บทที่ 227 โซ่ตรวนที่มองไม่เห็น

ระบบเติมเงินข้ามภพ

บทที่ 227

โซ่ตรวนที่มองไม่เห็น

ด้วยท่าทีที่ไม่ประมาณตนของจี๋เฉียนเยว่ทำให้จักรพรรดิเหิงเหลือบมองด้วยสายตาที่ไม่พอพระทัยเป็นอย่างมาก แต่ประมุขนิกายสายลมแห่งราชันนั้นไม่ได้เป็นเพียงประมุขคนหนึ่งอีกต่อไป การที่เขารวบรวมนิกายทั้งหกให้อยู่ในอาณัติของเขาได้ พลังอำนาจย่อมไม่ธรรมดา องค์ฮ่องเต้ที่คิดได้ดังนั้นจึงไม่ได้ถือสาเอาความ

“สิ่งที่ท่านจี๋ต้องการจะสื่อก็คือ อยากให้ข้าร่วมมือกับท่านและทัณฑ์สวรรค์จัดการกับประมุขแห่งอารามวิถีสวรรค์อย่างงั้นสินะ? หึ! การที่ท่านรวบรวมนิกายทั้งหกเป็นของตนนั่นท่านหมายความว่าอย่างไร!? คงไม่ใช่แค่เพื่อจัดการกับประมุขแห่งอารามเป็นแน่!” ถึงแม้จักรพรรดิเหิงจะมองข้ามท่าทีโอหังของประมุขจี๋ไปได้ มีแต่เพียงเรื่องนี้เท่านั้นที่ยังกวนใจเขาอยู่

นับตั้งแต่การก่อตั้งราชวงศ์ฉางหลาง ความบาดหมางระหว่างราชสำนักกับแปดนิกายก็ดำเนินมาเรื่อยๆอย่างไม่มีวันจบสิ้น ในช่วงผลัดเปลี่ยนราชบัลลังก์อำนาจของราชสำนักก็ตกต่ำลง ทำให้แปดนิกายที่มีกรรมสิทธิ์มากกว่าบีบบังคับให้ลงนามในสัญญาที่ว่าด้วยการเป็นเอกเทศจากราชสำนัก และเป็นทางราชสำนักที่ต้องเป็นฝ่ายขอความเห็นชอบจากแปดนิกายเสียเอง

สนธิสัญญาจากจักรพรรดิองค์ก่อนๆนี้เอง ทำให้ราชวงศ์ฉางหลางถูกตรวนที่มองไม่เห็นพันธนาการมาจวบจนปัจจุบัน สำหรับราชสำนักแล้วนี่ถือว่าเป็นความอัปยศอย่างใหญ่หลวงที่ถูกตีตรามาตั้งแต่ครั้งบรรพกาล

หลังจากที่ราชวงศ์ฉางหลางก่อร่างสร้างตัวมาได้พักหนึ่งจนถึงจุดสูงสุด พวกเขาก็ได้รวบรวมไพร่พล บริวารผู้ภักดีเพื่อปลดแอกตัวเองจากการถูกครอบงำ จนทำให้เกิดศึกสงครามไปทั่วทุกสารทิศ จนกระทั่งประมุขนิกายลำนำแห่งขุนเขาที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียจากแปดนิกายปรากฏตัวขึ้น ใช้ทั้งไม้อ่อนและไม้แข็งเข้าไกล่เกลี่ยจนศึกสงครามสงบลงไปได้พักใหญ่

ในระหว่างที่บ้านเมืองสงบสุข ทั้งราชสำนักและแปดนิกายก็ได้สั่งสมอำนาจ แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ทัณฑ์สวรรค์รู้สึกถึงภัยคุกคาม เพื่อคงไว้ซึ่งอำนาจ พวกเขาจึงคอยยุยงปลุกปั่นให้เกิดความแตกแยกอยู่เรื่อยมา

“วาจาขององค์จักรพรรดิช่างหนักแน่นยิ่งนัก ไม่ว่าท่านจะเห็นเจตนาของข้าเป็นอื่นหรือไม่ แต่ที่ข้าทำไปทั้งหมดก็เพื่อกำจัดประมุขแห่งอารามวิถีสวรรค์ ล้างแค้นให้กับนักพรตเฉิง และไต้ซือตู๋ไห่!”

จี๋เฉียนเยว่ตีหน้าเศร้า เมื่อพูดถึงทั้งสองประมุขผู้ล่วงลับราวกับว่าพวกเขาเป็นญาติสนิทมิตรสหาย

อย่างไรก็ตามจักรพรรดิเหิงไม่ได้ไร้เดียงสา เขาได้ให้คนตามสืบเรื่องระหว่างทั้งสามก๊กในแปดนิกายอยู่เนืองๆ จึงไม่ได้หลงกลประมุขจี๋แต่อย่างใด

“ในเมื่อท่านสนิทกับพวกเขาทั้งสองมากนัก ไยท่านจึงยังสงบใจอยู่ได้ มิหนำซ้ำท่านยังส่งกองกำลังไปยึดฐานที่มั่นของทั้งสองนิกายอีกด้วย เรื่องนี้ไม่ทราบว่าประมุขจี๋จะอธิบายว่าอย่างไร?”

