ตอนที่ 292 โน้มน้าว / ตอนที่ 293 อดีต

เสน่ห์รักร้ายคุณบอสเพลย์บอย

ตอนที่ 292 โน้มน้าว

 

 

           คุณนายเฉียวโบกมือไปมา “จะแต่งงานอยู่แล้วก็อย่าเอาแต่หนีมาอยู่ที่นี่ เดี๋ยวคนอื่นเขาจะนินทาเอาได้ รู้หรือเปล่า?”

 

 

           “แต่ว่า…” เฉียวซือมู่กระวนกระวาย ยังไม่รู้เลยว่าสองวันที่ผ่านมาคุณแม่หายตัวไปไหน แล้วนี่ท่านจะไล่เธอกลับแล้วหรือ?

 

 

           คุณนายเฉียวหันมาเอ่ยอย่างเหนื่อยหน่าย “ดูๆๆ นี่เหรอคนกำลังจะแต่งงาน ยังทำตัวเป็นเด็กๆ อยู่เลย แม่บอกลูกก็ได้ สองวันที่ผ่านมาแม่ไปเที่ยวที่บ้านคนรู้จักมา เราเจอกันที่ซูเปอร์มาร์เก็ต แม่วิ่งไล่เขาตั้งนานกว่าจะตามทัน แถวบ้านเขาไม่มี่สัญญาณโทรศัพท์ แม่ก็เลยปิดเครื่อง เรื่องมันก็มีอยู่แค่นี้ ลูกไม่ต้องคิดมากแล้วนะ”

 

 

           “จริงเหรอคะ?” เฉียวซือมู่จ้องหน้าคุณนายเฉียวนิ่ง

 

 

           “เรื่องก็มีอยู่แค่นั้นแหละ” คุณนายเฉียวมองลูกสาวตัวเองอย่างสงบเยือกเย็น แววตาแน่วแน่ “แม่แก่แล้วนะ ไม่ใช่เด็กๆ รู้ว่าอะไรควรไม่ควร ลูกไม่ต้องเป็นห่วง เอาเวลาไปดูแลสามีกับพ่อแม่สามีดีกว่า เข้าใจหรือยัง?”

 

 

           “… ก็ได้ค่ะ”

 

 

           เฉียวซือมู่เบนสายตาไปทางอื่น ในเมื่อคุณแม่พูดขนาดนี้แล้ว เธอก็จะลองเชื่อท่านสักครั้ง… อย่างที่ท่านบอก ท่านไม่ใช่เด็กๆ แล้ว รู้ว่าอะไรควรไม่ควร

 

 

           คุณนายเฉียวแอบลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก เธอมองลูกสาวด้วยความรัก “เที่ยงนี้ออกไปซื้อของเป็นเพื่อนแม่นะ เรามาช่วยกันทำอาหารเที่ยงดีกว่า เราไม่ได้ทำอาหารด้วยกันนานมากแล้วนะ”

 

 

           “อื้ม” เฉียวซือมู่รับปากทันที

 

 

           จู่ๆ เธอก็นึกขึ้นมาได้ว่าจิ้นหยวนยังรอเธออยู่ข้างล่าง เธอหมุนตัวเดินออกจากห้อง มองลงไปยังชั้นล่าง เห็นเขานั่งคุยโทรศัพท์อยู่บนโซฟา

 

 

           เขาเป็นคนที่ยุ่งมากอยู่ตลอดเวลา เธอน่าจะรู้เรื่องนี้ดีที่สุด

 

 

           เธอหมุนตัวกลับไปบอกคุณนายเฉียว “เราออกไปซื้อของกันเถอะค่ะ หนูอยากกินไก่ฝีมือแม่มาก ไม่ได้กินนานมากแล้ว…”

 

 

           “ได้… งั้นเราไปซื้อของกัน” คุณนายเฉียวเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วเดินยิ้มแย้มออกมาจากห้องนอน สองคนแม่ลูกยืนอยู่ด้วยกัน ดูไม่เหมือนแม่ลูกสักนิด แต่เหมือนพี่น้องกันมากกว่า

 

 

           ทั้งสองเดินลงบันได จิ้นหยวนคุยโทรศัพท์เสร็จพอดี เขาได้ยินเสียงทั้งสองเดินลงบันไดมา จึงเลิกคิ้วขึ้นมองเฉียวซือมู่ “เสร็จแล้วใช่ไหม?”

