มู่หรงฉีรีบวิ่งไปที่ประตูอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้า เขาผลักประตูเข้าไปแต่พบว่าประตูถูกล็อคจากด้านใน จึงถีบประตูอย่างแรง
ชั่วพริบตา ร่างของเขาก็หายเข้าไปในประตู
หลังจากนั้นไม่นาน ด้านในก็มีเสียงของมู่หรงฉีดังขึ้นอย่างร้อนรน
“จิ่นซี เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง จิ่นซี? ซูจิ่นซี เจ้าได้ยินข้าพูดหรือไม่ ซูจิ่นซี! องครักษ์… ”
ผู้ดูแลและสาวใช้ที่อยู่ในลานต่างตกตะลึง
พวกเขารับใช้อยู่ในจวนฉีอ๋องมานาน ตั้งแต่ได้พบฉีอ๋อง พวกเขาไม่เคยเห็นฉีอ๋องรีบร้อนเช่นนี้มาก่อน จึงตอบรับอย่างรวดเร็วและรีบเข้าไปห้อมล้อมห้องของซูจิ่นซี
พวกเขาเห็นเพียงมู่หรงฉีในชุดสีขาวนวลจันทร์กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น และกอดซูจิ่นซีที่หมดสติอย่างร้อนใจ
เกิดอันใดขึ้น?
ท่านหมอซูยังไม่กลับมาไม่ใช่หรือ?
เขาหมดสติอยู่ในห้องได้อย่างไร?
เขากลับมาตั้งแต่เมื่อใด?
เกิดอันใดขึ้นกันแน่?
“ยืนเหม่อทำอันใด? ยังไม่รีบไปตามหมอมาอีก! ”
“เพคะ! ”
บ่าวรับใช้ที่ยืนอยู่แถวหน้ารับคำทันที และวิ่งออกไปจากเรือนอย่างรวดเร็ว
ทว่ายังไม่ทันได้ออกจากเรือน นางก็ได้ยินเสียงเคร่งเครียดของมู่หรงฉีดังขึ้นจากทางด้านหลัง “กลับมา! ”
บ่าวรับใช้ผู้นั้นรีบหันหลังกลับไป
“ไปเชิญจงรุ่ยอันมาเร็ว! ”
“เพคะ! ”
บ่าวรับใช้ตอบรับอีกครั้ง ก่อนจะเดินออกจากประตูไป
มู่หรงฉีอุ้มซูจิ่นซีไปที่เตียงด้วยตนเอง เขาเรียกซูจิ่นซีอยู่หลายครั้ง ทว่าซูจิ่นซียังคงไร้การตอบสนองใดๆ
ไม่เพียงเท่านั้น ทั่วทั้งร่างกายของนางเดี๋ยวก็เย็น เดี๋ยวก็ร้อน ตอนที่เย็นก็เย็นเฉียบราวกับก้อนน้ำแข็ง ตอนที่ร้อนก็ร้อนรุ่มดั่งไฟสุม
ผ่านไปครู่หนึ่ง บ่าวรับใช้ที่ไปเชิญท่านหมอก็เดินนำทางชายชราผู้หนึ่งเข้ามาในห้อง
ชายชราผู้นั้นแบกหีบยามาใบหนึ่ง เขาสวมชุดสีน้ำเงิน แม้จะเก่าและซีดไปบ้าง ทว่าสะอาดและเป็นระเบียบ ด้านหลังมีเด็กชายอายุราวเจ็ดถึงเก้าขวบตามมาด้วย
เมื่อชายชราและเด็กชายผู้นั้นเดินเข้ามาก็ทำความเคารพมู่หรงฉี “กระหม่อมจงรุ่ยอัน คำนับฉีอ๋อง”
เด็กชายที่อยู่ด้านหลังก็คำนับมู่หรงฉีตามจงรุ่ยอันเช่นกัน ทั้งยังกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “กระหม่อมจงเทียนโย่ว คำนับฉีอ๋อง”
มู่หรงฉีลุกขึ้นโบกมือ “ไม่ต้องมากพิธี ยกเว้นพิธีการไร้สาระนั่นเถิด จงรุ่ยอัน เจ้ารีบมาดูอาการของเขาเถิดว่าเป็นอย่างไร? ”
จงรุ่ยอันรีบเดินไปด้านหน้าและตรวจชีพจรให้ซูจิ่นซี
ทันทีที่มือสัมผัสชีพจรที่ข้อมือของซูจิ่นซี ดวงตาของเขาพลันนิ่งขรึม “แย่แล้ว แม่นางผู้นี้ครุ่นคิดเรื่องที่อยู่ในใจมากเกินไปจนทำร้ายหัวใจตนเอง ชีวิตของนางกำลังตกอยู่ในอันตราย สวรรค์โปรดคุ้มครอง นำเข็มเงินมาให้พ่อเดี๋ยวนี้”
“ขอรับ! ”
จงเทียนโย่วนำเข็มเงินออกจากหีบยาและยื่นให้จงรุ่ยอัน
จงรุ่ยอันกำลังจะปลดเสื้อผ้าของซูจิ่นซีเพื่อฝังเข็ม ทันใดนั้นเขาก็นึกบางสิ่งขึ้นมาได้จึงหยุดมือ
“กระหม่อมจะฝังเข็มให้เขา เชิญฉีอ๋องหลีกทางไปก่อน”
แม้มู่หรงฉีจะเป็นห่วงซูจิ่นซี ทว่าทำได้เพียงเดินออกจากประตูไปชั่วคราว
