ตอนที่ 655 ชื่อจริงของเขา
อันหลิงเกอมิรู้ว่าจะอธิบายเช่นไรดี ความรู้สึกนี้คล้ายมีแรงดึงดูดน่าประหลาดบางอย่าง
“เจ้ารู้ได้เยี่ยงไร ! ” จู่ ๆ ตู๋หยวนก็คลุ้มคลั่งขึ้นมา เขาจับไหล่ทั้งสองข้างของนางไว้แล้วเขย่าไปมา อันหลิงเกอมิเคยเห็นท่าทางเช่นนี้ของเขามาก่อนเพราะที่ผ่านมาตู๋หยวนมักอบอุ่นอ่อนโยนต่อนาง
“ตู๋หยวน ! ” อันหลิงเกอเรียกชื่อของเขาอีกครั้ง เขาจึงได้สติและปล่อยนางเป็นอิสระก่อนที่จะกุมศีรษะของตนไว้ด้วยท่าทางอ่อนล้าสับสน การที่เขาจดจำชื่อจริงขึ้นมาได้อย่างกะทันหันทำให้ความเจ็บปวดในอดีตหวนมากดทับเขาไว้เช่นกัน
หากอันหลิงเกอรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ นางคงมิเอ่ยชื่อเขาออกมาเด็ดขาด
เมื่อครู่นางเพียงต้องการหยั่งเชิงจึงพูดชื่อนั้นออกมา นางมิรู้ว่าชื่อจริงของเขาคือตู๋หยวนและมิรู้ว่าจะทำให้เขามีอาการเช่นนี้ได้
ภายในใจของตู๋หยวนเจ็บปวดเกินบรรยาย เมื่อเขาจดจำทุกอย่างได้แล้วภาพในวันที่ครอบครัวโดนฆ่าล้างตระกูลก็ฉายชัดขึ้นมาอีกครั้ง ความทรงจำที่โดนปิดผนึกเอาไว้ก็ทะลักออกมา
ตู๋หยวนกุมศีรษะไว้แน่นจากนั้นก็ทรุดตัวลง
อันหลิงเกอมิเคยเห็นท่าทางอ่อนแอเช่นนี้ของเขามาก่อน ตู๋หยวนมีท่าทางไร้ที่พึ่งพิงราวกับเด็กน้อยที่กำลังหลงทาง
อันหลิงเกอจึงทนมิไหวแล้วตัดสินใจเอ่ยออกมา ไม่ว่าเขาเชื่อหรือเปล่านางก็ต้องบอก หวังว่าเขาจะไม่จมอยู่กับความเจ็บปวดในอดีตอีก
“แท้จริงแล้วก่อนหน้านี้ข้าเคยได้ยินว่าสตรีเผ่าพิษหนอนกู่มีความสามารถในการชักจูง” คำพูดของอันหลิงเกอดึงดูดความสนใจของตู๋หยวนได้สำเร็จ เขาจึงหันมามองนางอย่างตั้งใจเพื่อรอฟังเรื่องที่นางจะเล่า
“การที่ข้ารู้ชื่อจริงของเจ้าและเห็นเรื่องราวในอดีตของเจ้า คงเพราะในร่างกายของข้ามีหนอนพิษกู่ที่มีความสามารถในการชักจูงของเผ่าพิษหนอนกู่ และข้าจึงสามารถฝันเห็นเรื่องราวของเจ้าได้” อันหลิงเกอกล่าวพร้อมถอนหายใจออกมาพลางมองตู๋หยวน เมื่อเห็นเขาไร้ปฏิกิริยาใดจึงเบาใจ
“ท่านแม่เคยบอกข้าเช่นกัน” จู่ ๆ ตู๋หยวนก็เอ่ยออกมาจนอันหลิงเกอต้องเงยหน้ามองเขาอีก มิรู้ว่าเขาคิดอันใดอยู่ แต่ตอนนี้สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
“นางเคยบอกว่าสตรีของเผ่าพิษหนอนกู่ที่สามารถชักจูงได้ ภายในร่างกายจักมีหนอนพิษกู่แฝงอยู่” เมื่อได้ยินสิ่งที่ตู๋หยวนกล่าว อันหลิงเกอก็รู้สึกใจสั่นสะท้านขึ้นมา เป็นเช่นนั้นจริงด้วย !
