มู่หรงฉีหันไปมองจี้หยกที่อยู่ในมือของจงรุ่ยอัน
มือของชายชราสั่นเทาเล็กน้อยด้วยความตื่นเต้นและความคาดหวังที่อยู่ภายในใจ
บนจี้หยกสลักอักษร ‘จง’ อย่างแข็งแกร่งและทรงพลัง แสดงถึงเอกลักษณ์อันพิเศษของเจ้าของจี้หยกชิ้นนี้
จงรุ่ยอันเห็นสายตาของมู่หรงฉีมองจี้หยกในมือตนโดยไม่หยิบออกไปและไม่ยื่นมือมารับ เขาจึงพลิกจี้หยกอีกครั้ง
ด้านหน้าจี้หยกสลักด้วยตัวอักษร ‘จง’ ที่แข็งแกร่งและทรงพลัง ส่วนด้านหลังจี้หยกสลักด้วยตัวอักษร ‘ซีจือ’ ทั้งสองคำเป็นลวดลายพิเศษ แม้ไม่ได้มีขนาดใหญ่เท่าตัวอักษร ‘จง’ ทว่าชัดเจนยิ่งนัก ต่อให้เป็นคนเลอะเลือน ก็ไม่อาจมองข้ามได้
จงซีจือ สามคำนี้ สำหรับผู้ที่อยู่ในแคว้นอื่นของอาณาจักรเทียนเหออาจไม่ชัดเจนนัก ทว่าคนในเมืองเย่หลินแคว้นหนานหลีกลับรู้จักและคุ้นเคยเป็นอย่างดี ราวกับเป็นเทพธิดาแห่งสวรรค์ชั้นเก้า
จงรุ่ยอันมีท่าทีตื่นเต้นมากกว่าเดิม
เขาก้มหน้าลงต่ำและพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน “ฉีอ๋องโปรดบอกความจริง หากพบเบาะแสของซีจือ สำนักแพทย์สกุลจงของกระหม่อมจะได้มีผู้สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ทั้งพวกเรายังเต็มใจทำทุกอย่างให้ฉีอ๋อง”
ทันใดนั้น สายตาของมู่หรงฉีก็เปลี่ยนจากจี้หยกเป็นจงรุ่ยอัน เขาหรี่ตาลงและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่มีความเคร่งขรึมเล็กน้อย
“จงรุ่ยอัน เจ้าช่างกล้ายิ่งนัก ข้าให้เจ้ามาตรวจอาการของสหายข้า ทว่าเจ้ากลับหยิบสิ่งของออกมาโดยพลการ ผู้ใดให้เจ้านำจี้หยกออกมา? ยังไม่รีบเก็บกลับไปให้ข้าอีก”
จงรุ่ยอันร่างกายสั่นเทา เขารีบคุกเข่าลงบนพื้น ทว่าใบหน้ากลับไม่แสดงออกถึงความหวาดกลัวแม้แต่น้อย เขาใช้สองมือยกจี้หยกขึ้นเหนือศีรษะตนเอง และมองมู่หรงฉีด้วยแววตาคาดหวัง
“ฉีอ๋อง วันนี้ต่อให้จงรุ่ยอันต้องตายที่จวนฉีอ๋องก็ไม่เสียดายชีวิต ทว่าสถานะของซีจือ… นางมีความพิเศษต่อสกุลจงของกระหม่อมจริงๆ หากฉีอ๋องไม่ยอมบอกที่มาของคุณชายซูและจี้หยกนี้ วันนี้ จงรุ่ยอันจะขอคุกเข่าอยู่ที่นี่จนตาย”
เขานำชีวิตตนเองมาข่มขู่มู่หรงฉี
มู่หรงฉีหรี่ตาลงโดยไม่พูดอันใด ทำเพียงจ้องมองใบหน้าของจงรุ่ยอัน
แม้จงรุ่ยอันจะคุกเข่า ทว่าเอวกลับตั้งตรง ไม่ทำให้ผู้คนรู้สึกต่ำต้อยแม้แต่น้อย
ไม่เพียงเท่านั้น ดวงตาของเขายังมีความตั้งใจ สีหน้ามุ่งมั่น เพียรพยายามอย่างจริงจัง ทั้งยังมีความแข็งแกร่ง ไม่เกรงกลัวต่อการเผชิญหน้ากับมู่หรงฉี ฉีอ๋องแห่งแคว้นหนานหลี ทั้งยังไม่เกรงกลัวท่าทางกดดันอันหนักหน่วงของมู่หรงฉี เขาไม่ลดเอวลง และไม่ลดทอนความมุ่งมั่นของตนเอง
ผ่านไปชั่วครู่ มู่หรงฉีไม่ได้จ้องมองอย่างขึงขังอีกต่อไป เขาพูดว่า “ดี! จงรุ่ยอัน! สำนักแพทย์สกุลจง ข้ามองไม่ผิดจริงๆ ”
