บทที่ 23 ฉากตอนช่วยชีวิต โดย Ink Stone_Fantasy
สีหน้ามั่วมั่วดูไม่ดีเลย
สาเหตุหนึ่งเพราะได้รับบาดเจ็บหนักยังไม่ได้รักษา อีกสาเหตุหนึ่งย่อมเป็นเพราะถูกยั่วให้โมโห
เขาย่อมไม่ใช่คนตามประสาโลกเลยจริงๆ เพียงแต่ตอนที่ได้ยินว่าเมื่อสี่สิบห้าปีก่อนเกิดเรื่องขึ้นในหมู่บ้านหลี่ว์ ก็รู้สึกเหมือนว่าจะไม่เชื่อเสียทีเดียว แต่หลังจากเขาเห็นพฤติกรรมของคนในหมู่บ้านหลี่ว์ด้วยตาของตนเองแล้ว ความไม่เชื่อนี้แปรเปลี่ยนเป็นความไม่ถูกต้องและความโกรธเดือดดาลแทน
“พวกเขาไม่ตามมาแล้ว”
มั่วมั่วมองหญิงซึ่งตื่นตระหนกจนไม่รู้จะทำอย่างไรคนนี้ เขาไม่ไปตัดสินประเมินเสน่ห์และอายุของผู้หญิงคนนี้ แค่พูดด้วยเสียงเฉยเมยว่า “คุณไม่เป็นไรนะ”
จะไม่เป็นอะไรได้ยังไงล่ะ?
หลัวอ้ายอวี้ตกใจกลัวมากจริงๆ!
เธอยังคงตึงเครียดและตื่นกลัวอยู่ ถึงแม้ว่าเธอจะได้รับการช่วยชีวิตจากเจ้าหมอนี่ แต่เวลานี้เธอกลับไม่เชื่อใจใครเช่นกัน เถ้าแก่เนี้ยซึ่งตกใจกลัวเกินพิกัดถอยหลังไปสองก้าวทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยความระแวดระวัง ถามว่า “คุณ…คุณเป็นใคร?”
“ผมชื่อมั่วมั่ว” มั่วมั่วพูดอย่างไม่ใส่ใจ “คุณคิดซะว่าผมเป็นนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวที่นี่ก็แล้วกัน ทำไมพวกเขาจะทำแบบนั้นกับคุณล่ะ?”
หลัวอ้ายอวี้ตั้งสติแล้วส่ายหน้า แต่พอเธอนึกถึงคนป่วยที่ถูกเข็นขึ้นมาบนผาฟังเสียงคลื่นพร้อมกันแล้ว ก็พอจะเข้าใจเรื่องราว พูดอย่างลืมตัวว่า “บางที บางทีคงเป็นเพราะฉันเป็นคนนอกแต่งงานเข้ามา ปกติคนในหมู่บ้านนี้ก็ไม่ค่อยต้อนรับคนนอกที่แต่งงานเข้ามาเท่าไร”
“พวกเขาโอเคกับคนนอก แต่ไม่โอเคกับคนนอกที่แต่งเข้ามา เหตุผลก็ฟังไม่ค่อยขึ้นเท่าไรเลย” มั่วมั่วส่ายหน้า
หลัวอ้ายอวี้ถอนหายใจพูดว่า “ได้ยินว่ากฎของหมู่บ้านแห่งนี้ คือไม่อนุญาตให้แต่งงานกับคนนอก ไม่ว่าจะชายหรือหญิง”
มั่วมั่วไม่คิดจะซักถามเกี่ยวกับประเพณีแบบนี้ ยิ่งประเพณีที่ไม่อาจหาเหตุผลมาอธิบายได้เขาก็เคยพบเห็นมาแล้วเช่นกัน เขาส่ายหน้าถาม “คุณอยู่ที่ไหน? ผมพาคุณกลับไปส่งก่อนแล้วกัน เรื่องนี้ค่อยลองคิดหาวิธีกันอีกที”
หลัวอ้ายอวี้ตกใจทันที “ฉันไม่กลับ! ถ้าฉันกลับไปล่ะก็ พวกเขาจะต้องกลับมาจับฉันอีกแน่นอน…ไม่ได้ ฉันต้องไปจากที่แห่งนี้!”
