ตอนที่ 1697 ยอดเขา วิหาร บันไดหิน

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

“เช่นนั้นผู้แซ่หานต้องขอบคุณสหายทั้งสองที่ช่วยเหลือ” หานลี่คารวะทั้งสองคน แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“แค่เรื่องเล็กน้อย ในเมื่อครานี้ทลายเขตอาคมได้แล้ว พวกเรายังต้องรีบเข้าไปตามหาสมบัติข้างใน ขอแค่พวกเราหาของที่ท่านอาจารย์และท่านอาวุโสต้วนต้องการพบ หลังจากออกไปก็คงได้ประโยชน์ไม่น้อย” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

จากนั้นนางก็เก็บธงสีเทา กลายเป็นลำแสงสีฟ้าสายหนึ่งพุ่งไปยังรูด้านล่าง

สือคุนเห็นเช่นนั้นก็ไม่กล้าเชื่องช้ากลายเป็นลำแสงสีเหลืองไล่ตามหลังไปติดๆ

หานลี่นั้นไม่ได้รีบร้อน เงยหน้าขึ้นกวาดมองรอบด้านพร้อมกับหรี่ตาลงแวบหนึ่ง เมื่อแน่ใจว่าไม่มีปัญหาอันใด ถึงได้พลิ้วกายเหาะลงไปด้านล่าง

และในยามนี้ลำแสงหลีกหนีของหลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนก็เปล่งแสงสว่างวาบ จมหายเข้าไปในรูนั้น

หานลี่บินเข้ามาในรูสีขาวนวลขนาดยักษ์ด้วยสีหน้าราบเรียบ รอบด้านมีหมอกลำแสงสีสันงดงามปรากฏขึ้น พลางม้วนวนไปบนร่างกายของมัน

เขาพลันตกตะลึง ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ ลำแสงแวววาวชั้นหนึ่งห่อหุ้มร่างของเขาเอาไว้ข้างใน

แต่ลำแสงสีสันงดงามเหล่านั้นกลับหยุดชะงัก ทันใดนั้นก็แข็งตัวกลายเป็นอักขระขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากัน จากนั้นก็วนล้อมรอบหานลี่ คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นเขตอาคมลำแสงห้าสีขนาดเล็ก

เขาอยู่ตรงใจกลางเขตอาคมลำแสงพอดี

จากนั้นเขตอาคมลำแสงพลันเปล่งเสียงหึ่งๆ ระลอกคลื่นปรากฏออกมาเป็นชั้นๆ

หานลี่เห็นเหตุการณ์เช่นนั้น พลันมีสีหน้าผ่อนคลายลง สองมือไพล่หลัง ไม่ได้มีเจตนาจะลงมือสลายลำแสงนั้น

ครู่ต่อมาเขตอาคมลำแสงก็เปล่งแสงห้าสีออกมา

หานลี่รู้สึกเพียงว่าทัศนียภาพรอบด้านเลือนราง รู้สึกวิงเวียนเล็กน้อย แล้วสลายหายไปท่ามกลางเขตอาคมลำแสง

ครู่ต่อมาเปลือกตาของหานลี่ก็ลืมตาขึ้น พบว่าตนเองอยู่ในแท่นสูงๆ ที่ไม่คุ้นเคย

แท่นสูงทั้งแท่นทำมาจากศิลาสีเขียวขนาดยักษ์ ผิวของมันมีลวดลายเล็กน้อย แต่ก็ไม่นับว่าวิจิตรงดงามอันใด ให้ความรู้สึกหยาบกระด้าง

ส่วนใต้ฝ่าเท้าของเขานั้นเป็นเขตอาคมส่งตัวเส้นผ่าศูนย์กลางสองจั้ง ไม่ไกลนักเป็นบันไดทอดตัวลงไปด้านล่าง

สายตาของหานลี่แค่กวาดไปบนเขตอาคมส่งตัวแวบหนึ่ง ทันใดนั้นก็ช้อนสายตาขึ้นมองสำรวจรอบด้านอย่างละเอียด

