บทที่ 24 เชื่อในกันและกัน โดย Ink Stone_Fantasy
พวกชาวบ้านที่นั่งอยู่บนถนนได้รับข้าวก็พลันวุ่นวายขึ้น
ไม่ว่าพวกเขาทำอะไรอยู่ที่นี่ ไม่ว่าเดิมทีเรื่องที่พวกเขามำจะไร้มนุษยธรรมขนาดไหน ความตั้งใจแรกของพวกเขาก็เป็นเพียงแค่การปกป้องตัวเอง และไม่อยากให้คนในครอบครัวตัวเองโดนคำสาปทำร้าย
แต่ว่าตอนนี้คนทั้งหมู่บ้านติดโรคหมดแล้ว?
“เทพเจ้าทะเลพิโรธแล้ว!!” ตอนนี้อาเป่ากงกำลังพูดเสียงแหลม “เทพเจ้าทะเลพิโรธแล้ว!! เป็นพวกคุณ! เป็นพวกคุณที่ขวางพวกเราบูชาเทพเจ้าทะเล! สุดท้ายก็พิโรธแล้ว! คนทั้งหมู่บ้านพวกเราจะต้องตาย…พวกคุณนั่นแหละ! พวกคุณนั่นแหละที่ทำให้พวกเราต้องตาย!”
หลังจากอาเป่ากงตะโกนด่าไม่หยุด สายตาของชาวบ้านที่กำลังกุมหัวนั่งอยู่บนพื้นพวกนั้นพลันก็เปลี่ยนไปทันที
ชาวบ้านที่กล้าหาญหลายคนค่อยๆ ลุกขึ้นมา
เซอร์หม่าเบิกตากว้าง พูดอย่างโมโหว่า “พวกคุณคิดจะทำอะไร? ย่อตัวลงไปให้หมด!”
“ลูกเมียผมอยู่ในหมู่บ้าน ติดโรคไปแล้ว! คุณยังให้ผมคุกเข่าอยู่ตรงนี้…ครอบครัวผมก็ตายกันหมดพอดี! แน่จริงก็มาหยุดเลย!”
ชาวบ้านคนหนึ่งพุ่งเข้ามาทันที
หม่าโฮ่วเต๋อยิงปืนนัดหนึ่งไปบนถนนตรงๆ เสียงปืนดังสะท้อนอยู่ในหุบเขา ดังกึกก้องเป็นพิเศษ ชาวบ้านที่พุ่งมาคนนั้นหยุดลงทันที หน้าถอดสี ริมฝีปากสั่นระริก
ตำรวจสองนายเดินมาพร้อมกัน จับคนคนนี้เอาไว้
เซอร์หม่าพลันพูดเสียงทุ้มต่ำ “ผมรู้ว่าพวกคุณกำลังร้อนใจมาก! ผมเข้าใจความรู้สึกของพวกคุณ! แต่ผมจะไม่ให้พวกคุณกลับไปแบบนี้! ไม่อนุญาตให้ทุกคนที่นี่ออกไปไหนทั้งสิ้น! ผมไม่เชื่อคำสาปอะไรนั่น! แต่ในเมื่อคนทั้งหมู่บ้านติดโรคแล้ว ก็มีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือโรคประหลาดนี้อาจจะแพร่กระจายได้รวดเร็ว! หากพวกคุณกลับไปแบบนี้ ก็มีโอกาสติดโรคได้เหมือนกัน! ถ้าพวกคุณติดโรคกันหมด แล้วใครจะมาช่วยครอบครัวคุณ!”
พอเห็นชาวบ้านกลุ่มหนึ่งค่อยๆ สงบลง หม่าโฮ่วเต๋อก็ถอนหายใจ พูดด้วยเสียงที่อ่อนโยนเล็กน้อยว่า “ขอให้เชื่อใจพวกเรา พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อแก้ปัญหา! และไม่ได้มาต่อสู้อย่างไร้ความหมายกับพวกคุณ! แต่หากพวกคุณยังวุ่นวายแบบไร้เหตุผลอีก โดยเฉพาะบางคนที่ตั้งใจก่อกวน ก็อย่าหาว่าผมไม่เกรงใจนะ!”