 

 

           เฉียวซือมู่หน้าแดง “เสร็จแล้วค่ะ” ตอนนี้เรื่องทุกอย่างผ่านไปแล้ว เธอจึงรู้สึกผิดนิดๆ เพราะการกระทำไร้สติของตัวเอง

 

 

           จิ้นหยวนมองไปยังคุณนายเฉียว เขาทักทายเธออย่างสุภาพ “สวัสดีครับคุณป้า”

 

 

           คุณนายเฉียวรู้สึกโล่งอกที่เขาไม่ถามเธอสักคำว่าเหตุใดอยู่ดีๆ เธอจึงหายตัวไปตั้งหลายวัน อีกทั้งลูกสาวเธอกำลังจะแต่งงานกับเขาด้วย เธอจึงคิดว่าไม่ควรให้พวกเขารู้ความลับนั้นเด็ดขาด จึงเอ่ยตอบยิ้มๆ “มู่มู่บอกว่าหลายวันมานี้เธอต้องลำบากมาก ถ้างั้นเธอก็อยู่กินข้าวเที่ยงด้วยกันนะ เดี๋ยวป้าจะเข้าครัวเอง”

 

 

           เอ่ยจบแล้วดันเฉียวซือมู่ไปใกล้จิ้นหยวน “ลูกไม่ต้องไปกับแม่หรอก เดี๋ยวแม่ออกไปซื้อของเอง ลูกอยู่บ้านเป็นเพื่อนเขาเถอะ”

 

 

           จะทิ้งจิ้นหยวนให้อยู่เฝ้าบ้านคนเดียวได้อย่างไรกัน

 

 

           เฉียวซือมู่ครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วจึงตกลงตามนั้น

 

 

           หลังจากคุณนายเฉียวออกจากบ้านแล้ว จิ้นหยวนจึงรั้งตัวเฉียวซือมู่เข้าไปกอดเอาไว้ในอก ใช้นิ้วจิ้มจมูกเธอเบาๆ “ไม่เป็นห่วงแล้วเหรอ? หือ?”

 

 

           เธอถลึงตาใส่เขา “คนบ้า เยาะเย้ยฉันเหรอ ท่านเป็นคุณแม่ฉันนะ ฉันไม่เป็นห่วงท่านแล้วจะให้ใครเป็นห่วงเล่า” เอ่ยจบแล้วถอนหายใจเฮือก สีหน้าเคร่งเครียด

 

 

           เธอเห็นสายตาของจิ้นหยวนแล้วเข้าใจทันทีว่าเขาอยากถามอะไร จึงรีบอธิบาย “ฉันรู้สึกว่าคุณแม่กำลังปกปิดอะไรบางอย่างอยู่ จริงนะคะ”

 

 

           “แล้วท่านว่ายังไงบ้าง?”

 

 

           “ท่านบอกว่าไปเที่ยวบ้านเพื่อนสองวัน ที่นั่นไกลมากและไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ก็เลยใช้โทรศัพท์มือถือไม่ได้ ท่านก็เลยไม่ได้โทรบอกฉันน่ะค่ะ” เธอเอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ

 

 

 

 

ตอนที่ 293 อดีต

 

 

           จิ้นหยวนลูบคางตัวเองเบาๆ อย่างใช้ความคิด “ท่านบอกหรือเปล่าว่าบ้านเพื่อนอยู่ที่ไหน?”

 

 

           “ไม่ได้บอกค่ะ ท่าทางท่านไม่อยากพูดถึงเลยค่ะ” เธอทำแก้มพองลม

 

 

           “ถ้างั้น…” จิ้นหยวนมุ่นหัวคิ้ว เขาเองก็รู้สึกเหมือนกันว่าเรื่องนี้ต้องมีลับลมคมในแน่ แต่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะคุณแม่เธอไม่ยอมพูดอะไรเลย พวกเขาก็คงจับตัวท่านมาเค้นถามไม่ได้เหมือนกัน

 

 

           ดังนั้น เรื่องนี้จึงต้องจบเพียงเท่านี้ก่อน เฉียวซือมู่เองก็พอจะเดาออกว่าน่าจะเป็นแบบนี้จึงได้แต่ถอนหายใจอย่างปลงๆ

 

 

           คิดในแง่ดี ในเมื่อท่านกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว นั่นหมายความว่าไม่มีอันตรายอะไร อย่างมากก็แค่ไม่อยากบอกเรื่องบางอย่างให้รู้ ดังนั้น ทางที่ดีพวกเขาอย่าไปเค้นถามท่านอีกน่าจะดีกว่า

 

 

           เมื่อปลงตกแล้วจึงเลิกคิดที่จะถามอีก หลังจากคุณนายเฉียวซื้อของกลับมาแล้ว สองแม่ลูกจึงช่วยกันทำอาหารอยู่ในครัว เสียงพูดคุยหัวเราะดังเป็นระยะ บรรยากาศผ่อนคลายสนุกสนาน

 

 

           ความจริงฝีมือปลายจวักของคุณนายเฉียวไม่ได้ดีมากนัก ถ้าให้พูดตามตรงก็คือไม่ได้ดีกว่าเฉียวซือมู่ด้วยซ้ำ โชคดีที่มีเฉียวซือมู่คอยเป็นลูกมืออยู่ข้างๆ มิเช่นนั้นอาหารที่ทำออกมาจิ้นหยวนอาจจะกินไม่ได้เลย