เขาในยามนี้ราวกับอยู่ในอีกมิติเวลาหนึ่ง กลางอากาศไม่เพียงจะมีพระอาทิตย์แขวนอยู่ ในรัศมีหมื่นลี้ยังไม่มีมวลเมฆสักก้อน เป็นสีครามเข้ม พื้นดินรอบด้านมีต้นไม้ใบหญ้าหลากชนิดเรียงรายอยู่ บางครั้งยังมีสายลมพัดมาเบาๆ พากลิ่นหอมของหมู่มวลดอกไม้โชยมา

ทว่าทุกอย่างนี้ล้วนไม่ดึงดูดความสนใจเท่าภูเขาน้อยสูงสองสามร้อยจั้งในบริเวณรอบ!

แม้ว่าภูเขาลูกนี้จะไม่สูงนัก แต่ก็ทอดตัวไปสิบลี้เศษ และยิ่งไปกว่านั้นรูปลักษณ์ของภูเขายังมีความเป็นเอกลักษณ์ ทั้งยอดเขาทั้งบนและล่างเป็นเนินสูงชันราวกับใช้มีดดาบตัดออก ตัวภูเขาเป็นสีขาวธรรมดาๆ แต่บนยอดเขากลับมีสีเงินเจิดจ้าแสบตา คาดไม่ถึงว่าจะมีวิหารยักษ์สีม่วงอยู่หลังหนึ่ง แทบจะกินพื้นที่ทั้งหมดของทั้งยอดเขา

แววตาของหานลี่เคร่งขรึมพิจารณาวิหารหลังนี้ขึ้นๆ ลงๆ แวบหนึ่ง แล้วถึงได้ถอนสายตาออกมา สายตากลับไปอยู่บนพื้นหญ้าใต้บันไดหิน

ตรงนั้นหลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนกำลังนิ่งงันอยู่ ราวกับว่ากำลังมองวิหารสีม่วงบนยอดเขาอย่างละเอียด

หานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสี ร่างกายพลิ้วไหว หมุนตัวบินลงมาจากแท่นหิน

แต่เมื่อเท้าทั้งสองข้างของเขาอยู่ห่างจากพื้นไปสองสามฉื่อ ร่างกายก็สั่นเทาร่วงลงมาบนพื้น สองเท้าอยู่ในอาณาเขตของเขตอาคม คาดไม่ถึงว่าจะเปล่งเสียงอึกทึกดังสนั่นออกมา ทำให้แท่นหินทั้งหมดสั่นคลอนไปมา

ราวกับว่าร่างกายของเขาหนักอึ้งอย่างไรอย่างนั้น

หานลี่ยกแขนขึ้นโบกสะบัดไปกลางอากาศ แต่พลันเบาหวิว ไม่ได้สัมผัสถึงความแปลกประหลาดอันใด

ใบหน้าของเขามีแววตกตะลึงฉายแวบผ่าน แต่ทันใดนั้นก็นึกอันใดได้ ผิวเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ ร่างกายลอยขึ้นอย่างช้าๆ

แต่สองเท้าเพิ่งจะอยู่ห่างจากพื้นไปไม่ถึงสองสามฉื่อ พลังมหาศาลกลุ่มหนึ่งก็กดลงบนร่างของเขาอย่างไม่มีเค้าลางมาก่อน

ร่างของหานลี่พลิ้วไหวไปเล็กน้อย ทันใดนั้นก็ทำเหมือนไม่มีอันใดเกิดขึ้น แต่สีหน้าของเขาอดที่จะเปลี่ยนสีไม่ได้

เขาไม่ได้พูดอันใด อาศัยกายเนื้อที่แข็งแกร่ง เริ่มค่อยๆ บินขึ้นมาอย่างช้าๆ เมื่อเท้าทั้งสองลอยอยู่ห่างจากพื้นมากกว่าสองฉื่อ ร่างกายก็สั่นเทาอีกครั้ง ผิวเปล่งแสงสีเขียวสว่างจ้าออกมา

