ภาคที่ 5 บทที่ 65 วิธีการของเขา

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

ทุกคนล้วนมีความปรารถนา

แต่กับของที่พวกเราปรารถนา คงมีเพียงยามเป็นเด็กไม่รู้ความไร้เดียงสามเท่านั้นถึงจะเอ่ยออกมาอย่างไม่หวาดกลัวกระมัง

หลังเติบใหญ่ก็เรียนรู้ที่จะเก็บซ่อนความปรารถนาของตนเองเป็นแล้ว

ไหวอ๋องตอบเช่นนี้ น่าจะเป็นวาจาเด็กน้อยไร้ความกลัวกระมัง?

แต่ฮ่องเต้ที่ไม่ใช่เด็กน้อยอีกต่อไป จะกล้าเอ่ยคำตอบที่แท้จริงของตนเองออกมาโดยไร้ความกลัวไหม?

“ติดกับแล้ว!”

ฮ่องเต้พระพักตร์เขียวกัดพระทนต์เอ่ยออกมาทีละคำ

“นี่ถึงเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของนาง ทำให้ทั้งเมืองคุยเรื่องไหวอ๋อง”

พระองค์ลุกขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยว ถีบม้านั่งเตี้ยตรงหน้าล้มคว่ำ

“ถึงกับปล่อยให้นางทำได้เช่นนี้!”

“นางทำไมทำได้เช่นนี้!”

“ขุนนางพวกนั้นในราชสำนักตายหมดแล้วหรือ?”

“ทำไมยังไม่จับนางอีก?”

หยวนเป่ารีบร้อนคุกเข่าลงตรงหน้า

“ฝ่าบาท ความหมายของใต้เท้าหนิงคือต้องการให้ฝ่าบาทกลับเมืองหลวงปฏิเสธเรื่องนี้ในการประชุมขุนนาง” เขาเอ่ย

กลับเมืองหลวง

ถูกสตรีคนนั้นบีบให้กลับไปอย่างหงอยๆ เช่นนี้น่ะหรือ?

แล้วยังต้องถกเรื่องแต่งตั้งองค์รัชทายาทต่อหน้าขุนนางนับร้อยในที่ประชุมใหญ่อีก!

เรื่องเช่นนี้ยังต้องถกอีกหรือ?

ถ้าเช่นนั้นนี่หมายความว่าในสายตาขุนนางฝ่ายพลเรือนกับฝ่ายทหารนับร้อย คิดว่าไหวอ๋องถูกแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาทได้จริงๆ สิ?

ฮ่องเต้พระพักตร์เขียว

แล้วก็หนิงเหยียนคนนั้น ทำให้คนยินดีได้ไม่เกินชั่วเวลาหนึ่งเค่อจริงๆ

คร่ำครึ!

เวลาเช่นนี้สมควรให้ลู่อวิ๋นฉีก้าวเข้าไปตีเขาให้ตาย เหมือนตอนนั้นที่ถกเรื่องตนเองสืบทอดราชบัลลังก์เช่นนั้น ดูซิใครยังกล้าพูด!

“ลู่อวิ๋นฉี!” ฮ่องเต้ตวาด

หยวนเป่าก้าวเข้ามา

“ฝ่าบาท ใต้เท้าน้อยหนิงเคยบอกว่าตอนนี้เมืองหลวงยังไม่มั่นคงนะพ่ะย่ะค่ะ กองทหารชิงซานยังจับจ้องมาดร้ายอยู่ข้างนอก” เขารีบร้อนเอ่ย “ไม่อาจตีสตรีคนนั้นให้ตายได้”

ฮ่องเต้สะบัดแขนเสื้ออย่างโกรธเกรี้ยว

“ถ้าเช่นนั้นจะปล่อยให้นางเหิมเกริมเช่นนี้หรอื?” พระองค์ตรัส “หรือจะต้องให้ข้าแต่งตั้งเจ้าลูกกระต่ายนั่นเป็นองค์รัชทายาทจริงๆ?”

แน่นอนไม่แต่งตั้งก็ได้

หยวนเป่ากะพริบตามองฮ่องเต้

ใต้เท้าหนิงไม่ใช่บอกว่าปฏิเสธอย่างชอบธรรมในที่ประชุมใหญ่ก็เรียบร้อยแล้วหรือ

พระพักตร์ฮ่องเต้เขียวแล้วก็ขาว

ปฏิเสธ…

ตรงหน้าพระองค์คล้ายมองเห็นขุนนางทั้งหลายยืนออเป็นเงาดำอยู่

เจ้าพวกนี้คนมากมายดูแคลนพระองค์ คิดว่าพระองค์ไม่คู่ควรเป็นฮ่องเต้ตำแหน่งนี้ จับพลัดจับผลูมาเป็น

ตอนนี้เจ้าลูกกระต่ายน้อยคนนั้นออกมาอีกหน พวกเขาย่อมต้องเกิดความคิดไล่พระองค์ลงจากตำแหน่งฮ่องเต้แน่

ถึงเวลาในที่ประชุมกลุ้มรุมพระองค์….