อันหลิงเกอถอนหายใจออกมาแล้วมองตู๋หยวนอย่างเงียบงัน
นางคิดว่าท่าทางของเขาคล้ายฟางหลิงซู่ยิ่งนัก ฟางหลิงซู่ก็เป็นห่วงเป็นใยนางเช่นนี้ หรือแม้แต่ท่าทางเสียใจก็ล้วนเหมือนกันราวกับเป็นคนเดียวกันมิปาน
ขณะที่อันหลิงเกอกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นก็ไม่รู้เลยว่าในสายตาและความรู้สึกของตู๋หยวนได้เห็นนางเป็นทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับเขาไปแล้ว แม้ในความเป็นจริงนางเป็นสตรีของมู่จวินฮาน
ตู๋หยวนเข้าใจดีว่าอันหลิงเกอมิใช่ของตนและมิใช่ของฟางหลิงซู่ด้วยเช่นกัน
อันหลิงเกอมิรู้ว่าช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ทั้งคู่สบตากัน ภายในใจของตู๋หยวนจักคิดอันใดมากมายเพียงนี้
เพราะนางเห็นเพียงความเจ็บปวดที่เขาแสดงออกมาและใจของนางก็รู้สึกเป็นทุกข์ไปด้วย มิว่าอย่างไรช่วงที่ผ่านมานางและตู๋หยวนก็ถือว่าเป็นสหายกัน
อันหลิงเกอผู้นี้แบ่งแยกความรักกับความแค้นได้อย่างชัดเจน
เห็นท่าทางเสียใจของตู๋หยวนแล้ว นางก็พลอยมิสบายใจไปด้วย นางหันไปมองฟางหลิงซู่ที่อยู่ในโลงน้ำแข็งก็อดนึกถึงความเหมือนระหว่างพวกเขาทั้งสองมิได้
เมื่อนึกถึงตรงนี้ นางก็อดเชื่อเรื่องโชคชะตามิได้ เรื่องทั้งหมดนี้ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นนาง ตู๋หยวน ฟางหลิงซู่หรือว่ามู่จวินฮานก็ล้วนมิอาจหลีกหนีโชคชะตาได้
ตู๋หยวนที่เพิ่งได้สติอีกครั้งก็หันไปมองอันหลิงเกอที่นั่งหันหลังให้ตน ภายในใจเต็มไปด้วยความสับสน
อันหลิงเกอแค่ถูกหนอนพิษกู่ในร่างกายชักจูง แต่นางสามารถช่วยเขาฟื้นความทรงจำขึ้นมาได้
ตู๋หยวนมองด้านหลังของอันหลิงเกออยู่เยี่ยงนั้นและครุ่นคิดเรื่องต่าง ๆ ในใจเพียงลำพัง แม้อันหลิงเกอมีจิตใจที่อยากแก้แค้นแต่นางถือเป็นคนเรียบง่ายคนหนึ่ง ทำให้ตอนนี้เขามิอยากหลอกใช้ความไร้เดียงสาของนางอีกต่อไป
ขณะเดียวกันอันหลิงเกอที่หันกลับมาก็สบเข้ากับดวงตาลุ่มลึกของตู๋หยวนพอดีจึงทำให้อันหลิงเกอมองด้วยความสงสัย ตู๋หยวนจึงเบนสายตาไปทางอื่น
ท่าทางเมื่อครู่ของเขาช่างดูไร้มารยาทยิ่งนักจนตู๋หยวนต้องแสร้งทำทีลูบศีรษะอย่างกระดากอาย ตอนนี้เหมือนว่าเขาจะหลุดจากห้วงความเจ็บปวดและกลับมาเป็นปกติแล้ว
เมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้นก็ทำให้อันหลิงเกอมิได้ใส่ใจสายตาเมื่อครู่ของเขาอีก พอเห็นเขาดีขึ้น นางก็เบาใจ
เพราะท่าทางเมื่อครู่ของตู๋หยวนทำให้นางกังวลยิ่งนัก แต่ตอนนี้เหมือนเขาจะกลับมามีท่าทีเป็นปกติแล้ว อันหลิงเกอจึงได้โล่งใจ
แม้รู้ว่าภายในใจของเขายังเสียใจอยู่มิน้อย แต่เขาก็ยังควบคุมตนเองและมิคลุ้มคลั่งขึ้นมาอีก