พูดไปหม่าโฮ่วเต๋อก็จ้องไปที่ตัวอาเป่ากงแวบหนึ่ง จนชายชราที่มีชื่อเสียงที่สุดในหมู่บ้านคนนี้ตัวสั่นสะท้าน รีบก้มหัวลงไป
…
“อีกเดี๋ยว พวกคุณก็ไปชายหาดที่เฮลิคอปเตอร์ของผมลงจอดเมื่อกี้ จากตรงนั้นจะมีคนพาพวกคุณออกไป”
หลังจากสงบอารมณ์ของชาวบ้านลงได้เล็กน้อย หม่าโฮ่วเต๋อก็ดึงเริ่นจื่อหลิงและลั่วชิวมาข้างๆ แล้วพูดเสียงเบาว่า “หลังจากไปแล้ว จะมีคนพาพวกพี่ส่งไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลเลยนะ”
“นายให้ฉันไปแบบนี้เหรอ?” เริ่นจื่อหลิงพูดตรงๆ อย่างไม่พอใจ
หม่าโฮ่วเต๋อพูดอย่างมีน้ำโห “นี่ผมไม่ได้กลัวว่าพวกคุณจะติดโรคเหรอ? คุณดูสิโรคประหลาดที่นี่ร้ายแรงมากนะ! อย่าเอาแต่ใจสิพี่สะใภ้!”
ฉับพลันนั้นลั่วชิวก็พูดว่า “อาหม่า พวกเราไปแล้ว อาจะทำยังไง?”
หม่าโฮ่วเต๋อมองลั่วชิวอย่างพอใจ ก็มีเพียงหลานชายคนนี้ที่เป็นห่วงเขา ไม่เหมือนกับพี่สะใภ้บางคนแถวนี้…เขายิ้มแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร เมื่อกี้คุยกับเลขาอู๋คนนั้นไปหน่อยแล้ว เขาให้คนจากในเมืองส่งเรือมาลำหนึ่งแล้ว อีกอย่างถึงจะมีอันตราย แต่พวกเราที่กินข้าวหลวงจะทิ้งประชาชนไปไม่ได้ แต่พวกเธอไม่เหมือนกัน พวกเธอต้องไปอยู่ในที่ปลอดภัย ยิ่งไปกว่านั้นถ้าพวกเธออยู่ที่นี่ ก็มีแต่ทำให้อาเป็นห่วง”
ลั่วชิวกลับส่ายหน้าพูด “อาหม่า เกรงว่าพวกเราจะยังออกไปไม่ได้ครับ”
หม่าโฮ่วเต๋อตะลึงงัน เผลอพูดว่า “เจ้าเด็กนี่ เธอไม่มีเหตุผลเหมือนแม่ของเธอตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“หม่าโฮ่วเต๋อ! นายพูดอะไร? นายหาเรื่องอยากตายเหรอ?”
ลั่วชิวมองเริ่นจื่อหลิงแวบหนึ่ง หลายปีมานี้ที่รองบรรณาธิการเริ่นกลัวที่สุดก็คือสายตาแบบนี้ของลูกชายที่ว่านอนสอนง่ายคนนี้ ฉับพลันนั้นก็เงียบลงทันที
ลั่วชิวถึงได้ถอนหายใจพร้อมพูดว่า “เหมือนที่อาหม่าพูดนั่นแหละครับ ถ้าพวกเราติดโรค ก็ยิ่งไปไหนไม่ได้ คิดดูสิครับ พวกเรายังไม่รู้ทฤษฎีเกี่ยวกับโรคประเภทนี้ เป็นโรคติดต่อหรือเปล่าก็ไม่รู้ ถ้าพวกเราออกจากที่นี่ไปตอนนี้ ก็มีโอกาสเอาเชื้อโรคประเภทนี้ออกไป ถูกไหมครับ? ถ้ามันแพร่กระจายไปในเมืองล่ะก็ อาลองคิดผลลัพธ์ดูนะครับ”
หม่าโฮ่วเต๋อตะลึงงัน ตบหน้าผากของตัวเองทันทีพร้อมกับพูดว่า “นี่ก็จริง! เฮ้อ ฉันเลอะเลือนไปจริงๆ…”
พอหม่าโฮ่วเต๋อเข้าใจว่าหากโรคประหลาดแพร่กระจายในเมืองจริงๆ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร เขาก็ตกใจจนเหงื่อตก “ยังดีที่เธอเตือนอา ไม่อย่างนั้นคงเกิดเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่แล้ว อากลัวว่าจะเป็นความผิดบาปต่อผู้คนนับพัน!”