ไม่

พระองค์ไม่มีทางให้โอกาสนี้กับพวกเขาเด็ดขาด

ฮ่องเต้สีหน้าเย็นชายืนอยู่ที่เดิม

พระองค์ไม่เคยให้โอกาสคนอื่นโจมตีพระองค์

จะจัดการเรื่องนี้มีวิธีการมากมาย

เฉกเช่นครั้งนั้นที่จัดการเรื่องสืบทอดราชบัลลังก์ของพระองค์

ไม่จำเป็นต้องไปเปลืองน้ำลายฟ้องร้องกับผู้คน ขอเพียงจัดการจุดสำคัญของเรื่องก็ได้แล้ว

จุดสำคัญของเรื่องนั้นคือการมีอยู่ขององค์รัชทายาท

ดังนั้นกำจัดรัชทายาท ทุกสิ่งก็จะคลี่คลายตามไปเอง ไม่จำเป็นต้องให้เขาเปลืองความคิดอีก ทุกสิ่งล้วนสำเร็จราบรื่น

ถ้าเช่นนั้นจุดสำคัญของเรื่องนี้ก็คือไหวอ๋อง

ขอเพียงจัดการไหวอ๋องไปก็ได้แล้ว

“แต่ ตอนนี้ลงมือกับไหวอ๋อง ไม่ค่อยสะดวกอยู่บ้าง ในเมืองหลวงตอนนี้จับจ้องวังไหวอ๋องอยู่นะพ่ะย่ะค่ะ” หยวนเป่าเอ่ยเสียงเบา “หากใช้โรคร้ายหรือวางยาพิษ คุณหนูจวินคนนั้นก็เป็นหมอเทวดา….”

“ดังนั้นจุดสำคัญของทุกสิ่งนี่อย่างไรก็เพราะคุณหนูจวินคนนี้” ฮ่องเต้เอ่ยเสียงเย็นชา

หยวนเป่าพยักหน้าหนักๆ

“ไม่ผิดพ่ะย่ะค่ะ ล้วนเป็นเพราะนาง” เขาเอ่ย

ครั้งแรกที่นางก้าวเข้าวังไหวอ๋องรักษาโรคให้ไหวอ๋องก็สมควรกำจัดนางแล้ว

มิน่าเวลานั้นถึงรู้สึกว่าสตรีคนนี้ทำให้คนไม่สบายใจยิ่ง

เดิมทีคิดว่าสาวน้อยคนหนึ่ง หมอคนหนึ่งจะจุดคลื่นลมใหญ่โตได้สักเท่าใด ชั่วขณะจึงมองข้ามไป

คิดไม่ถึงถูกนางสร้างเรื่องมากมายเช่นนี้ออกมาอีก

คิดดูให้ละเอียด ก็ไม่รู้ว่าเดินมาถึงก้าวนี้วันนี้ได้อย่างไรอยู่บ้าง

“ฝ่าบาท นางทำได้ถึงขั้นนี้ ไม่ใช่เพราะมีเงินมีอำนาจหรือ” หยวนเป่าเอ่ย “ฝ่าบาทอย่ารีบร้อน ขอเพียงลดทอนอำนาจของนาง ตัดปีกของนาง นางก็ก่อคลื่นลมใหญ่โตไม่ได้”

ฮ่องเต้หันหน้ามามองไปหาเขา

“ถ้าเช่นนั้นพวกเรายังรออะไร?” พระองค์ตรัสอย่างเย็นชา

……………………………………….

……………………………………….