 

 

           กระนั้น อาหารที่เธอทำออกมาก็เพียงแค่กินได้เท่านั้น ซึ่งห่างจากคำว่าอร่อยอีกไกลมาก

 

 

           เฉียวซือมู่รู้สึกผิดมาก เพราะจิ้นหยวนปั้นหน้านิ่งนั่งกินกับข้าวไหม้ๆ พวกนั้นเงียบๆ ทำให้เธอรู้สึกนับถือเขามาก

 

 

           คุณนายเฉียวยังไม่รู้สึกตัวแม้แต่นิดเดียว คะยั้นคะยอให้จิ้นหยวนกินอยู่ตลอดเวลา จนทำให้พวกเขาต้องรับประทานอาหารมากกว่าปกติ

 

 

           เฉียวซือมู่ได้แต่นั่งมองทั้งสองตาปริบๆ อย่างจนคำพูด

 

 

           หลังรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอชักเป็นห่วงจิ้นหยวนขึ้นมาตงิดๆ กลัวว่าเขาจะท้องเสีย

 

 

           เฉียวซือมู่เก็บจานชามเข้าไปในครัว คุณนายเฉียวเดินตามหลังเธอพลางชมตัวเองพลาง “ไม่ได้ทำอาหารตั้งนาน ฝีมือก็ยังไม่ตกนะเนี่ย”

 

 

           “คุณแม่ก็โม้เกินไป” เฉียวซือมู่เอ่ยอย่างเคืองๆ

 

 

           จู่ๆ เธอก็ได้ยินเสียงคุณแม่ทอดถอนใจ สีหน้าเศร้า “ลูกยังจำเรื่องที่พ่อกับแม่เข้าครัวทำอาหารให้ลูกกินได้หรือเปล่า?”

 

 

           เธอชะงักเล็กน้อย “คุณแม่ยังจำได้เหรอคะ”

 

 

           คุณนายเฉียวมองเฉียวซือมู่แวบหนึ่ง “ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะ เป็นเรื่องไม่กี่ปีก่อนนี้เอง ทุกอย่างบนโลกใบนี้เปลี่ยนแปลงรวดเร็วมากจริงๆ ทั้งๆ ที่เป็นคนที่ดีมากแท้ๆ แต่บทจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนดื้อๆ ช่าง…”

 

 

           เฉียวซือมู่ส่ายศีรษะ คิดไม่ถึงว่าคุณแม่จะคิดถึงคุณพ่อที่หายสาบสูญไปนานแล้ว “เรื่องในอดีตหนูลืมจนเกือบหมดแล้วล่ะค่ะ คนเราก็ต้องก้าวไปข้างหน้าไม่ใช่เหรอคะ”

 

 

           คุณนายเฉียวมองเธอด้วยความประหลาดใจ “นี่ลูกลืมพ่อไปแล้วจริงๆ สินะ”

 

 

           เฉียวซือมู่ยิ้มเย็น เธอไม่มีวันลืมอยู่แล้ว คุณพ่อกับผู้หญิงคนนั้นทำบริษัทล้มละลายแล้วหนีไปด้วยกัน ทิ้งหนี้มหาศาลเอาไว้ให้พวกเธอ เธอโกรธแค้นอยู่ตั้งนาน ช่วงเวลานั้นเธอรู้สึกเหมือนตัวเองตกอยู่ในนรกก็ไม่ปาน และคุณพ่อเป็นคนส่งเธอลงนรกเองกับมือ แล้วเธอจะลืมได้อย่างไร?

 

 

           เธอไม่อยากจะเอ่ยถึงช่วงเวลาแห่งความเจ็บปวดทุกข์ทรมานและการดิ้นรนพวกนั้นอีก เธอฟังออกว่าคุณแม่ตำหนิที่เธอพูดแบบนั้น เชิญคุณแม่ตำหนิได้ตามสบายเลย เพราะสำหรับเธอแล้ว คุณพ่อเป็นคนตายไปแล้ว

 

 

           แต่ทำไมอยู่ดีๆ คุณแม่ถึงเอ่ยถึงเรื่องพวกนี้ขึ้นมาล่ะ หรือว่าคุณแม่ยังตัดใจจากคุณพ่อไม่ได้?

 

 

           เธอสังเกตสีหน้าของคุณแม่อย่างละเอียด แต่กลับไม่พบความผิดปกติใดๆ เลย เธอชักไม่แน่ใจ หรือว่าเธอจะคิดมากไปเอง?

 

 

           เธอมองคุณแม่อยู่นานสองนานแต่ก็ไม่พบอะไรเป็นพิเศษ ได้แต่แอบสงสัยในใจโดยไม่กล้าเอ่ยถาม