เมื่อประตูห้องปิดลง เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม จงรุ่ยอันและจงเทียนโย่วจึงเปิดประตูออกมา
“จงรุ่ยอัน เขาเป็นอย่างไรบ้าง? ”
“แม่… คุณชายท่านนั้นวิตกกังวลมากเกินไปจึงส่งผลร้ายต่อหัวใจ กอปรกับที่ร่างกายปะทะความเย็นจนเป็นหวัด ทำให้หมดสติไปชั่วครู่ กระหม่อมได้ฝังเข็มรักษาหัวใจให้เขาแล้ว นอกจากนั้น กระหม่อมจะเขียนเทียบยารักษาอาการหวัดเพิ่มเติม หากดื่มยาติดต่อกันราวสองสามวัน อาการก็จะดีขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นก็ดี รีบเขียนเทียบยาเถิด! ”
“พ่ะย่ะค่ะ! ”
จงรุ่ยอันเดินไปที่โต๊ะและกางกระดาษ ขณะที่กำลังจะเขียนเทียบยา ก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ เขาเอ่ยเตือนมู่หรงฉีว่า “หลายวันมานี้ ดูเหมือนคุณชายจะเหนื่อยเกินไปจนร่างกายอ่อนแอ ดังนั้นเขาไม่อาจกังวลกับสิ่งใดมากเกินไป ไม่เช่นนั้นอาจสร้างความเสียหายต่อร่างกาย เกรงว่าคงยากที่จะฟื้นฟู”
แม้มู่หรงฉีไม่ได้ตอบรับ ทว่าเขาขมวดคิ้วแน่น แววตาเคร่งขรึมมองไปยังซูจิ่นซีที่นอนอยู่บนเตียง
ครุ่นคิดมากเกินไป?
นางครุ่นคิดสิ่งใด?
ก่อนหน้านี้ ตอนที่นางแยกจากเยี่ยโยวเหยาที่วิหารวิญญาณ เขาไม่ได้ยินอู๋จุนพูดว่านางมีความผิดปกติหรือมีความกังวลใจอันใด อย่างไรเสีย เรื่องนี้ก็ผ่านไปนานแล้ว เหตุใดนางจึงครุ่นคิดมากมายจนกลายเป็นเช่นนี้ได้?
นางมีความกังวลใจอันใด?
หรือว่า…?
มู่หรงฉีคิดพลางเดินออกไปนอกประตูด้วยใบหน้าสับสน เขากวักมือเรียกองครักษ์เงาของจวนฉีอ๋องผู้หนึ่ง องครักษ์เงาในชุดดำจึงร่อนลงมาข้างกายมู่หรงฉี
“ก่อนหน้านี้ แม่นางซูไปที่ใด? หรือมีคนนำเรื่องการอภิเษกสมรสของเยี่ยโยวเหยามาบอกนางแล้ว? ”
องครักษ์เงาโค้งคำนับ
“ก่อนหน้านี้ นอกจากไปหอโอสถสกุลจงกับหลิงเซียวจวิ้นจู่แล้ว แม่นางซูก็ไม่ได้ออกจากจวน ทั้งยังไม่ได้ไปที่อื่น ทว่าตอนอยู่ที่หอโอสถสกุลจง แม่นางซูได้พบกับคุณชายจิงเฉินสกุลจงและหนานกงหว่านเอ๋อร์ที่กลับมาจากสำนักแพทย์เทียนอี ตอนนั้นกระหม่อมและคนอื่นๆ แอบคุ้มกันแม่นางซู ไม่กล้าเข้าไปใกล้มากนัก จึงฟังได้ไม่ชัดเจนนักว่าพวกเขาพูดสิ่งใด อย่างไรก็ตาม กระหม่อมคาดเดาว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเป็นเรื่องการอภิเษกสมรสของโยวอ๋อง คุณชายจิงเฉินและหนานกงหว่านเอ๋อร์เป็นผู้บอกข่าวนี้ เนื่องจากกระหม่อมทำการตรวจสอบแล้ว พวกเขาออกจากหุบเขาเทียนอีในครั้งนี้ เพื่อไปร่วมงานอภิเษกสมรสของโยวอ๋องที่แคว้นจงหนิง ที่มาเยือนเย่หลินเพราะเป็นเพียงทางผ่าน”
มู่หรงฉีเข้าใจในทันที ดวงตาของเขาค่อยๆ หรี่ลง แววตาพลันเคร่งขรึม
ดียิ่งนัก จงจิงเฉิน หนานกงหว่านเอ๋อร์…
ผ่านไปครู่หนึ่ง ความมืดมนก็ปรากฏในแววตาของมู่หรงฉี “ข้าจำได้ว่าช่วงนี้ ฟ่งเหล่ย หนึ่งในสี่ของนักฆ่าแห่งจิ่วเทียนโหลวได้เข้ามาที่เย่หลิน มีเรื่องเช่นนี้จริงหรือไม่? ”
“กระหม่อมเพิ่งส่งคนไปตรวจสอบ เรื่องนี้เป็นความจริงพ่ะย่ะค่ะ”
“ทุ่มเงินจ้างฟ่งเหล่ยให้ไปต่อสู้กับจงจิงเฉิน ไม่ต้องถึงตาย เพียงทำให้เขาไม่อาจใช้วรยุทธ์ได้อีก”
องครักษ์เงามีท่าทีตกตะลึง
นายท่านต้องการส่งคนไปทำลายวรยุทธ์ของจงจิงเฉิน!