แม้ว่าครั้งนี้หานลี่จะหน้าไม่เปลี่ยนสี แต่ก็อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้ จากนั้นแววตาพลันฉายแสงสีฟ้าสว่างวาบ พลางจ้องเขม็งไปบนเรือนร่างของตนเอง

เห็นเพียงภายใต้เนตรวิญญาณนั้นร่างกายของเขาถูกหมอกลำแสงสีเหลืองอ่อนรัดเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็สุดจะรู้ได้ จากอานุภาพของลำแสงวิญญาณห่อหุ้มร่างของเขา คาดไม่ถึงว่าจะไม่อาจต้านทานหมอกลำแสงนี้ได้เลยสักนิด

ยามนี้สือคุนที่อยู่ใต้แท่นหินพลันหันกลับมา และเอ่ยกับหานลี่ด้วยรอยยิ้มขมขื่น

“พี่หานท่านก็พบแล้วหรือ ดูเหมือนว่าเขตอาคมกั้นอากาศที่นี่จะไม่เหมือนกับเขตอาคมทั่วๆ ไป ทุกครั้งที่ออกห่างจากพื้นทุกๆ หนึ่งฉื่อ พลังเขตอาคมก็จะเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่า ข้าเองก็บินขึ้นได้แค่เจ็ดแปดฉื่อ แล้วก็ไม่อาจรับไหวอีก”

“ทุกครั้งที่บินสูงขึ้นไปหนึ่งฉื่อ พลังต้องห้ามก็จะเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่านั้น เขตต้องห้ามนี้ช่างบ้าคลั่งนัก หากบินห่างจากพื้นสองสามจั้งขึ้นไป เกรงว่าระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ก็คงไม่อาจรับพลังมหาศาลนี้ได้” หานลี่เอ่ยอย่างแช่มช้า จากนั้นร่างกายพลันเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ ร่อนลงมาบนพื้นอีกครั้ง

หมอกลำแสงสีเหลืองพันรัดบนร่างของเขา ชั่ววินาทีที่สองเท้าของเขาเหยียบไปบนพื้นดิน ก็สลายหายไปอย่างแปลกประหลาด

“จากกายเนื้อที่แข็งแกร่งของสหายสือ ยังบินได้แค่เจ็ดแปดฉื่อ แล้วระดับเผ่าเบื้องบนธรรมดาๆ อย่างพวกเรา เกรงว่าห่างจากพื้นดินแค่สามสี่ฉื่อก็ถึงขีดจำกัดแล้ว” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เองก็เอ่ยโดยไม่หันกลับมา

สายตาของนางยังคงไม่เลื่อนออกจากวิหารบนยอดเขาที่ไกลออกไปเลยสักนิด!

หานลี่ได้ยินคำพูดของทั้งสองคน ก็มีสีหน้าเคร่งขรึม แต่เมื่อครุ่นคิดเล็กน้อย ก็เดินออกมาจากเขตอาคมโดยไม่พูดอันใดอีก และเดินลงไปตามบันไดหิน มาถึงข้างกายของสือคุนและหลิวสุ่ยเอ๋อร์

“ดูแล้ววิหารบนยอดเขานั้นน่าจะเป็นที่ที่ใช้เก็บสมบัติสินะ สหายทั้งสองจะรออันใดอีก?” หานลี่เอ่ยถามอย่างราบเรียบ

“คาดไม่ถึงว่าที่นี่จะมีเขตอาคมอื่นด้วย แน่นอนว่าต้องระวังตัวหน่อย” ในที่สุดหลิวสุ่ยเอ๋อร์ก็หันกลับมา ถอนสายตาออก มองหานลี่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึมขณะเอ่ย

“เขตอาคมอื่นๆ ถึงจะหมายความว่าที่นี่มีสมบัติล้ำค่าอยู่จริง ทว่าในเมื่อเป็นเขตอาคมประเภทกำจัดการบิน จากหลักการแล้วน่าจะมีอันตรายไม่มาก” หานลี่เอ่ยพร้อมกับกลั้วหัวเราะ