ข่าวกองทหารชิงซานมาถึงเมืองหลวง ชาวจินถอยหนีส่งมาถึงหยางเฉิงแล้วเช่นกัน

คนทั้งหมดล้วนโล่งออก แต่การเฝ้าระวังกลับยิ่งเข้มงวด

เพราะทหารจินหลายหมื่นไม่ได้ถูกกองหทารชิงซานกวาดล้างคราวเดียว แต่วิ่งกระจายไปทั่วทุกสารทิศในมณฑลจิงตง ไม่มีใครกล้ารับประกันว่าพวกเขาจะไม่มายังซานซีด้านนี้

ประตูเมืองที่ปิดสนิทของหยางเฉิงถูกเรียกให้เปิด นายทหารเฝ้าประตูเมืองมองกุล่มคนด้านหน้าอย่างกังวลอยู่บ้าง

คนที่นำหน้าคือชายหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนม้าตัวหนึ่ง สวมอาภรณ์สีม่วง แม้สีสันเรียบๆ แต่อาภรณ์กลับไม่ธรรมดา บนนั้นเป็นลวดลายถักทอด้วยไหมเงิน รองเท้าบู้ทบนเท้าประดับไข่มุกหนึ่งแถว บนผมไม่ได้สวมรัดเกล้าหยก เพียงปักบุปผาหนึ่งดอก

เห็นชายหนุ่มคนนี้ ทหารทั้งหลายเพียงรู้สึกว่าเปี่ยมด้วยกลิ่นอายฤดูใบไม้ผลิเจิดจ้าจับตา แล้วก็เพิ่งฉับพลันคิดขึ้นได้ว่า เวลานี้ก็คือช่วงฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่นบุปผาเบ่งบานพอดี

ล้วนเป็นเพราะทหารจินนี่ก่อเรื่อง

นายทหารทั้งหลายมองเด็กหนุ่มตรงหน้า ยิ่งถอนหายใจอยู่บ้าง

“นายน้อยฟาง นี่ท่านจะออกจากเมืองหรือ?” พวกเขาเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง

ฟางเฉิงอวี่ยิ้มนิดหนึ่ง

“ใช่แล้ว” เขาเอ่ย “ข้าต้องไปเจ๋อโจวสักเที่ยว”

นายทหารทั้งหลายตกใจสะดุ้งโหยง

“เจ๋อโจว?” พวกเขาเอ่ยพลางมองผู้คุ้มกันที่ห้อมล้อมอยู่ข้างกายฟางเฉิงอวี่

ผู้คุ้มกันเหล่านี้แต่ละคนรูปร่างแข็งแกร่งกำยำ พกไม้กระบองหอกดาบ ดวงตาอิจฉาของนายทหารทั้งหลายยังมองเห็นอีกว่าใต้สัมภาระตุงๆ ที่ถูกผ้าปิดคลุมไว้บนหลังม้าของพวกเขายังซ่อนหน้าไม้ไว้ด้วย

แต่แม้เป็นเช่นนี้ เวลานี้ออกจากเมือง นอกจากนี้ยังเดินทางไกลปานนั้นก็อันตรายเกินไปจริงๆ หากระหว่างทางพบทหารจินเข้า ถ้าเช่นนั้นผู้คุ้มกันเหล่านี้ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้

“ขอบคุณยิ่ง แต่ไม่เป็นไร” ฟางเฉิงอวี่ขอบคุณความเป็นห่วงของพวกเขาแล้วควบม้าไปข้างหน้า

นายทหารทั้งหลายได้แต่มองดูเขาถูกผู้คุ้มกันรุมล้อมออกจากเมืองไป

“ได้ยินว่าร้านแลกเงินของตระกูลฟางเกิดปัญหา” นายทหารคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา “ขาดทุนมากนัก”

หยางเฉิงสถานที่ใหญ่เท่านี้ ลมพัดหญ้าไหวนิดหนึ่งทุกคนล้วนรู้ เรื่องนี้ทุกคนก็ได้ยินมาบ้าง

“เพราะแบ่งกิจการสินะ?” นายทหารคนหนึ่งเอ่ยถาม “ดังนั้นถึงว่ากันว่าครอบครัวกลมเกลียวหมื่นกิจการรุ่งเรือง กิจการนี่แยกกันทีก็เสียหายไปถึงรากแล้ว”

นายทหารคนก่อนหน้านี้พยักหน้าแล้วก็ส่ายศีรษะอีก

“ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่เพราะเรื่องนี้นะ” เขาเอ่ย “เหมือนจะเพราะการทำการค้าไปมาด้วยกระมัง ข้าก็ไม่เข้าใจเรื่องนี้ อย่างไรนายน้อยฟางตอนนี้ขาดเงิน หากเงินไม่พอ ถ้าเช่นนั้นร้านแลกเงินทั้งหมดนั่นก็เหมือนจะต้องล้มแล้ว”

ร้ายแรงเช่นนี้!

