จะฝึกตนในอารามก็ตาม ดังนั้นพวกเขาจึงขอตัวลาเย่เย่ไปตามทิศทางของตนและจะกลับมารวมกลุ่มใหม่ในภายหลัง ซึ่งเย่เย่ก็เคารพการตัดสินใจและไม่ได้รั้งพวกเขาเอาไว้
ถึงแม้การร่วมมือระหว่างเย่เย่และกองกำลังปีกแห่งแสงจะเกื้อหนุนกันเป็นอย่างดี แต่เย่เย่ก็ไม่คิดที่จะปฏิบัติกับพวกเขาเยี่ยงบริวารของตน สำหรับเย่เย่แล้วการเคารพการตัดสินใจของพวกเขาคือทางเลือกที่ดีที่สุดเพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างทั้งสองฝ่าย
หลังจากร่ำลากันเสร็จสิ้น ขณะเย่เย่กำลังนั่งลงเพื่อบ่มเพาะวรยุทธ์นั้นเอง ข่าวเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของทัณฑ์สวรรค์ก็ทำให้นั่งไม่ติด ทั่วทั้งหวางตู้มีข่าวลือหนาหูว่าศิษย์ระดับสูงของทัณฑ์สวรรค์จะมาพบปะกับจักรพรรดิเหิงเพื่อหารือเกี่ยวกับประมุขแห่งอารามวิถีสวรรค์
จี๋เฉียนเยว่ผู้นำของทั้งหกนิกายหลักคนปัจจุบันเองก็ไม่นิ่งนอนใจ เตรียมออกเดินทางเพื่อเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้ด้วยเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตามการที่จี๋เฉียนเยว่ตั้งตนเป็นใหญ่ โดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากทัณฑ์สวรรค์ ทำให้ทางราชสำนักขุ่นเคืองใจอยู่ไม่น้อย นอกจากจี๋เฉียนเยว่จะต้องเข้าเฝ้าเพื่อหารือร่วมแล้ว เขายังต้องอธิบายการกระทำอันเหิมเกริมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เซี่ยงเฟ่ยหลิน จ้าวสำนักข่าวพิราบฟ้า ผู้สัมผัสได้ถึงทิศทางลมที่เปลี่ยนไปก็รีบเดินทางมายังหอการค้าหยูเย่เพื่อปรึกษาหารือกับหุ้นส่วนคนสำคัญของเขา
“จากแหล่งข่าวของสำนักข้า ตงหมิงหยู ศิษย์ระดับสูงของทัณฑ์สวรรค์ผู้มีวรยุทธ์ระดับก้าวสวรรค์กำลังเดินทางมายังหวางตู้ ข้ามีลางสังหรณ์ว่าการมาของเขาต้องทำให้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเป็นแน่ ท่านเย่พึงระวังให้ดี” เซี่ยงเฟ่ยหลินกล่าวขึ้นด้วยสีหน้ากังวลใจ เพราะก่อนหน้านี้เองหอการค้าหยูเย่ก็เคยพัวพันกับกองกำลังปีกแห่งแสง ทำให้ประมุขสำนักข่าวเกรงว่าเย่เย่และตัวเขาเองจะได้รับผลกระทบจากคลื่นลูกนี้
เย่เย่ลังเลใจอยู่พักหนึ่ง ก่อนกล่าวขอบคุณเซี่ยงเฟ่ยหลินด้วยความซาบซึ้งใจ
“ขอบคุณท่านเซี่ยงที่อุตส่าห์มาเตือนข้าถึงที่ จริงอยู่ที่ครั้งหนึ่งคนของกองกำลังปีกแห่งแสงเคยมาหาข้า แต่ด้วยเหตุผลเพียงเท่านี้ก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้ทัณฑ์สวรรค์ลงมือได้หรอก ท่านอย่าได้กังวลไปนักเลย”
แม้ว่าการข่าวของสำนักข่าวพิราบฟ้าจะยอดเยี่ยม แต่ก็ไม่อาจครอบคลุมรายละเอียดได้ทั้งหมด เนื่องจากข้อตกลงที่ห้ามสืบเรื่องของเย่เย่ ทำให้พวกเขาพลอยไม่ได้ข้อมูลของกองกำลังปีกแห่งแสงไปด้วย ในกองกำลังนอกจากเซี่ยไป่สีแล้ว สำนักข่าวพิราบฟ้าก็ไม่รู้จักคนอื่นๆอีกเลย
คำเตือนของเซี่ยงเฟ่ยหลินทำให้เย่เย่เริ่มระมัดระวังตัวมากยิ่งขึ้น เพื่อไม่ให้ถูกเปิดโปงฐานะที่แท้จริงในอนาคต
“จริงอย่างท่านว่า แต่ข้าเกรงว่าการหารือของพวกเขาจะส่งผลเสียมากกว่าผลดีน่ะสิ” เซี่ยงเฟ่ยหลินกอดอก พลางถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา
