ตอนที่ 368 หมาดีไม่ขวางทาง / ตอนที่ 369 ยังถือว่ารู้ตัวเองดี

(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์

ตอนที่ 368 หมาดีไม่ขวางทาง

 

 

           เขาก้มหน้าลงประกบปากเจียงมู่เฉินโดยไม่ลังเลเลยสักนิด

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าคนคนนี้หน้าไม่อายถึงขั้นสุดแล้ว พวกเขาเลิกกันแล้ว ยังเอะอะก็มาจูบเขาไปมาอีก

 

 

           เขายื่นมือไปอยากจะผลักซือเหยี่ยน แต่จะทำอย่างไรได้ เขากดมือตัวเองไว้พอดี ออกแรงไม่ได้แต่แรกอยู่แล้ว

 

 

           ถูกเขาจูบอยู่นานสองนาน จูบจนนัยน์ตาดอกท้อคู่นี้ของเจียงมู่เฉินแดงขึ้นมา ซือเหยี่ยนถึงได้ละออกเล็กน้อย

 

 

           “นายแม่งเป็นบ้าเหรอ เอะอะก็จูบฉัน”

 

 

           ซือเหยี่ยนเอ่ยถามเสียงต่ำ “คุณเป็นแฟนของผม ผมไม่จูบคุณ แล้วจะจูบใคร”

 

 

           “นายชอบจูบใคร เกี่ยวอะไรกับฉัน” เจียงมู่เฉินคิดถึงอะไรสักอย่าง ก็พูดเสริมขึ้นมาอีก “อีกอย่าง ใครเป็นแฟนของนายกัน ทำไมหน้านายถึงหนาขนาดนี้นะ คุณชายเลิกกับนายไปตั้งนานแล้ว”

 

 

           ซือเหยี่ยนกดเขาไว้ไม่ปล่อยมือ รอเขาพล่ามจบ เสียงต่ำถึงได้เอ่ยขึ้น “ผมไม่เลิก”

 

 

           เจียงมู่เฉินหัวเราะเยาะสองเสียง “เหอะๆ สายไปแล้ว ตอนนี้คุณชายอยากเลิกกับนายแล้ว”

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเขาด้วยสีหน้าสลด “อยากเลิกจริงๆ เหรอ”

 

 

           “เลิกๆๆ ไม่เลิกจะรอข้ามปีหรือไง”

 

 

           ‘ตอนนั้นซือเหยี่ยนอยากเลิกก็เลิก ตอนนี้อยากคืนดีก็คืนดี เห็นเขาเป็นลูกพลับอ่อนที่จะบีบยังไงก็ได้เหรอ’

 

 

           แววตาซือเหยี่ยน์จมดิ่ง ปรากฏความอันตรายให้เห็น เขาจ้องมองเจียงมู่เฉินแวบหนึ่ง ก็ก้มหน้าประกบจูบเขาอีกครั้ง

 

 

           ในใจเจียงมู่เฉินอยากด่าทอ ยังไงกัน ถ้าเขาเอาแต่อยากจะเลิก เจ้าหมอนี่ก็จะเอาแต่จูบเขาแบบนี้ใช่ไหม

 

 

           เขาขยับขา ยื่นขาออกไปอยากจะเตะซือเหยี่ยน

 

 

           แต่ซือเหยี่ยนกลับแอบใช้หัวเข่าดันกันเขาเอาไว้ ขยับเขยื้อนไม่ได้

 

 

           เจียงมู่เฉินโกรธจนอยากขบกราม สุดท้ายก็ทำได้เพียงปล่อยให้เป็นไป ปล่อยให้เขาจูบตามใจ ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยจูบกัน

 

 

           ไม่รู้ว่าซือเหยี่ยนจูบไปนานเท่าไหร่ ในที่สุดก็หยุดลง

 

 

           ดวงตาสีดำขลับของเจียงมู่เฉินถลึงใส่เขา “นายมันไม่จบไม่สิ้นกันสักทีนะ”

 

 

           ซือเหยี่ยนเอ่ยเสียงต่ำ “ขอเพียงแต่คุณตกลงว่าจะไม่เลิก ผมก็จะไม่จูบคุณ”

 

 

           เจียงมู่เฉินโมโหจนจะกระอักเลือด “นายแม่งเป็นบ้าใช่ไหม ตอนนั้นคนที่อยากเลิกกับฉันก็คือนาย ตอนนี้คนที่ไม่อยากเลิกกับฉันก็คือนายอีก…

 

 

           …เรื่องความรู้สึกทั้งหมดให้นายพูดคนเดียวเหรอ”

 

 

           ซือเหยี่ยนยังคงยืนกราน “นั่นมันเมื่อก่อน ถึงยังไงตอนนี้ไม่อยากจะเลิกกับคุณก็ถูกแล้ว”

 

 