แท้จริงแล้วตัวนางเป็นธิดาเทพคนสุดท้ายของเผ่าพิษหนอนกู่ พลังเหล่านั้นก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน
ดังนั้นความสัมพันธ์ของนาง มู่จวินฮาน ฟางหลิงซู่รวมทั้งตู๋หยวนก็ล้วนถูกโชคชะตากำหนดไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
“ท่านแม่ของเจ้างดงามยิ่งนัก” อันหลิงเกอเอ่ยออกมาเรียบ ๆ จนทำให้ตู๋หยวนอดเงยหน้ามองนางมิได้ อันหลิงเกอเพียงยิ้มเล็กน้อยและตู๋หยวนเห็นก็รู้สึกราวกับว่ารอยยิ้มนี้ได้ซึมลงในหัวใจของเขาเสียแล้ว
“ใช่” มารดาของเขาเป็นสตรีที่งดงาม ตั้งแต่เกิดมานางมิเคยแปดเปื้อนความสกปรกอันใดในใต้หล้า
น่าเสียดายที่ตระกูลของเขาสูญสิ้นไปหมดแล้ว ใต้หล้านี้จึงไร้ซึ่งมารดาที่อ่อนโยนอีกแล้ว
อันหลิงเกอรู้ดีว่าภายในใจของตู๋หยวนคงเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและอยากแก้แค้นให้ตระกูลซึ่งนางเองก็เข้าใจความรู้สึกนี้ดี
แม้ผ่านไปนานเพียงใด ความแค้นนั้นหาได้เปลี่ยนแปลงไม่ มีแต่จะยิ่งทวีความรุนแรงมากกว่าเดิม
อันหลิงเกอมองตู๋หยวน ท่าทางของบุรุษผู้นี้ทำให้นางสงสารยิ่งนัก เขาช่างเหมือนกับนางตอนนี้เหลือเกิน
“ตู๋หยวน…” อันหลิงเกอเรียกชื่อของเขาเมื่อเห็นว่าเขากำลังจะจมดิ่งกับอดีตอีกครั้ง นางมิอาจทนมองได้อีกจึงเรียกชื่อเขาขึ้นมา น้ำเสียงของนางทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยอย่างมาก มิรู้เหตุใดตอนนี้ตู๋หยวนรู้สึกว่าอันหลิงเกอช่างเหมือนกับมารดาเหลือเกิน
แต่เมื่อได้สติขึ้นมาก็เห็นว่าตรงหน้าเป็นอันหลิงเกอ ดวงตาของเขาจึงเข้มขึ้น
“ต่อไปเจ้าเรียกข้าว่าอิ่งจือเหมือนเดิมเถิด” ผ่านไปเนิ่นนานจนอันหลิงเกอคิดว่าเขาคงมิกล่าวอันใดออกมาเสียแล้ว แต่เขาก็ยิ้มออกมาบาง ๆ พร้อมเอ่ยเสียงเรียบจนอันหลิงเกอตกตะลึงไปชั่วขณะ
“ตั้งแต่นี้ไปข้าก็ยังเป็นอิ่งจือดังเดิม” ประโยคที่แสนโดดเดี่ยวนี้พอออกจากปากของตู๋หยวนกลับให้ความรู้สึกเข้มแข็งอย่างบอกมิถูก
ตอนที่ตู๋หยวนกล่าวประโยคนี้ออกมาก็รู้ดีว่าถึงเวลาที่จะอำลาอดีตของตนแล้ว
“อิ่งจือ” อันหลิงเกออดสงสารเขามิได้ นางรู้ว่านับจากนี้ไปในใจของเขาต้องเต็มไปด้วยความขัดแย้ง การที่นางเล่าความฝันให้เขาฟังเช่นนี้มิรู้ว่าใช่เรื่องถูกต้องหรือไม่เพราะเขาดูเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
“ข้ามิเป็นอันใดหรอก ความหวังของตระกูลก็คือการที่ข้าได้มีชีวิตต่อไป ส่วนบัลลังก์นั้นเดิมทีมันก็เป็นของข้าอยู่แล้ว ! ” ตอนที่ตู๋หยวนเอ่ยออกมาก็ยืดตัวตรง น้ำเสียงมีความสั่นไหวเล็กน้อยและมิอาจปิดบังความปวดร้าวที่อยู่ในแววตาไว้ได้