ด้วยความประหลาดใจ องครักษ์เงาอดหันไปมองซูจิ่นซีที่อยู่ในห้องไม่ได้
นอกจากกุ้ยเฟยในวังหลวงผู้นั้นแล้ว เขาไม่เคยเห็นนายท่านใส่ใจสตรีนางใดเช่นนี้มาก่อน แม่นางซูผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ
เมื่อเห็นว่าองครักษ์เงาไม่ตอบสนองเป็นเวลานาน มู่หรงฉีจึงพูดอย่างไม่พอใจเล็กน้อย “ทำไม? เหตุใดจึงตอบสนองช้าเช่นนี้ เบื่อที่ต้องรับใช้ข้าแล้วใช่หรือไม่? ”
องครักษ์เงาได้ยินพลันรู้สึกเย็นวาบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เขารีบตอบว่า “มิได้ มิได้! กระหม่อมสมควรตาย กระหม่อมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้! ”
หลังสิ้นเสียงพูด องครักษ์ผู้นั้นก็รีบเหาะออกไปราวกับนกอินทรี ไม่เห็นแม้แต่เงา
มู่หรงฉีเดินกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง จงรุ่ยอันจึงมอบเทียบยาให้เขา
มู่หรงฉีมองดูเทียบยาและยื่นกลับคืน “ช่วงนี้ให้บุตรชายของท่านอยู่ที่จวนฉีอ๋อง รับผิดชอบการต้มยารักษาให้คุณชายซู รอให้คุณชายซูหายดีแล้ว ข้าค่อยอนุญาตให้เขากลับไป”
“พ่ะย่ะค่ะ! ”
จงรุ่ยอันตอบรับด้วยท่าทีนอบน้อม พร้อมทั้งยื่นเทียบยาให้จงเทียนโย่วบุตรชายของตน
จงเทียนโย่วรับเทียบยามาโดยไม่ถามสิ่งใด ทำเพียงหันหลังเดินออกประตูไปจัดเตรียมยา
มู่หรงฉีเห็นสายตาของจงรุ่ยอันหันไปมองซูจิ่นซีที่อยู่ในห้อง ท่าทางของเขาราวกับต้องการพูดสิ่งใดบางอย่าง ทว่ายังคงลังเลไม่กล้าเอ่ยปาก มู่หรงฉีจึงพูดว่า “หากมีคำถามก็ถามมา! ”
จงรุ่ยอันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามอย่างระมัดระวัง “ฉีอ๋อง กระหม่อมขอบังอาจทูลถามว่าคุณชายซูเป็นผู้ใด? อยู่ในตระกูลใด? ยังมีญาติพี่น้องในครอบครัวหรือไม่? ”
แววตาของมู่หรงฉีเป็นประกาย “โอ้? ”
ดูเหมือนจงรุ่ยอันจะพยายามระงับความตื่นเต้นในใจของตน เขาสอดมืออันสั่นเทาเข้าไปในแขนเสื้อ และหยิบจี้หยกสีอ่อนเนื้อดีออกมายื่นให้มู่หรงฉี
“เมื่อครู่ ขณะที่ฝังเข็มให้คุณชายซู สิ่งนี้ได้หล่นออกมาจากเสื้อผ้าของเขา แม้กระหม่อมจะไม่ชำนาญ ก็ยังทราบว่าจี้หยกนี้เป็นของสกุลจงพวกเรา ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับคนสกุลจงแล้ว จี้หยกชิ้นนี้ยังมีความหมายไม่ธรรมดา ฉีอ๋องได้โปรดบอกความจริง คุณชายซูผู้นี้มีสถานะอย่างไรกันแน่? ”