มั่วมั่วมองท่าทางของหลัวอ้ายอวี้ พูดอย่างเย็นชา “แม้ว่าคุณจะหนีไป คุณก็ต้องกลับไปเก็บของก่อนไม่ใช่? ท่าทางแบบนี้คุณจะไปได้ไกลแค่ไหนกัน?”
หลัวอ้ายอวี้ตะลึงงัน สิ่งที่คนไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าพูดมาก็มีเหตุผล
เพียงแต่หลังจากเคยเจอเรื่องแบบนี้มาแล้ว เธอกลับไม่อาจไว้ใจคนอื่นได้อีก โดยเฉพาะตอนที่เจ้าหมอนี่ช่วยชีวิตเธอไว้ ต่อสู้เก่งเกินไปแล้วจริงๆ!
อย่างกับดาราหนังแอ็กชันในละครเลย ถ้าไม่เห็นเองกับตา เธอคงไม่เชื่อว่านอกจอจะมีคนต่อสู้แบบนี้ได้จริงๆ
แต่ว่า…เจ้าหัวทองนี่ ดูแล้วก็ไม่เหมือนคนดีอะไรเลย!
“งั้น งั้นก็ได้” หลัวอ้ายอวี้กัดฟัน คิดอยู่ว่าเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดคงไม่มีอะไรเกินกว่าเหตุการณ์เมื่อครู่แล้ว คิดอยู่ว่าเจ้าหมอนี่เพิ่งเสี่ยงตายช่วยชีวิตเธอไว้ ถึงแม้จะเป็นคนเลวก็ไม่ใช่คนเลวร้ายมากนัก
“ฉันพักอยู่บ้านพักตากอากาศบนไหล่เขาน่ะ”
มั่วมั่วนิ่งตะลึง แล้วขมวดคิ้วมุ่น
บ้านพักตากอากาศบนไหล่เขา นั่นไม่ใช่ที่พักชั่วคราวของ ‘รุ่นพี่’ คนนั้นเหรอ?
ไป หรือไม่ไปดี?
…
…
คนทั้งสองฝ่าย อาเป่ากงเป็นผู้นำคนอีกฝ่ายหนึ่ง อู๋ชิวสุ่ยเป็นผู้นำชาวบ้านฝั่งคนหนุ่มสาวอีกกลุ่มหนึ่ง
ทั้งหมดเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน แต่ในที่แห่งนี้กลับเกิดสถานการณ์ที่ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่กัน
“พวกคุณไม่สนใจกฎหมายเลยจริงๆ ใช่ไหม? ผมบอกให้พวกคุณกลับไป! รอถนนเปิดผ่านไปได้แล้ว จะส่งไปโรงพยาบาลที่อุปกรณ์ดีพร้อม คนป่วยก็จะรักษาได้หมด! นี่ไม่ใช่คำสาปอะไร! พวกคุณต้องเชื่อหลักวิทยาศาสตร์!” อู๋ชิวสุ่ยพูดเสียงดัง “ช่วงนั้นเกิดเรื่องน่าเศร้าสลดในหมู่บ้านของพวกคุณ หรือว่าพวกคุณยังอยากให้เกิดขึ้นซ้ำสองเหรอ?”
“พูดหมาๆ! วิทยาศาสตร์อะไร! ไม่ใช่คำสาปอะไรกัน?!” อาเป่ากงแก่มากแล้ว แต่นิสัยบุคลิกกลับไม่ได้แพ้อู๋ชิวสิ่วเลยสักนิดเดียว “เธอบอกฉันสิ! ไม่ใช่คำสาป แล้วนี่มันโรคอะไร? หวัดงั้นเหรอ? เป็นไข้งั้นเหรอ? หรือว่าเป็นโรคอีสุกอีใส? โรคอะไรที่ทำให้ผู้คนกลายเป็นแบบนี้ไปได้!”