“พี่หานเองก็รู้แค่หลักการเท่านั้น! ในเมื่อเจ้าของที่นี่อาจจะเป็นเซียนจากแดนเซียน จะคาดเดาตามหลักการได้อย่างไร” หลิวสุ่ยเอ๋อร์อดที่จะถอนหายใจออกมาเบาๆ เฮือกหนึ่งก่อนตอบกลับไปไม่ได้

“หากสหายทั้งสองไม่ลองเสี่ยงดู แค่ดูไม่แตะต้องก็ไม่มีทางได้สมบัติมา หากเป็นเช่นนั้น พวกเราจะเสี่ยงอันตรายมาที่นี่ทำไมกัน” หานลี่แววตาเปล่งประกายวาวโรจน์ แล้วเอ่ยอย่างไม่เกรงใจ

“พี่หานพูดมีเหตุผล รอบๆ นี้มีคนของเผ่าแมลงมีเขาวนเวียนไปมา พวกเราไม่อาจเสียเวลาได้” สือคุนดูเหมือนว่าจะมองไม่เห็นอันตรายอันใด กลับเอ่ยสนับสนุนหานลี่

“ในเมื่อสหายทั้งสองกล่าวเช่นนี้ เช่นนั้นน้องหญิงก็ไม่มีความคิดเห็นอื่น พวกเราไปกันเถิด” หลิวสุ่ยเอ๋อร์หน้าเปลี่ยนสีไปสองสามครั้ง สุดท้ายก็ตัดสินใจตอบตกลง

เมื่อได้ยินหลิวสุ่ยเอ๋อร์เองก็ไม่ปฏิเสธใดๆ อีก สือคุนก็หัวเราะฮ่าๆ ออกมา ฉับพลันนั้นพลันสะบัดแขนเสื้อ ชั่วขณะนั้นของสีดำสนิทก็พุ่งออกมาจากแขนเสื้อ แต่เมื่อออกจากแขนเสื้อ ก็ร่อนลงพื้นอย่างหนักอึ้งทันที

เป็นหุ่นเชิดเหล็กรูปร่างเหมือนหมาป่ายักษ์สีดำ

“คาดไม่ถึงว่าเขตอาคมของที่นี่จะมีผลต่ออาวุธเช่นกัน!” หลิวสุ่ยเอ๋อร์ร้องอุทานออกมา สีหน้าดูไม่ได้

เช่นนั้นละก็หากเผชิญหน้ากับอันตรายภายนอก นางก็ทำได้เพียงเอาลมปราณและเคล็ดวิชาลับออกมาต้านทานแล้ว

หานลี่เห็นเช่นนั้น ก็หน้าเปลี่ยนสี พลันระมัดระวังตัวขึ้นหลายส่วน

สือคุนกลับหัวเราะร่าออกมา สาวเท้ายาวๆ ไปที่ยอดเขา

เทียบกับผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาที่ไม่อาจใช้สมบัติใดๆ ได้อีก กายเนื้อของเขาย่อมกลายเป็นอาวุธสังหาร แน่นอนว่าย่อมได้เปรียบมาก

หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมาแล้วสาวเท้าตามไปติดๆ

หลิวสุ่ยเอ๋อร์กลอกตาไปมาแล้วเดินไปอย่างเงียบเชียบ

ตรงข้ามของพวกเขาเป็นหนทางไปสู่ยอดเขา มีถนนสายหนึ่งมุ่งตรงไปยังยอดเขา

ถนนสายนี้ล้วนสร้างขึ้นจากบันไดหินสีขาวกว้างสองสามจั้ง มองจากไกลๆ ดูเหมือนยอดเขารูปงูเหลือมสีขาว ทำให้ผู้คนเห็นแล้วตกตะลึง!