“หม่าโฮ่วเต๋อ! ฉันถึงบอกว่าไม่ไปไง ตอนนี้รู้ว่าผิดไปแล้วล่ะสิ?” เริ่นจื่อหลิงพูดย้อน
เซอร์หม่าคิดว่า ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้คิดถึงขั้นนี้แน่นอน อย่างมากก็แค่ไม่อยากทิ้งคดีในที่เกิดเหตุไม่ใช่เหรอ??
“…เอาแบบนี้แล้วกัน พวกพี่กลับไปในที่พักก่อน ลองดูว่าในที่พักมีแอลกอฮอล์ ยาดับร้อนล้างพิษอะไรไหม เช็ดได้ก็เช็ด กินได้ก็กิน! อย่าดื่มน้ำประปา ให้ดื่มน้ำแร่ขวดแทน!” หม่าโฮ่วเต๋อรีบพูด“อาจะลองไปคุยกับอู๋ชิวสุ่ยนั่นดูอีกครั้ง ว่าเรือจะมาถึงเมื่อไหร่…นี่อาจจะเป็นการแพร่กระจายเชื้อ อาจะต้องโทรศัพท์กลับไปรายงาน”
“อาทำธุระเถอะครับ” ลั่วชิวพยักหน้า
หม่าโฮ่วเต๋อตบบ่าของลั่วชิว ไม่ได้พูดอะไร…เขาดีใจที่หลานชายคนนี้เริ่มพึ่งพาได้แล้ว
จากนั้นหม่าโฮ่วเต๋อก็มองเริ่นจื่อหลิงแวบหนึ่งพร้อมพูดว่า “คุณดีใจแล้วหรือยังล่ะ! จะได้ทำข่าวใหญ่สมใจสักที!”
รองบรรณาธิการเริ่นพูดอย่างใจกว้าง “ขอบคุณ”
หม่าโฮ่วเต๋อส่ายหน้า กลัดกลุ้มกังวลใจ
…
ชาวบ้านกลุ่มหนึ่ง แทบทั้งหมดถูกคุมตัวอยู่ในบ้านพักตากอากาศ ตำรวจถือปืนสามสี่นายแยกกันเฝ้าทางออกไม่กี่ทางออกของบ้านพักตากอากาศ
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน
ชาวบ้านจำนวนหนึ่งใช้โทรศัพท์ติดต่อกับหมู่บ้าน ก็นั่งยองๆ ในมุมหนึ่งแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้นเงียบๆ
ลั่วชิวมองดอกดาวสีฟ้าในลานบ้าน มองสาวน้อยที่นั่งยองข้างๆ สวน
หลี่ว์อีอวิ๋นเหมือนสังเกตเห็นการมาของลั่วชิวตั้งนานแล้ว แต่ไม่ได้ลุกขึ้นและไม่ได้หันไปมอง แค่มองดอกดาวสีฟ้าพวกนั้นอย่างเหม่อลอย
ทันใดนั้นสาวน้อยก็พูดว่า “รู้ไหม? ภาษาดอกไม้ของดอกดาวสีฟ้าคืออะไร ‘เชื่อใจกันและกัน’ ไม่ว่าจะจับคู่กับดอกไม้อะไร มันจะหาที่ที่เป็นของมันเองได้อย่างดีทีเดียว จะไม่บดบังความงดงามของดอกไม้อื่น และก็ไม่ถูกลมองข้ามไปอย่างง่ายดาย”
เธอลุกขึ้นยืน ในมือมีดอกไม้ที่ไม่รู้ว่าเด็ดมาตั้งแต่เมื่อไหร่
ดอกไม้สีฟ้านิ่งสงบอยู่ในฝ่ามืออันอ่อนโยนของสาวน้อย หลี่ว์อีอวิ๋นพูดเสียงเบา “ก็เหมือนกับการคบค้าสมาคมกันระหว่างผู้คน ทุกคนต่างโดดเด่นไม่เป็นสองรองใคร แต่ก็เพราะความโดดเด่นไม่เป็นสองรองใคร จึงมักจะเกิดความเห็นต่าง”