อู๋ชิวสุ่ยพูดด้วยความโมโหว่า “โลกกว้างใหญ่ขนาดนี้ มีโรคที่พวกคุณไม่เคยเห็นมันน่าแปลกตรงไหน? ที่สำคัญคือหาสาเหตุการเกิดโรคที่ชัดเจน แล้วก็รักษา! แต่ไม่ใช่ไปเชื่อเทพเจ้าเพ้อเจ้ออะไรนั่น!”
อาเป่ากงทำเสียงหัวเราะเยาะในลำคอพูดว่า “งั้นคุณบอกผมมา ทำไมถนนเส้นที่ออกจากหมู่บ้านถึงถูกตัดขาด? ทำไมเรือถึงพัง? ยังมีอีกทำไมหน้าผาถึงถล่มอีกครั้ง แล้วยังเป็นวันเดียวกันอีก! คุณอย่าบอกผมนะว่าเป็นเรื่องบังเอิญ!”
“เรื่องพวกนี้พวกเราจะตรวจสอบให้ชัดเจน แต่พวกคุณต้องให้เวลาผมหน่อย!” อู๋ชิวสุ่ยพูดด้วยท่าทีแข็งกร้าวไม่ยอมอ่อนให้ “แต่ผมไม่อนุญาตให้พวกคุณก่อความวุ่นวายต่อไป! ตอนนี้ผมขอสั่งให้กลับไปให้หมด!”
อาเป่ากงเคาะไม้เท้างอๆ ในมือแรงๆ ครั้งหนึ่งแล้วพูดว่า “วันนี้ ไม่ว่ายังไงจะต้องนำตัวผู้หญิงคนนั้นไปเซ่นไหว้เทพเจ้าทะเลให้ได้ หมู่บ้านพวกเราถึงจะมีโอกาสรอด! เลขาอู๋ อู๋ชิวสุ่ย! คุณหลบไป! ปกติพวกเราเคารพคุณว่าเป็นเลขา ยังให้เกียรติไว้หน้าคุณ แต่นี่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของพวกเราทั้งหมู่บ้าน เป็นเรื่องของพวกเรา ไม่ต้องให้คนนอกอย่างคุณมาชี้นิ้วสั่งเอาสั่งเอา!”
“คุณ!”
อู๋ชิวสุ่ยเกือบจะพุ่งเข้าไปตบคนแก่คนนี้สักฉาด ช่างเป็นไม้แก่ดัดยากจริงๆ เลย ดื้อรั้นไม่ยอมฟังเหตุผล
“คนที่คุณหาไม่ได้อยู่ข้างใน” อู๋ชิวสุ่ยสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เฮือกหนึ่งพูดว่า “ผมบอกให้พวกคุณกลับไปให้หมด! บ้านพักตากอากาศแห่งนี้ มีแค่เด็กและนักท่องเที่ยวไม่กี่คน! ที่นี่เป็นที่ส่วนบุคคล ไม่อนุญาตให้พวกคุณมาก่อความวุ่นวาย”
อาเป่ากงทำเสียงหัวเราะเยาะในลำคอบอก “ผมจะเชื่อคุณได้ยังไง คุณมีเจตนาปกป้องผู้หญิงคนนี้ คนอยู่ข้างในก็ย่อมต้องบอกว่าไม่อยู่อยู่แล้ว! แม้แต่เจ้าหมอนั่นที่มาจัดการคนของพวกเราจนบาดเจ็บ ก็อาจเป็นคนที่คุณสั่งมา!”