นายทหารหลายคนฉับพลับเบิกตา

“ดูท่านายน้อยฟางจะต้องไปตัวเมืองเจรจาธุรกิจแล้ว” นายทหารก่อนหน้านี้ทำท่าเข้าใจกระจ่าง

คนอื่นก็พยักหน้าท่าทางเห็นใจและจนปัญญา

“ออกจากบ้านอันตราย แต่ไม่ออกจากบ้านก็อันตราย ก็ไม่มีหนทางล่ะนะ” พวกเขาถอนหายใจเอ่ย

……………………………………….

……………………………………….

“ท่านย่า ตอนแยกตระกูลคำพูดเหล่านั้นล้วนเป็นวาจาลุด้วยโทสะ พูดให้คนนอกฟัง หากขาดเงินจริงๆ พวกเราจะไม่เอาให้จริงๆ หรือ?”

ฟางอวิ๋นซิ่วรีบร้อนเอ่ย

“เวลานี้น้องเล็กออกไปข้างนอกอันตรายนัก”

นายหญิงผู้เฒ่าฟางสีหน้านิ่งสนิทนั่งอยู่บนเก้าอี้

“ไม่ออกไปข้างนอกก็ปลอดภัยแล้วรึ?” นางว่า “ออกไปข้างนอกก็ไม่แน่ว่าจะไม่ปลอดภัย”

คำนี้เท่ากับสิ่งใดล้วนไม่ได้พูด

ส่วนนายหญิงใหญ่ฟางหลับตาอยู่ด้านข้าง ในมือขยับลูกประคำอย่างเร็วรี่

ฟางอวิ๋นซิ่วยิ่งร้อนใจ ฟางอวี้ซิ่วส่ายศีรษะให้นาง

“ในเมื่อรู้แล้วว่าบนโลกนี้ทุกหนทุกแห่งล้วนไม่ปลอดภัย ถ้าเช่นนั้นย่อมมีมาตรการป้องกันไว้ก่อนแล้ว” นางเอ่ย “แค่สงบรอน้องเล็กปลอดภัยกลับมาครบเท่านั้น”

……………………………………….

……………………………………….

ในร้านแลกเงินเต๋อเซิ่งชางที่เมืองเจ๋อโจวเสียงหัวเราะรื่นเริงระลอกหนึ่งดังขึ้น

ตามติดด้วยคนกลุ่มหนึ่งเดินออกมาจากในห้อง

“นายน้อยฟางตรวจรับเรียบร้อยแล้วหรือขอรับ?”

บุรุษที่แต่งกายอย่างเศรษฐีคนหนึ่งอมยิ้มเอ่ยถาม

ฟางเฉิงอวี่ยิ้มพยักหน้า

“นิสัยของนายท่านจง ข้าเชื่อถือ” เขาเอ่ยขึ้น

ผู้ดูแลใหญ่เกาที่อยู่ด้านข้างยิ้มพลางคำนับ

“ตรวจรับแล้ว นายท่านจงร่ำรวยมีหน้ามีตา ไม่ขาดสักอีแปะ” เขาเอ่ยอย่างเคารพ ทั้งยังท่าทางจริงใจ “ขอบคุณนายท่านจงที่เชื่อมั่นในเต๋อเซิ่งชางของพวกเรา”

คนที่ถูกเรียกว่านายท่านจงหัวเราะฮ่าฮ่าเสียงดัง ท่าทางไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่

“เงินไหม ปล่อยให้ใครก็เป็นการปล่อย แม้เต๋อเซิ่งชางของพวกเจ้าตอนนี้มีปัญหา แต่ข้าก็ยังเชื่อมั่นในพวกเจ้า สมบัติทั้งหมดของข้าก็ฝากไว้กับพวกเจ้าที่นี่แล้ว” เขาเอ่ย “ทุกคนร่ำรวยด้วยกัน”

ฟางเฉิงอวี่อมยิ้มพยักหน้า

“ร่ำรวยด้วยกัน” เขาเอ่ย

นายท่านจงมองท้องฟ้า

“เย็นแล้ว ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัว” เขาเอ่ยขึ้น

“ข้าส่งนายท่านจงออกจากเมือง” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยตอบ

ได้ยินฟางเฉิงอวี่เอ่ยเช่นนี้ ผู้ดูแลเกาด้านข้างพลันกังวลอยู่บ้าง ส่งสายตาให้ผู้คุ้มกันที่ยืนอยู่รอบด้าน

แต่นายท่านจงกลับโบกมือห้าม

“ไม่ต้อง ไม่ต้อง” เขาเอ่ย “ข้ายังต้องไปเยี่ยมญาติคนหนึ่งที่นี่อีก วันนี้ยังไม่ไป นายน้อยฟางไม่ต้องส่ง”