ใบหน้าสาวน้อยมีรอยยิ้มงดงามปนเศร้า “แต่ถ้าอยากคบต่อไป อยากให้ความเห็นตรงกัน ก็ต้องเชื่อใจซึ่งกันและกัน ถ้าไม่อาจเชื่อใจกันและกันได้…ก็ง่ายที่จะทำให้ความทุกข์ใจและกังวลเพิ่มมากขึ้นไปเปล่าๆ เพียงเพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หวาดระแวงซึ่งกันและกัน ไม่เชื่อใจซึ่งกันและกัน แม้แต่…แค่เพื่อตนเอง”
“นี่คุณปลูกไว้เหรอครับ?” ลั่วชิวเอ่ยถาม
สาวน้อยพูดเสียงเฉยเมย “คุณปู่ฉันปลูกไว้ค่ะ ได้ยินคุณปู่บอกว่า นี่เป็นดอกไม้ที่เมื่อก่อนคุณย่าของฉันชอบมากที่สุด คุณปู่เลยปลูกไว้ในลานบ้านนี้”
ลั่วชิวพยักหน้า เขาย่อตัวลง และเด็ดขึ้นมาหนึ่งดอก วางไว้กลางฝ่ามือแล้วยื่นให้สาวน้อย
สาวน้อยกลับส่ายหน้า ก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว
หนึ่งก้าวแห่งความไม่เชื่อใจ
…
…
ในแววตาของหลี่ว์เฉาเซิงแฝงไว้ด้วยความหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง
ตอนแรกก็ครอบครัวของผู้ป่วย ต่อมาก็คนที่เฝ้าคลินิกอยู่ด้านนอก ในชั่วพริบตาเดียวก็ล้มลงไปทีละคน อาการป่วยน่าหวาดกลัวแบบนี้แพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว
ไปจนถึงผู้คนเดินไปมาบนถนน คนที่อยู่ไกลออกไป…แพร่กระจายไปทั่ว
เขาไม่รู้ว่าจะแพร่กระจายเป็นวงกว้างขนาดไหน ทั้งหมู่บ้านหลี่ว์มีหลายคนตกอยู่ในความตื่นกลัว แม้แต่ตัวเขาเอง เวลานี้ก็เริ่มแสดงอาการของโรคนี้แล้ว
หลี่ว์เฉาเซิงรู้สึกว่าสติสัมปชัญญะของตนเองเริ่มเลือนราง หายใจลำบาก รู้สึกคลื่นไส้อย่างรุนแรง ถึงขนาดหน้าซีดขาด ร้อนหนาวสลับไปหมดทั้งตัว
เขากัดฟัน มองนิ้วมือที่เริ่มแข็งทื่อ และไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว ได้แต่พยายามคลำไปจนถึงห้องทำงานของตนเอง แล้วล็อกประตูห้อง
“หมอ ช่วยพวกเราหน่อย…ช่วยฉันด้วย…”
หลี่ว์เฉาเซิงได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือด้านนอกประตูอย่างเลือนราง เวลานี้ทำอะไรไม่ได้แล้ว เขาเริ่มหาของในห้องทำงาน พลิกตู้เอกสารที่ใส่เอกสารเยอะแยะมากมายลงบนพื้น แล้วก็พบกล่องเหล็กกล่องหนึ่ง
ระดับความแข็งทื่อของมือและเท้ามาถึงระดับสูงสุดแล้ว หลี่ว์เฉาเซิงเปิดกล่องอย่างทุลักทุเลสุดๆ ในนั้นมีหลอดฉีดยาบรรจุอยู่ และยังมีขวดเล็กๆ จำนวนหนึ่ง
สองมือหลี่ว์เฉาเซิงสั่นเทา รู้สึกราวกับว่ากำลังวิ่งแข่งกับเวลา ผสมสารในขวดเล็กๆ แล้วกรอกเข้าไปในหลอดฉีดยา ก่อนใช้ปากกัดหนังยางสีเหลืองไว้ และไม่มีเวลามาสนใจว่าเส้นเลือดจะขึ้นชัดแล้วหรือไม่ หรือใช้แอลกอฮอล์เช็ดหรือยัง ทว่าก็ฉีดเข็มเข้าไปในแขนทันที