“คนนั้นผมก็ไม่รู้จักเหมือนกัน คุณอย่าพูดซี้ซั้ว!” อู๋ชิวสุ่ยถลึงตาบอก
ใบหน้านี้ที่จ้องเขม็งด้วยความโกรธ ทำให้หัวใจของอาเป่ากงเต้นแรงทันที แต่เขาขบกราม พูดเสียงแข็งกร้าวว่า “ฉันสั่งให้ค้น! เข้าไปค้น! ค้นเอาตัวคนออกมา!”
ชายชราคนนี้ใช้บารมีและชื่อเสียงที่เพาะบ่มมาในหมู่บ้านหลายสิบปีปลุกระดมคนเก่าแก่ที่อยู่ข้างหลัง อู๋ชิวสุ่ยได้แต่พูดอย่างจนใจ “ขวางไว้! ไม่อนุญาตให้คนพวกนี้เข้าไป! เป็นคนทำอะไรต้องรู้จักขอบเขตเสียบ้าง! อาเป่ากง คุณจะให้คนหนุ่มสาวกลุ่มนี้ปะทะกับผู้หลักผู้ใหญ่ของพวกเขาจริงๆ งั้นเหรอ?”
อาเป่ากงหัวเราะเยาะในลำคอพูดว่า “คุณก็รู้อยู่เหรอว่าพวกเราเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของเด็กรุ่นหลังพวกนี้น่ะ? แล้วคุณยังให้พวกเขามาเป็นศัตรูพวกเราอีกเหรอ? พวกเธอคิดจะลงมือกับพวกฉันจริงๆ เหรอ? เด็กน้อยพวกนี้อย่างพวกเธอนี่! ครดูแลพวกเธอมาจนโต? หลีกไป!”
ชาวบ้านวัยรุ่นหนุ่มสาวที่อยู่ด้านหลังอู๋ชิวสุ่ยเริ่มลังเล…ที่เผชิญหน้านี้ มีผู้หลักผู้ใหญ่ของพวกเขาอยู่ไม่น้อยเลยจริงๆ
พอเห็นพวกคนหนุ่มสาวพวกนี้เริ่มลังเล อาเป่ากงก็โบกไม้เท้างอๆ ในมือพูดว่า “เข้าไป ค้น!”
“แม่งเอ๊ย!! ฉันทนคนแก่ตายยากอย่างพวกคุณมานานมากพอแล้วเหมือนกัน!”
แล้วในตอนนั้นเอง รองบรรณาธิการเริ่นที่ไปเอาจอบเสียมด้ามหนึ่งมาจากไหนไม่รู้ก็พุ่งตัวออกไป เอาจอบเสียมกระแทกบนพื้น “พวกคุณนี่ไม่รู้จักแยกแยะดีชั่ว พวกคนแก่ตายยากงี่เง่าเต่าตุ่นที่เอาแต่พูดเรื่องผีสาง แน่จริงก็เข้ามาเลย! มารังแกคนแก่และเด็กสาวที่นี่เลย! ฉันจะคอยดูว่าพวกคุณเป็นลูกผู้ชายหรือเปล่า! มาสิ! ฉันจะฟาดให้ทีละคนเลย!”
“อย่า อย่าสนใจผู้หญิงคนนี้! บุกเข้าไป!” อาเป่ากงใช้เสียงสูงแหลม!
ชาวบ้านผู้ใหญ่ที่อยู่ข้างหลังย่อมไม่กลัวผู้หญิงคนเดียว จึงพากันบุกเข้าไปข้างหน้าทีละคน นึกไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้จะกล้าหาญเสียจริง หยิบจอบเสียมขึ้นมาโบกกวัดแกว่งไปมา ทำเอาผู้คนไม่กล้าเข้าไปใกล้
“บุกพร้อมกัน! หาคนไม่เจอ พวกเราจะต้องโดนคำสาปจนตาย!” อาเป่ากงยังปลุกระดมอีก
คนจำนวนมากบุกมาข้างหน้าโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น บีบบังคับให้เริ่นจื่อหลิงถอยหลังไปทีละก้าวทีละก้าว
“พวกคุณอย่ามาก่อความวุ่นวาย!” อู๋ชิวสุ่ยทนดูต่อไปไม่ได้แล้ว ยืดอกออกมาต่อสู้อย่างกล้าหาญ มุ่งไปจับตัวชาวบ้านคนหนึ่ง แต่กลับถูกคนใจเด็ดผลักให้ไปล้มกองกับพื้น
“เลขา!”