ทว่าแม้ว่าหานลี่และพวกทั้งสามจะไม่กล้าบินออกจากที่นี่ แต่กายเนื้อก็แข็งแกร่งกว่าคนธรรมดา และไม่ได้หวาดกลัวอันตรายใดๆ จากหนทางไปสู่ภูเขา

หลังจากที่ทั้งสามคนเหยียบไปบนบันได ก็มุ่งตรงไปยังยอดเขา

แต่สือคุนที่เป็นผู้นำกลับเหยียบไปบนบันไดขั้นแรก แล้วพลันหน้าเปลี่ยนสี

แต่ความจริงแล้วเท้าของเขายังไม่ทันได้หยุด ก็สาวเท้าขึ้นไปบนภูเขาทีละก้าวๆ แต่ความเร็วกลับเชื่องช้าลง ไม่เหมือนตอนแรก

หานลี่ที่อยู่ด้านหลังเองก็เห็นฉากนี้ ความคิดเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าย่อมรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

ทว่าเมื่อเขาเหยียบไปบนบันไดสีขาวนั้น ก็ถึงเข้าใจขึ้นมา

บนบันไดสีขาวมีแรงดูดมหาศาล ทำให้ขาทั้งสองข้างของเขาหนักอึ้งเป็นพันชั่ง ช่างกินแรงนัก

และยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเดินไปมากขึ้น ก็พบว่าบันไดหินเหล่านี้มีแรงสูบมากขึ้นทีละขั้นๆ

แม้ว่าการเพิ่มขึ้นทีละนิดระหว่างบันไดหินแต่ละครั้งจะบางเบาจนแทบไม่รู้สึก

แต่ขอแค่ขบคิดดู จากตีนเขาไปจนถึงยอดเขามีบันไดหินเป็นหมื่นขั้น ก็เพียงพอจะทำให้ผู้คนขนลุกซู่แล้ว

ทว่าโชคดีที่ขอแค่ยืนนิ่งอยู่บนบันไดหินไม่ขยับเขยื้อน พลังแรงสูบที่เกิดขึ้นก็จะค่อยๆ ลดลง แม้กระทั่งเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า ก็มีท่าทีเหมือนสลายหายไป

หานลี่ชื่นชมว่าสุดยอดในใจ แต่กลับไม่ได้สนใจสิ่งนี้เท่าใดนัก

จากกายเนื้อที่แข็งแกร่งจากการฝึกฝนเคล็ดวิชาพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์มารเที่ยงแท้ แม้แต่เผ่าศักดิ์สิทธิ์ธรรมดาๆ เกรงว่าคงไม่ดีเท่า

แม้ว่าบันไดหินเหล่านี้จะแปลกประหลาด แต่ก็มั่นใจว่าจะเดินขึ้นไปบนยอดเขาได้โดยไม่ต้องหยุดพักเลยสักนิด

ส่วนสือคุนจะเดินขึ้นไปโดยไม่ต้องหยุดพักได้หรือไม่นั้น ก็ต้องดูว่าได้ปิดบังระดับกายเนื้ออันแข็งแกร่งที่สำแดงออกมาก่อนหน้านี้ไว้หรือไม่

ส่วนหญิงสาวนามว่าหลิวสุ่ยเอ๋อร์นั้น หากไม่มีวิธีการอื่น อาศัยเพียงพลังของกายเนื้อล้วนไม่อาจเดินไปถึงวิหารได้

เมื่อขบคิดในใจเช่นนี้ หานลี่ก็เดินขึ้นไปสิบกว่าก้าวโดยไม่หยุดพักแล้ว ก็หันกลับมามองหลิวสุ่ยเอ๋อร์แวบหนึ่ง

ร่างของหญิงสาวผู้นี้หยุดอยู่บนบันไดหินขั้นที่หนึ่งไม่ขยับเขยื้อน ราวกับว่ากำลังขบคิดอันใดอยู่ แต่แววตาพลันเปล่งประกาย เผยท่าทางโกรธเกรี้ยวอย่างสุดๆ ออกมา