จักรพรรดิเหิงใช้คำพูดไล่ต้อนจี๋เฉียนเยว่ แม้จะยังคงใช้คำสุภาพเพื่อให้เกียรติและไว้หน้าเขาอยู่บ้าง แต่ก็ใช่ว่าราชวงศ์จะยอมก้มหัวให้นิกายสายลมราชัน

พอองค์ฮ่องเต้พูดจบ บรรยากาศโดยรอบก็ทวีความตึงเครียดขึ้น ต่างฝ่ายต่างจ้องหน้ากันและกันโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมา จี๋เฉียนเยว่ที่ถูกต้อนจนมุมก็สืบเท้าเข้าหาจักรพรรดิเหิง พร้อมกับปลดปล่อยกระแสปราณมหาศาลออกมา

ครืนนนนนนนนนน

พลังปราณที่แผ่ซ่านไปทั่ว ก่อให้เกิดคลื่นสั่นสะเทือนหลายระลอก ทุกผู้คนที่รับรู้ถึงแรงกดดันอันหนักหน่วงนี้ต่างเพ่งสายตามายังผู้ที่เป็นต้นตอของมันด้วยความตระหนก

แม้ว่าจักรพรรดิเหิงจะมีวรยุทธ์ระดับก้าวสวรรค์ชั้นต้น จากการส่งเสริมของราชสมบัติและเครื่องบรรณาการต่างๆ แต่วรยุทธ์ของเขาก็ไม่อาจทัดเทียมจี๋เฉียนเยว่ที่บรรลุระดับก้าวสวรรค์ชั้นสูงด้วยมานะตน

จักรพรรดิเหิงที่รู้ดีว่าตนเป็นรองประมุขจี๋ในทุกๆด้าน ร่างกายก็สั่นเทาด้วยความกลัวอย่างควบคุมไม่ได้ แต่ด้วยความหยิ่งในศักดิ์ศรีในฐานะจักรพรรดิ แทนที่จะถอยหนี เขากลับฝืนเกร็งลมปราณต้านมันเอาไว้

“ท่านเหิง ท่านเคยได้ยินคำว่าปลาใหญ่กินปลาเล็กหรือไม่?” เมื่อจี๋เฉียนเยว่พูดจบก็เร่งปราณขึ้นอีกระดับ จนทำให้จักรพรรดิเหิงเริ่มหายใจไม่ออก

ทว่าทันใดนั้นเอง กระถางธูปขนาดใหญ่ก็พุ่งเข้าหา จี๋เฉียนเยว่อย่างรวดเร็ว

ฟิ้วววววววววววววววว

“ใครกัน!?” จี๋เฉียนเยว่ สะบัดมือข้างหนึ่งเพียงเล็กน้อยก็เบี่ยงวิถีของมัน เข้าชนกับกำแพงจนเกิดรอยร้าวขนาดใหญ่

หลังจากปัดกระถางธูปออกไปได้ ก็เผยให้เห็นสองจออมยุทธ์ปรากฏตัวขึ้นซัดฝ่ามือใส่จี๋เฉียนเยว่อย่างสุดแรง

ตู้มมมมมมมมมมมมม!

แรงปะทะทำให้ต่างฝ่ายต่างกระเด็นออกไปคนละทิศคนละทาง จี๋เฉียนเยว่ไถลออกไปสามสี่วา ส่วนสองราชองครักษ์ผละถอยออกไปยืนเคียงข้างองค์จักรพรรดิ

“ช่างน่าประทับใจ วรยุทธ์ของท่านจี๋ก้าวหน้าไปมาก แต่หากท่านยังคิดจะกำเริบเสิบสานอยู่อีก ล่ะก็ ราชสำนักไม่ละเว้นท่านแน่” จักรพรรดิเหิงฉวยโอกาสนี้ กดดันประมุขจี๋กลับไปด้วยวาจา

“อย่ามาขู่ข้าซะให้ยากเลย การหารือครั้งนี้ต้องมีองค์ครบทั้งสามฝ่าย หากข้าเป็นอะไรขึ้นมาท่านจะอธิบายกับทัณฑ์สวรรค์ว่ายังไง?” จี๋เฉียนเยว่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ พลางยกจอกเหล้าขึ้นจิบพอให้รู้รส

เมื่อประมุขจี๋พูดจบทั้งสองฝ่ายก็เก็บอาวุธเข้าฝัก ผ่อนคลายท่าทีลง เพียงเพราะยำเกรงอำนาจทัณฑ์สวรรค์…