เสี่ยวตู้ตกใจรีบพุ่งมาข้างหน้า กลับถูกคนคลุ้มคลั่งกลุ่มนั้นจับตัวไว้ แต่ชาวบ้านหนุ่มสาวพวกนั้นสามสี่คนได้เข้ามาห้ามไว้ทันที บางคนลังเลสับสน บางคนหลบซ่อนอยู่ข้างๆ
แต่คนกลุ่มใหญ่ก็พุ่งเข้ามาแล้ว สถานการณ์ตอนนี้วุ่นวายอย่างไม่อาจหาที่เปรียบได้
ตอนที่เริ่นจื่อหลิงเริ่มต้านไว้ไม่อยู่แล้ว ในชั่ววินาทีนั้นเอง เสียงดังเสียงหนึ่งดังก็เข้ามาจากประตูทางเข้าด้านนอกบ้านพักตากอากาศ
และสิ่งที่ตามมายังมีเสียงทุ้มต่ำ “ผมสั่งให้ทุกคนหยุด! ไม่มีใครเคารพกฎหมายแล้วใช่ไหม? เชื่อไหมว่าผมยิงพวกคุณได้ด้วยนัดเดียว!!”
หลังจากเสียงคำรามดังลั่นนี้ ก็ตามมาด้วยเสียงปืนดังสนั่นติดต่อกันอีกสองนัด
พวกชาวบ้านพวกนั้นพากันตื่นตกใจ หนุ่มวัยกลางคนไว้หนวดน้อยๆ ท้วมหน่อยๆ คนหนึ่งยืนอยู่ข้างหลัง กำลังชูปืนกระบอกหนึ่งชี้ขึ้นฟ้า
ที่ตามมาติดๆ ด้านหลังชายหนุ่มวัยกลางคนนี้ คือชายหนุ่มสามนาย…ที่สวมอยู่คือเครื่องแบบตำรวจ จ่อกระบอกปืนไปที่ชาวบ้านเหล่านั้น
“ผมสั่งให้ทิ้งอาวุธในมือไปซะ! ไปยืนอยู่อีกข้างหนึ่ง!”
ชายวัยกลางคนพูดอย่างดุดันเด็ดขาด “ไม่อย่างนั้นผมจะให้พวกคุณได้รู้สักหน่อยว่า การขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ผลยังไง!”
…
“นายตำรวจท่านนี้! ขอบคุณคุณมากๆ เลย! คุณมาได้ยังไง?”
อู๋ชิวสุ่ยกลับมาสงบเยือกเย็นดังเดิมแล้ว รีบเดินมาตรงหน้านายตำรวจวัยกลางคนผู้นี้ เอ่ยถามอย่างสงสัยใคร่รู้ นึกไม่ถึงว่านายตำรวจวัยกลางคนกลับไม่ตอบคำถาม แล้วก็หันเดินไปทางเริ่นจื่อหลิงทันที
รองบรรณาธิการเริ่นซึ่งมือข้างหนึ่งถือจอบเสียมค้ำพยุงตัวไว้ มือข้างหนึ่งเท้าสะเอวไว้ พลันอ้าปากกว้างหอบหายใจแฮ่กๆ จ้องนายตำรวจวัยกลางคนนี้แวบหนึ่ง
นายตำรวจหนุ่มวัยกลางคนพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยนทันทีว่า “นั่นน่ะ…ผมว่าพี่สะใภ้ ครั้งหน้าคุณอย่าทำตัวห้าวหาญแบบนี้ได้หรือเปล่า?”