เขาเอ่ยพลางหัวเราะฮ่าฮ่าอีกหน

“หากนายน้อยฟางต้องการแสดงน้ำใจ ไม่สู้วันพรุ่งนี้ค่อยมาส่งข้า”

ฟางเฉิงอวี่อมยิ้มขานรับ ผู้ดูแลเกาก็โล่งอกด้วย ส่งนายท่านจงมาถึงประตูด้วยกันกับฟางเฉิงอวี่ มองเขานั่งรถออกไปถึงหันกลับมา

“ตรวจสอบแล้วขอรับ นายท่านจงมีญาติอยู่ในเมืองจริงๆ” ผู้ดูแลเกาเอ่ยเสียงเบา

ฟางเฉิงอวี่พยักหน้า

“ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าถามเขาให้ชัดว่าวันพรุ่งนี้เวลาใดไป” เขาเอ่ย

ผู้ดูแลเกาขานรับ

“วันพรุ่งนี้แค่นายน้อยไปส่งก็ดีมากแล้ว” เขาท่าทางยินดีอยู่บ้างเอ่ยขึ้น “พวกเราตรวจสอบล่วงหน้าได้ ป้องกันเหตุไม่คาดฝัน”

ฟางเฉิงอวี่ยิ้ม

“ระวังรอบคอบอย่างไรก็ดี” เขาเอ่ย “ยังดีคราวนี้นายท่านจงนำเงินมาที่ร้านแลกเงินของเราตรงๆ ไม่เช่นนั้นไปสถานที่แปลกหน้ายังต้องวุ่นวายอีกยก”

ผู้ดูแลเกาพยักหน้าขานรับแล้วโล่งอก

“คราวนี้ดีแล้ว มีเงินก้อนนี้ ที่พวกเราขาดทุนไปก็เติมกลับมาเสมอตัวได้” เขาเอ่ย “เที่ยวนี้ที่นายน้อยลำบากมาก็คุ้มค่าแล้ว”

ฟางเฉิงอวี่ยิ้ม

“ใช่แล้ว ข้าไม่มา เงินนี่ก็ไม่ได้มาอยู่ในมือหรอก” เขาเอ่ย

คำนี้ฟังแล้วคล้ายไม่ถูกต้องอยู่บ้าง แต่ก็คล้ายถูกต้อง

“เจ้าไปเถอะ เตรียมพร้อมเฝ้าระวัง แม้เงินมาถึงมือ แต่ยิ่งผ่อนคลายความระวังไม่ได้” ฟางเฉิงอวี่เอ่ย

ผู้ดูแลเกาหน้าขรึมขานรับ

“นายน้อยลำบากแล้ว รีบไปพักผ่อนเถอะขอรับ” เขาเอ่ยพลางชี้ด้านหน้า “พวกเขาล้วนเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว”

ฟางเฉิงอวี่ขานรับเดินเอื่อยเฉื่อยเข้าไป

ผู้ดูแลเกามองฟางเฉิงอวี่หยุดยืนริมประตู ผลักประตูก้าวเท้าเข้าไปถึงหมุนตัว

“พวกเจ้าไม่กี่คนตามข้า…” เขากวักมือสั่งผู้คุ้มกันด้านข้าง คำพูดเพิ่งออกจากปากฉับพลันก็ได้ยินเสียงฉึบดังลั่นทีหนึ่งดังขึ้นด้านหลังร่าง

เขาตะลึงหมุนตัวไปก็เห็นห้องที่ฟางเฉิงอวี่เดินเข้าไปควันทึบลอยขึ้นมา ตามติดด้วยแสงเปลวไฟรอบด้านลุกโชน

ไฟ ไฟไหม้แล้ว…

ไฟไหม้แล้ว!

“นายน้อย!” ผู้ดูแลเกาหน้าตาบิดเบี้ยว เสียงหลงตะเบ็งตะโกนคำหนึ่ง พุ่งไปยังห้องที่ถูกมังกรไฟกลืนกินในพริบตา

ด้านในเต๋อเซิ่งชางทั้งหมดโกลาหล

ควันทึบและแสงเปลวไฟที่ลอยขึ้นมาดึงให้คนบนท้องถนนวุ่นวายขึ้นมาทันที

นายท่านจงที่เดินมาถึงบนรถม้าที่หัวถนนเลิกม่านรถขึ้นหันศีรษะกลับไปมองทีหนึ่ง เผยรอยยิ้มเย็นชาเหยียดหยันจางๆ