เขายังคงหอบหายใจรุนแรง แต่เหมือนว่าจะดีขึ้นมาไม่น้อยแล้ว เหมือนว่าส่วนน่ากลัวที่งอกบนนิ้วมือของเขาก็ช้าลงไปมากแล้ว
เพียงแต่แววตาหวาดกลัวของเขาก็ไม่ได้ลดน้อยลงไปด้วยเลย เพราะเขาเข้าใจดีกว่าใครทั้งหมด สิ่งที่ฉีดเข้าไปเมื่อกี้นี้ระงับได้แต่ในช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น
หลี่ว์เฉาเซิงล้วงโทรศัพท์ออกมาจากเสื้อกาวน์ตัวใหญ่ แล้วพูดด้วยเสียงโกรธแค้นว่า “เธอบอกว่าขอให้หลัวอ้ายอวี้และพวกที่เกี่ยวข้องในตอนนั้นตายไปก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมตอนนี้ทั้งหมู่บ้านถึงได้ถูกวางยาหมดล่ะ?!”
หลังจากนั้นไม่กี่วินาที หลี่ว์เฉาเซิงก็ไม่ได้รับคำตอบที่พอใจ ยิ่งพูดด้วยความโกรธแค้น “เอายาแก้พิษมาให้ฉัน!! ถ้าเธอไม่เอายาแก้พิษออกมาล่ะก็ ฉันจะให้เธอพังพินาศไปพร้อมกัน!! อย่าลืมล่ะ ตอนนี้พ่อของเธอยังซ่อนตัวอยู่กับฉันที่นี่…ฮ่าๆ เธอว่าฉันกล้าไหมล่ะ? ตัวฉันติดเชื้อแล้ว เธอว่าฉันยังมีอะไรต้องกลัวอีก…ฉันไม่สนทั้งนั้น! ถ้าเธอไม่มาล่ะก็ ฉันก็จะไปด้วยตัวเอง!!”
หลี่ว์เฉาเซิงตะคอกใส่โทรศัพท์มือถือด้วยเสียงอันดัง และตอนนี้เอง เขากลับได้ยินเสียงดังกะทันหัน เสียงนั้นดังมาจากตู้เหล็กในห้องทำงาน
ตู้เหล็กเริ่มสั่นไหว เสียงทุบปังๆ ดังมาจากข้างใน วินาทีถัดมา ประตูตู้เหล็กก็ถูกเปิดออกทันใด!
คนในนั้น ก็กลิ้งออกมาทันที
“คุณ…ทำไมคุณรู้สึกตัวเร็วขนาดนี้? เห็นชัดๆ ว่าผมให้ยานอนหลับคุณเพิ่มไปแล้วนี่นา…”
หลี่ว์เฉาเซิงมองหลี่ว์ไห่ซึ่งลุกขึ้นมาจากพื้น ใบหน้าของเขาตื่นตกใจกลัวมากขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้
หลี่ว์ไห่ตบหัวตัวเอง ราวกับว่ายังหน้ามืดอยู่ แต่ว่าเขาสังเกตหลี่ว์เฉาเซิง…มองดูอาการบนร่างกายเขาที่ยับยั้งไว้แล้วแต่ยังหลงเหลือร่องรอยอยู่ แล้วก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที
“เมื่อกี้คุณโทรศัพท์คุยกับใคร?” หลี่ว์ไห่เดินมาตรงหน้าหลี่ว์เฉาเซิง พูดด้วยท่าทางเยือกเย็น
หลี่ว์เฉาเซิงขยับริมฝีปาก เห็นหลี่ว์ไห่หน้าตาดุร้ายอย่างมาก ก็รู้สึกเขย่าขวัญน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
นึกไม่ถึงว่าหลี่ว์ไห่กลับถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง พูดสั้นๆ คำเดียว “กรรมตามสนอง!”