“ครั้งหน้านายมาให้เร็วกว่านี้หน่อยได้ไหม?” เริ่นจื่อหลิงไม่ได้พูดเสียงนุ่มนวลว่า “ถ้านายมาช้าอีกนิดนะ ฉันคงถูกคนพวกนี้ระเบิดสมองไปแล้ว!”
นายตำรวจวัยกลางคนทำหน้าเศร้าบอก “สวรรค์เมตตาไง! เมื่อคืนผมได้รับโทรศัพท์ของพี่ปุ๊บก็รีบตะบึงมาเลย พี่นึกว่าการระดมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นเรื่องง่ายเหรอ? ผมนี่รีบมาจนต้องยืมเฮลิคอปเตอร์เขามาอีกนะ ยังไม่ผ่านลำดับขั้นตอนกระบวนการเลย กลับไปคงต้องถูกด่าเละอีกนะเนี่ย จะว่าไปที่บ้าๆ นี่ ผมหาที่ลงจอดได้ก็นับว่าเก่งแล้วล่ะ! นี่ยังถือว่าไม่รีบมาอีกเหรอ…อย่าโกรธเลยนะ อย่าโกรธเลย”
เริ่นจื่อหลิงโยนจอบเสียมในมือทิ้งไป ยังคงหอบแฮ่กๆ อยู่ “ให้ฉันดื่มน้ำสักอึกก่อน…”
…
“พี่เริ่น น้ำค่ะ!”
หลีจื่อวิ่งไปเอาน้ำดื่มมาขวดหนึ่ง หลังจากนั้นก็ถามเสียงเบาว่า “พี่เริ่น ท่านนี้ก็คือเซอร์หม่าเหรอคะ? เขามาได้ยังไง?”
เริ่นจื่อหลิงดื่มน้ำไปอึกหนึ่งแล้วพูดอย่างสดชื่นว่า “เมื่อวานฉันคิดว่าหมู่บ้านนี้มันแปลกๆ ทั้งเกิดโรคทั้งถนนถูกตัดขาดอะไรแบบนี้ แน่นอนว่าต้องหาทหารกู้ภัยไง! เธอไม่ได้ยินลูกชายที่ว่านอนสอนง่ายคนนั้นของฉันบอกเหรอ ว่านี่ไม่ใช่ถิ่นของเราอย่าบุ่มบ่าม? งั้นก็ได้ ฉันก็เอาเหตุการณ์เฉพาะหน้านี้เปลี่ยนเป็นถิ่นของเราซะเลย!”
“มิน่าล่ะ พี่ถึงได้ไม่สะทกสะท้านแบบนี้ ที่แท้ก็มีคนหนุนหลังอยู่ตั้งนานแล้วนี่เอง” หลีจื่ออดตะลึงพูดชื่นชมยกยอไม่ได้
เริ่นจื่อหลิงไม่มีความรู้สึกใดๆ ต่อคำยกยอแบบนี้ ใช้มือเช็ดรอยน้ำที่อยู่บนหน้า แล้วก็เดินไปข้างๆ หม่าโฮ่วเต๋อ
ชาวบ้านจำต้องยอมทำตามตำรวจถือปืนสามสี่นายบอก สองมือกุมหัวไว้ นั่งยองๆ อยู่บนถนนด้านนอกบ้านพักตากอากาศ เหตุการณ์กลับเป็นภาพสง่างามยิ่งใหญ่นัก
“เหล่าหม่า ฉันเล่าเรื่องทั้งหมดให้นายฟังอย่างละเอียดแล้ว นายว่าจัดการยังไงดีล่ะ?” เริ่นจื่อหลิงถาม
หม่าโฮ่วเต๋อขมวดคิ้ว ส่ายหน้า “พูดยาก…เรื่องที่ก่อเหตุร่วมกันแบบนี้ ยุ่งยากที่สุด จริงสิ ลั่วชิวล่ะ? เขาไมาเป็นอะไรใช่ไหม? ทำไมเขาไม่อยู่นี่ล่ะ?”