           เจียงมู่เฉินปวดหัว ถ้าไม่ใช่ว่าซือเหยี่ยนกดมือของเขาไว้จนขยับไม่ได้ เขาก็อยากเอามือขึ้นมากดที่หัวตัวเองจริงๆ แล้ว

 

 

           “เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ ฉันเคยพูดไปก่อนหน้านั้นแล้ว เลิกก็คือเลิก สำหรับฉันไม่มีตัวเลือกอื่นแล้ว”

 

 

           ซือเหยี่ยนดวงตาดำดิ่ง เห็นเขายืนกรานแน่วแน่ ก็ถอนหายใจอย่างทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายจำใจต้องปล่อยมือออกก่อน

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นเขาปล่อยมือก็ผลักเขาออก เตรียมจะเดินออกไป “หลบไป หมาดีไม่ขวางทาง”

 

 

           ซือเหยี่ยนยื่นมือไปคว้าตัวเขากลับมา เจียงมู่เฉินเดือดแล้ว “นายจะไม่จบกันสักทีใช่ไหม”

 

 

           ซือเหยี่ยนเอ่ยเสียงต่ำ “หิวไม่ใช่เหรอ ผมจะต้มบะหมี่ให้คุณ”

 

 

           “ฉันไม่หิว ใครบอกว่าฉันหิว”

 

 

           เจียงมู่เฉินเพิ่งจะพูดจบด้วยท่าทีขึงขัง เสียงท้องร้องก็ดังขึ้นมาผิดเวลา ท่ามกลางความเงียบงัน ค่อนข้างจะเลิ่กลั่กกันทีเดียว

 

 

           เจียงมู่เฉินลูบจมูกอย่างเก้ๆ กังๆ เหมือนจะเคอะเขินอยู่ไม่เบา

 

 

           นัยน์ตาซือเหยี่ยนประกายรอยยิ้ม เขาถอนหายใจเล็กน้อย “รอผมไม่กี่นาที ไม่งั้นคุณหิว แล้วกลางคืนจะนอนไม่หลับเอา”

 

 

           เจียงมู่เฉินนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ มองค้อนซือเหยี่ยนอย่างเงียบๆ

 

 

           ‘เลิกกันแล้ว นายยังมาสนใจว่าฉันหิวแล้วจะนอนได้ไหม…

 

 

           …เกี่ยวอะไรกับนายเหรอ’

 

 

           ถึงแม้ในใจจะคิดอย่างนี้ แต่เจียงมู่เฉินสุดท้ายแล้วก็ไม่ได้เดินหนีไปไหน ยังคงนั่งอย่างว่าง่ายอยู่ข้างๆ

 

 

           ซือเหยี่ยนเอามะเขือเทศกับแตงกวาในมือไปล้าง ทั้งยังหาไข่ไก่จากตู้เย็นมาได้อีกสองฟอง

 

 

           เงาร่างที่ทอดยาวภายใต้แสงไฟอบอวลไปด้วยความอ่อนโยน

 

 

           เจียงมู่เฉินมองแล้วใจก็สั่นนิดๆ รู้สึกว่าหัวใจดวงนั้นของตัวเองเหมือนจะควบคุมไม่อยู่อย่างไรอย่างนั้น ค่อยๆ ออกนอกลู่นอกทางไปหาซือเหยี่ยน

 

 

           ตั้งแต่ที่เริ่มรู้เรื่องทุกอย่างทั้งหมดนี้มา เขาก็อดไม่ได้ที่อยากจะให้อภัยซือเหยี่ยน

 

 

           เจียงมู่เฉินเอามือกดที่หัว ไม่ค่อยจะรู้แล้วว่าจะจัดการเรื่องความสัมพันธ์กับซือเหยี่ยนอย่างไรดี

 

 

           ถ้าจะถามเขาว่าชอบซือเหยี่ยนหรือเปล่า เจียงมู่เฉินรู้อย่างชัดเจน ว่าตัวเองชอบเขาอยู่แล้ว

 

 

           ต่อให้ถูกทำให้เจ็บปวดแบบนั้น ก็ยังคงชอบซือเหยี่ยนเหมือนเดิม

 

 

           แต่ถ้าคืนดีกับซือเหยี่ยนแบบนี้ ด้วยความเย่อหยิ่งทะนงตัวของเขาทำให้ทำไม่ได้อยู่แล้ว

 

 

           ซือเหยี่ยนทำแบบนี้ได้ครั้งหนึ่ง ก็จะทำเป็นครั้งที่สองได้อีกเช่นกัน

 

 

 

 

ตอนที่ 369 ยังถือว่ารู้ตัวเองดี

 

 

           เจียงมู่เอามือกดที่หัว รู้สึกชักจะปวดหัวนิดหน่อยแล้ว ไม่รู้จริงๆ ว่าจะจัดการเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับซือเหยี่ยนอย่างไรดี