ขณะที่ใบหน้าของจงรุ่ยอันเผยให้เห็นความสงสัย มู่หรงฉีก็หยิบไข่มุกที่เปล่งประกายออกมาจากแขนเสื้อและยื่นไปด้านหน้าจงรุ่ยอัน
จงรุ่ยอันมองมู่หรงฉีด้วยท่าทางสงสัยมากยิ่งขึ้น
มู่หรงฉีเลิกคิ้ว “นี่ยังไม่เข้าใจอีกหรือ? ”
จงรุ่ยอันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ไม่เข้าใจว่ามู่หรงฉีหมายความว่าอย่างไรกันแน่
มู่หรงฉีหันไปมองซูจิ่นซีที่อยู่ในห้อง
ร่างที่นอนอยู่บนเตียงซึ่งมีประตูและม่านผืนบางคั่นระหว่างกลาง กลับตั้งตรงยิ่งกว่าจงรุ่ยอันที่กำลังคุกเข่า ทั้งดวงตายังแสดงออกอย่างมุ่งมั่นยิ่งกว่าจงรุ่ยอัน
แม้ปกติแล้วนางจะตัวเล็ก ทว่านิสัยกลับดื้อรั้น ทั้งยังแข็งแกร่งห้าวหาญและเฉลียวฉลาด… เหมือนอุปนิสัยของคนสำนักแพทย์สกุลจงอย่างมาก ราวกับแกะสลักจากแม่พิมพ์เดียวกัน
มู่หรงฉีถอนสายตากลับมามองจงรุ่ยอันที่นั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าด้วยความตั้งใจ และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจังมากยิ่งขึ้น “คืนไข่มุกแห่งราชวงศ์! ”
จงรุ่ยอันตกตะลึง เขามองมู่หรงฉีด้วยแววตาคลุมเครืออย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
มู่หรงฉียกยิ้มมุมปาก พลางส่งสายตายืนยันให้จงรุ่ยอันอีกครั้ง
แววตาของจงรุ่ยอันค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นยินดี เขายกยิ้มมุมปากและร้องไห้ออกมา พลางยื่นสองมือไปรับไข่มุกจากมู่หรงฉี ก่อนจะกระแทกศีรษะลงบนอิฐเย็นเฉียบใต้ฝ่าเท้าของมู่หรงฉี ดัง ‘ตุบ’ จนหน้าผากมีเลือดไหลซึมออกมา
จากนั้นจึงลืมตาขึ้นและมองเข้าไปในห้องอย่างเชื่องช้า
ร่างของซูจิ่นซียังนอนนิ่งอยู่ตรงนั้น โดยไม่รู้ว่าด้านนอกเกิดสิ่งใดขึ้น
จงรุ่ยอันมองนาง ราวกับรอคอยความหวังมานานนับพันปี มองหาความหวังมานานนับพันปี น้ำตาพลันไหลรินจากดวงตาราวหยาดฝน
มู่หรงฉีก็หันไปมองซูจิ่นซีด้วยแววตาที่ทั้งรอคอยและสับสน ก่อนจะเดินหันหลังออกจากประตูไป
เขาเอ่ยกำชับกับผู้ดูแลและบ่าวรับใช้ที่อยู่ตรงประตูทางเข้า “ดูแลท่านหมอซูให้ดี หากมีข้อผิดพลาดอันใด ข้าจะไม่ยกโทษให้อีก”
“เพคะ! ”
ผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม จงเทียนโย่วกลับมาพร้อมโอสถ เขามอบให้บ่าวรับใช้ในเรือนนำไปต้ม
ใบหน้าของจงรุ่ยอันยังคงปรากฏความตื่นเต้น เขาบอกจงเทียนโย่วเพียงไม่กี่ประโยค กำชับให้เขาดูแลซูจิ่นซีให้ดี จากนั้นจึงแบกหีบยาไว้บนหลังและออกจากจวนฉีอ๋อง กลับไปยังสกุลจงอย่างรวดเร็ว
จงเทียนโย่วเป็นคนรู้ความจึงไม่ถามสิ่งใด ทว่าในใจกลับอดสงสัยไม่ได้ ตั้งแต่เล็กจนโต ท่านพ่อล้วนกระทำสิ่งต่างๆ ด้วยความสงบ เขาไม่เคยเห็นท่านพ่อตื่นเต้นดังเช่นวันนี้มาก่อน
จงเทียนโย่วครุ่นคิดพลางหันไปมองร่างสง่างามที่อยู่ด้านหลังผ้าม่านผืนบางนั้น
อย่างไรก็ตาม เขาออกไปเตรียมยาเพียงครู่เดียวเท่านั้น เวลาเพียงชั่วครู่ เกิดอันใดขึ้นกันแน่?