เริ่นจื่อหลิงส่ายหน้าตอบ “เขาออกไปตั้งนานแล้ว นี่ก็ไม่รู้ว่าไปที่ไหน ฉันก็เป็นห่วงอยู่เหมือนกัน…ฉันไปเอง พูดถึงปุ๊บก็กลับมาพอดีเลย”
คนที่กำลังเดินสบายๆ ลงเขามาตามเส้นทางเล็กๆ ก็คือลั่วชิวที่หิ้วถุงสองถุง
เขากำลังมองชาวบ้านพวกนั้นที่นั่งยองๆ อยู่บนถนน มองหม่าโฮ่วเต๋อและเริ่นจื่อหลิงที่อยู่ข้างหน้า ก็ดูจะตะลึงงันไปเล็กน้อย
แน่นอนว่า ถัดไปข้างหลังอีกยังมีคนอย่างหลีจื่อ อู๋ชิวสุ่ย…และย่อมจะมีสาวน้อยหลี่ว์อีอวิ๋นด้วยเช่นกัน
เวลานี้ใบหน้าของสาวน้อยเต็มไปด้วยความตะลึงตกใจ จนแข็งทื่อไปทั้งตัว มองดูคนนี้ที่เดินกลับมาอย่างสบายอกสบายใจ…เขาน่าจะถูกมัดไว้ในบ้านไม้หลังเล็กๆ สิถึงจะถูก!
ลั่วชิวเดินมาตรงหน้าคนทั้งสอง
“อาหม่า? เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอครับ?”
“อ๋อ คืออย่างนี้นะ” เซอร์หม่ากำลังคิดจะเล่า
เริ่นจื่อหลิงกลับชิงตัดหน้ามาก้าวหนึ่ง เดินมาถึงหน้าลั่วชิว กอดเขา “เธอไปไหนมา! เธอรู้ไหมฉันตกใจแทบตายแน่ะ!”
ตอนโบกสะบัดจอบเสียม กล้าหาญราวกับแม่ทัพหญิงคนหนึ่ง ตอนนี้ที่กำลังกอดลั่วชิวอยู่ กลับอ่อนแอเสียจนมีน้ำรื้นอยู่ในดวงตา
“ห้องครัวไม่มีกับข้าว ก็เลยออกไปหาข้างนอกมานิดหน่อยครับ” เขามองหลี่ว์อีอวิ๋นที่อยู่ไกลออกไปแวบหนึ่ง สาวน้อยรีบหลบสายตาทันที ลั่วชิวก็พูดต่อด้วยเสียงแผ่วเบา “สาวน้อยเกิดเรื่องเกิดราวแบบนี้แล้ว ก็ไม่สะดวกให้เธอต้องมาดูแล้วพวกเราล่ะมั้งครับ?”
“ซื้อกับข้าวโทรศัพท์ต้องปิดด้วยเหรอ?” ตอนนี้เริ่นจื่อหลิงถึงยอมปล่อยลั่วชิว สายตาจ้องมา แต่ไม่โกรธตั้งนานแล้ว
“…ไม่มีสัญญาณน่ะ”
เริ่นจื่อหลิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง กลอกตามองบน รอยยิ้มผุดขึ้นมา “ให้อภัยก็ได้!”
หม่าโฮ่วเต๋อ “???”
ใบหน้างุนงงนิ่งอึ้ง
…
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ดังมาจากในบรรดาชาวบ้านพวกนี้ที่นั่งยองๆ อยู่…หลังจากชาวบ้านคนนี้จ้องเขม็งไปที่ตำรวจตรงหน้าด้วยความกดดันอย่างใหญ่หลวง ก็กดรับโทรศัพท์
“แย่แล้ว! อาเป่ากง คน…คนในหมู่บ้านทั้งหมดติดโรคแล้ว! ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ทุกคนติดโรคกันหมดแล้ว!!”