 

 

           เขานั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น สับสนวุ่นวายใจอยู่ในที

 

 

           ซือเหยี่ยนต้มบะหมี่เสร็จ ก็เห็นเจียงมู่เฉินนั่งก้มหัวครุ่นคิดอยู่ตรงนั้น ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

 

 

           เขาเดินย่ำเท้าเบาๆ เข้าไป วางชามบะหมี่ลงต่อหน้าเจียงมู่เฉิน “คิดอะไรอยู่เหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินเงยหน้ามาก็เห็นซือเหยี่ยน นัยน์ตาทอประกาย ปิดบังการต่อสู้ดิ้นรนในแววตาลงไป แสร้งทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

 

           “เกี่ยวอะไรกับนาย” เจียงมู่เฉินเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์

 

 

           ซือเหยี่ยนเองก็ไม่โกรธ ส่งตะเกียบไปให้เขา “อืม กินก่อนเถอะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นท่าทีเขาเป็นกบต้มน้ำอุ่น[1] ไม่พูดอะไร ไม่อยู่ด้วยกัน ก็ชักจะโมโหแล้ว

 

 

           เขาโกรธจนกระชากเอาตะเกียบในมือของซือเหยี่ยนมา ถือไว้ในมือ แล้วลงมือกินทันที

 

 

           เจียงมู่เฉินนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น ต่อให้หิวสุดๆ แค่ไหน ก็ความเร็วในการกินบะหมี่ก็ยังข้ามากอยู่ดี

 

 

           ซือเหยี่ยนเองก็ไม่ไป นั่งลงอยู่ข้างๆ มองดูเจียงมู่เฉินกินบะหมี่

 

 

           เจียงมู่เฉินกินสองคำ ก็เงยหน้ามองซือเหยี่ยนแวบหนึ่ง “ฉันกินบะหมี่อยู่ นายอยู่ที่นี่ต่อเพื่ออะไร”

 

 

           “รอเก็บชาม”

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง ข้ออ้างห่วยเกินไปแล้วโอเคไหม

 

 

           แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้แฉข้ออ้างของซือเหยี่ยน ปล่อยให้เขานั่งอยู่ข้างๆ

 

 

           ทั้งห้องครัวเงียบเป็นเป่าสาก ถึงแม้สองคนนี้จะนั่งอยู่หน้าโต๊ะอาหาร แต่ก็ไม่มีใครพูดสักคน

 

 

           เจียงมู่เฉินก้มหน้ากินบะหมี่ ซือเหยี่ยนก็นั่งมองเขาอยู่ข้างๆ

 

 

           ผ่านไปนานพอสมควร เจียงมู่เฉินหยุดตะเกียบลงสักพัก เอ่ยถามเสียงต่ำ “นายทำแบบนี้กับซูเตอร์ ในใจไม่รู้สึกผิดบาปอะไรเลยเหรอ”

 

 

           ถึงแม้ว่าซูเตอร์คนนี้จะไม่เท่าไหร่ แต่เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าความรักความรู้สึกที่ซูเตอร์มีต่อซือเหยี่ยนกลับดูลุ่มหลงไปสักหน่อย

 

 

           ถูกคนที่ชอบจับส่งตำรวจด้วยตัวเอง คิดๆ ดูแล้วก็โหดร้ายไม่เบาจริงๆ

 

 

           ได้ยิน ‘ซูเตอร์’ ชื่อนี้ มือซือเหยี่ยนชะงักไป ก่อนที่เขาจะกำมือไว้ “เวรกรรมเป็นตัวกำหนดคนที่น่าสงสาร ตอนนั้นซูเตอร์ทำกรรมเอาไว้ ดังนั้นตอนนี้จึงทำได้เพียงรับกรรมเลวที่ตัวเองก่อ”

 

 

           อีกอย่างซูเตอร์และพรรคพวกไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีชะตากรรมเช่นนี้อยู่แล้ว

 

 

           ทำเรื่องเลวทรามก็มาก ถึงแม้ไม่ต้องให้เขาออกหน้า ก็จะมีคนอื่นทำอยู่ดี

 

 

           ดังนั้นเขาไม่มีอะไรให้น่ารู้สึกผิดบาป ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งเหล่านั้นที่ซูเตอร์ทำกับเจียงมู่เฉินยิ่งไม่น่ายกโทษให้เลยด้วยซ้ำ

 

 

           ซือเหยี่ยนถอนหายใจ ยกมือขึ้นมากุมขมับ “เฉินเฉิน ผมเคยบอกคุณก่อนหน้านี้แล้ว ว่าผมไม่ใช่คนดีอะไร ไม่ได้ใจดีมีเมตตาขนาดนั้นอยู่แล้ว”

 

 