จงรุ่ยอันกลับมาที่สำนักแพทย์สกุลจง กระทั่งหีบยายังไม่ทันได้วาง ก็เดินไปที่หอพระในสวนหลังบ้านอย่างรวดเร็วราวกับสายลม
เมื่อก้าวผ่านประตูหอพระเข้ามา เขาก็ตะโกนด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า “ท่านแม่ ท่านแม่… ท่านทายดูสิว่าวันนี้ลูกไปพบผู้ใดมา? ”
ม้วนธูปกลิ่นหอมอันศักดิ์สิทธิ์ เสียงเคาะปลาไม้ดังต๊อกๆ ไม่ขาดสาย
ฮูหยินเฒ่าแห่งสำนักแพทย์สกุลจงกำลังคุกเข่าสักการะอยู่ในหอพระอย่างสงบ ในมือนับลูกประคำอยู่ตลอดเวลา ดวงตาของนางปิดลงอย่างอ่อนโยน
เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงกล่าวด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย “อย่าตะโกน จะทำให้พระพุทธตกใจ”
จงรุ่ยอันที่เพิ่งเดินเข้าประตูมาไม่สามารถระงับความตื่นเต้นในใจได้ ทว่ายังเบาเสียงลงเล็กน้อย เขาคุกเข่าลงด้านข้างฮูหยินเฒ่าด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความยินดี ก่อนจะ ยื่นแขนอันสั่นเทาออกมาเบื้องหน้าฮูหยินเฒ่าและแบมือออก
“ท่านแม่ ท่านดู นี่คือสิ่งใด? ”
คราแรก ฮูหยินเฒ่าไม่ได้ใส่ใจเท่าใดนัก นางลืมตาเพียงเล็กน้อยและมองไปที่ฝ่ามือของบุตรชาย ทว่าเมื่อมองไปแล้ว ดวงตาของนางก็เบิกโพลง จากนั้น… แววตาก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความตกตะลึง
หลังจากตกตะลึงอยู่นาง ฮูหยินเฒ่าก็เอื้อมมืออันสั่นเทาออกไปหยิบจี้หยกจากมือของจงรุ่ยอัน นางหันไปมองใบหน้าบุตรชายตนเองด้วยความตื่นเต้น “รุ่ยอัน รีบ… รีบบอกแม่ เจ้าพบจี้หยกนี้ที่ใด? ”
จงรุ่ยอันยังคงมีท่าทางยินดีอย่างที่ไม่อาจปกปิดได้ เขาแย้มยิ้มพลางประคองฮูหยินเฒ่าไปนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้าง “ท่านแม่อย่าตื่นเต้นมากเกินไป จี้หยกนี้ลูกพบบนร่างของคุณชายท่านหนึ่งที่จวนฉีอ๋อง”
คุณชายท่านหนึ่ง… ฮูหยินเฒ่าทอดสายตาออกไปไกล ราวกับกำลังครุ่นคิดถึงบางสิ่งบางอย่าง ทันใดนั้น ดวงตาของนางก็เปล่งประกาย “หรือว่า… ตอนนั้นซีจือ น้องสาวของเจ้าให้กำเนิดบุตรชาย? ”
จงรุ่ยอันแย้มยิ้มและส่ายศีรษะ “ไม่ เป็นบุตรสาว! ”
“บุตรสาว? ”