“จริงอยู่ที่มเหสีเจียงเหยียนมีความแค้นต่อข้า แต่นางเป็นเพียงสตรี ทัณฑ์สวรรค์หรือแม้แต่จักรพรรดิเหิงเองคงไม่อนุญาตให้นางมาก้าวก่ายในเรื่องนี้ มิเช่นนั้นอาจถูกผู้คนครหาเอาได้”
“ก็ไม่ใช่ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว อย่างไรซะกันไว้ก็ดีกว่าแก้” เซี่ยงเฟ่ยหลินย้ำเตือนเย่เย่ อีกหน สุดท้ายแล้วการตัดสินใจมันก็ขึ้นอยู่กับตัวเย่เย่เอง
กระนั้นเพื่อความไม่ประมาทเซี่ยงเฟ่ยหลินจึงขอระงับการเป็นหุ้นส่วนชั่วคราว เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจตามมาในภายหน้า
“ย่อมได้ เช่นนั้นข้าจะแบ่งรายได้ 30% ตามที่ตกลงกันไว้ให้ท่าน” หลังจากตรึกตรองอยู่พักหนึ่ง เย่เย่ก็ยอมรับข้อเสนอของจ้าวสำนักข่าว และนำเงินจำนวนหนึ่งออกมาส่งมอบให้ เซี่ยงเฟ่ยหลินตามสัญญา
“ท่านเย่ช่างเป็นคนรักษาคำพูดเสียจริง ข้าหมดธุระแล้วขอตัวลา” พอเห็นจำนวนเงินที่กองอยู่ตรงหน้าจ้าวสำนักข่าวก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ หลังจากได้สะสางความกังวลใจแล้ว เซี่ยงเฟ่ยหลินก็ขอตัวลากลับไป เย่เย่ก็เดินลงมาส่งเขาถึงข้างล่างด้วยตัวเอง
ครั้นเซี่ยงเฟ่ยหลินจากไปจนลับตา เย่เย่ก็พูดขึ้นกับลู่จุ้นที่กำลังง่วนอยู่กับกองเอกสาร “วันก่อนที่ข้าบอกให้เจ้าไปโฆษณาผงเบิกเนตรน่ะ จากนี้เจ้าไม่ต้องออกไปแล้ว ศิษย์แห่งทัณฑ์สวรรค์กำลังเดินทางมา พวกเราต้องเก็บตัวสักพัก” ผงเบิกเนตรคือสินค้าที่เย่เย่แลกออกมาจากระบบ เพื่อสนองความต้องการลูกค้าจากลิสต์รายชื่อของเซี่ยงเฟ่ยหลิน เดิมทีเย่เย่ตั้งใจจะขายให้นายน้อยของพรรคผาจันทร์
จากข้อมูลตามเอกสารของเซี่ยงเฟ่ยหลินกล่าวว่า นายน้อยของพรรคผาจันทร์ถูกแมลงพิษไม่ทราบชนิดต่อยเข้าที่เปลือกตา จนทำให้สูญเสียการมองเห็น
แต่หลังจากเย่เย่ได้ข่าวจากเซี่ยงเฟ่ยหลินเกี่ยวกับทัณฑ์สวรรค์ทำให้เขาต้องยืดเวลาแผนการออกไปก่อน
“ทราบแล้ว…” ลู่จุ้นรับคำสั่งด้วยความผิดหวัง
พอหมดธุระเย่เย่ก็เดินกลับไปยังห้องของตนเพื่อฝึกวรยุทธ์ต่อโดยไม่ได้ใส่ใจความรู้สึกของลูกน้อง
การร่วมมือกับสำนักข่าวพิราบฟ้าอยู่พักหนึ่งนั้นทำให้การเงินของหอการค้าหยูเย่กลับมากระเตื้องขึ้นอีกครั้ง ทำให้เย่เย่มีเงินพอที่จะแลกยาผลึกแก้วที่มีมูลค่าสูงออกมาได้หลายเม็ดเพื่อช่วยกระชับลมปราณให้เข้าร่องเข้ารอยโดยที่ไม่ต้องเสียเวลาปรับสมดุลมันด้วยตนเองทุกครั้งก่อนบ่มเพาะพลัง
เย่เย่ตั้งเป้าที่จะเลื่อนขั้นวรยุทธ์ให้ถึงจิตพิสุทธิ์ระดับสูงให้ได้โดยเร็ว เพราะเมื่อเขาสวมเกราะทมิฬจะทำให้เขามีวรยุทธ์เทียบเท่าชั้นก้าวสวรรค์ระดับสูง เพื่อรับมือการมาถึงของปรมาจารย์ทัณฑ์สวรรค์
หลังจากนั้นสามวัน ก่อนที่ตงหมิงหยูจะมาถึงวังหลวง จี๋เฉียนเยว่ก็มาเข้าเฝ้าจักรพรรดิเหิงเป็นคนแรก แม้ราชสำนักจะไม่ชอบใจเขาเท่าไรนัก แต่ก็ได้ให้การต้อนรับตามมารยาทเป็นอย่างดี
ไม่เพียงแต่องครักษ์ระดับสูง เสนาบดีต่างๆที่อยู่กันพร้อมหน้า แม้แต่เชื้อพระวงศ์เองต่างมารวมตัวกันที่โถงกลางของพระราชวัง
“ข้าน้อย จี๋เฉียนเยว่ตัวแทนจากหกนิกายหลักฉางหลาง ถวายบังคมฝ่าบาท ขอให้พระองค์มีพระชนมายุยิ่งยืนนานหมื่นปี หมื่นหมื่นปี”
หลังจากที่ทุกคนนั่งลงในที่ของตน จี๋เฉียนเยว่กลับลุกขึ้นรินเหล้าชั้นเลิศลงในจอกของจักรพรรดิเหิง ทำตัวเสมอองค์ฮ่องเต้ประหนึ่งเชื้อพระวงศ์…