           หัวใจเจียงมู่เฉินบีบคั้น มือที่จับตะเกียบสั่นโดยไม่ตั้งใจ

 

 

           “นายยังถือว่ารู้ตัวเองดี” เขาหัวเราะเยาะไปส่งๆ

 

 

           “ดังนั้นตอนนี้คุณก็มองออกว่าผมเป็นคนยังไงแล้ว อยากจะเกลียดผมแล้วเหรอ” ซือเหยี่ยนจงใจทดสอบหยั่งเชิง

 

 

           หลังจากเจียงมู่เฉินก้มหน้าลงกินอีกสองคำ ถึงได้วางตะเกียบลง “ซือเหยี่ยน นายคิดว่านายเป็นคนดีหรือคนเลว ฉันไม่ชัดเจนเหรอ”

 

 

           เขาพูดจบ ก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกจากห้องครัวไป

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูบะหมี่ที่เจียงมู่เฉินกินเหลือไว้ ก็ยิ้มหัวเราะอย่างจนใจ ถือชามบะหมี่เข้าหัวครัวไป

 

 

           ……

 

 

           ซังจิ่งไม่อยู่ ทั้งปราสาทเหลือเพียงซือเหยี่ยนและฟู่เหยี่ยนสองคน

 

 

           เจียงมู่เฉินเซ็ง โดนพวกเขามองอยู่ที่นี่ทั้งวัน ต่อให้ที่นี่มีวิวทิวทัศน์สวยยังไงก็อยู่ต่อไปไม่ไหวนะ

 

 

           เจียงมู่เฉินอยู่บนเกาะเล็กๆ เกาะนี้จนใกล้จะกระอักเลือดแล้ว

 

 

           ฟู่เหยี่ยนเองก็กลับไม่มีท่าทีที่อยากจะปล่อยเขาไปเลยสักนิด

 

 

           เขาอยู่บนเกาะตกปลา เล่นเกม ไม่ก็อาบแดด กลับเข้าสู่ชีวิตวัยเกษียณแล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินทำอะไรไม่ได้ คุณชายน้อยตระกูลเจียงผู้สง่าผ่าเผยมีมาดอย่างเขาหรือว่าจะต้องมาอยู่บนเกาะร้างนี้ไปตลอดชีวิต

 

 

           ไม่รู้ว่าฟู่เหยี่ยนโผล่เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “ตกลงแล้วนายยังจะกักตัวฉันไว้ที่นี่อีกนานเท่าไหร่กันแน่”

 

 

           

 

 

[1] กบต้มน้ำอุ่น มาจาก ทฤษฎีกบต้ม (The Boiled Frog Theory) ชาวไอริชชื่อ ทิชยาน เชอแมน (Tichyand Sherman คศ.1993) ทำการทดลองเพื่อเปรียบเทียบปฏิกิริยาตอบสนองของกบ โดยเอากบตัวหนึ่งใส่ลงไปในน้ำร้อน ปรากฏว่ามันรีบกระโดดหนีโดยทันทีจากน้ำร้อนทันที เลยรอดจากการถูกต้มสุก จากนั้นเขาเอากบอีกตัวหนึ่งใส่ลงไปน้ำอุณหภูมิปกติ มันก็จะเล่นอย่างสบายใจ แล้วเขาค่อยๆเพิ่มความร้อนเข้าไปทีละนิด ในตอนแรก มันก็จะปรับตัวให้เข้ากับอุณหภูมิที่ร้อนขึ้น เหมือนไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อน้ำร้อนได้ที่ แม้มันรู้สึกว่าร้อนเกินไปแล้ว แต่ ณ นาทีนั้นความร้อนที่ค่อยๆเพิ่มขึ้นมาเป็นะวลานานก็ทำให้มันหมดแรงกระโดดหนีเสียแล้ว มันกลายเป็นกบต้มในที่สุด กว่าจะรู้ตัวก็สายเสียแล้ว

 

 

สรุปก็คือกบที่จะรอดได้ต้องไวต่อความเปลี่ยนแปลง ส่วนกบที่ไม่ไวต่อความเปลี่ยนแปลงก็จะไม่รอด การทดลองนี้ให้ข้อคิดว่า เราต้องไวในการสังเกตความเปลี่ยนแปลง ประเมินแนวโน้มของความเปลี่ยนแปลง และตัดสินใจในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงนั้นในเวลาและรูปแบบที่เหมาะสม อย่าเฉื่อยชาต่อความเปลี่ยนแปลงใดๆที่เกิดขึ้น ซึ่งมักจะค่อยๆเปลี่ยนแปลงทีละเล็กละน้อย การอดทนหรือยอมทนไปได้เรื่อยๆ อาจไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดเสมอไป เพราะท้ายที่สุดก็อาจถึงจุดที่ทนไม่ไหว แต่ก็สายเกินแก้ไปแล้ว