ภาคที่ 5 บทที่ 66 หวนซ้ำอีกครั้ง

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

ในขณะที่ครึ่งเมืองเจ๋อโจวตกสู่ความโกลาหลเพราะไฟไหม้ใหญ่ของเต๋อเซิ่งชาง ในเมืองหลวงสายลมสงบดวงตะวันเจิดจ้าลอยสูง

ประตูเมืองสี่ด้านของเมืองหลวงยังคงปิดสนิทดังเดิม ทอดสายตามองออกไปด้านนอกก็ไม่มีคนมาคนไป อย่างไรทหารจินก็ยังเร่ร่อนอยู่รอบด้านนอกเมือง

แต่บรรยากาศที่ประตูเมืองดีขึ้นมากนักแล้ว กำแพงที่พังชำรุดถูกไฟเผาล้วนถูกซ่อมแซม บนถนนนคนที่เดินทางก็ไม่น้อย เพียงแต่พูดจาทักทายค่อนข้างระวังอยู่บ้าง

นี่ไม่ใช่ระวังทหารจิน แต่ระวังพูดคำที่ไม่ควรพูดถูกทหารจับไป

หน้าโรงหมอจิ่วหลิงจูงรถม้าคันหนึ่งออกมา พนักงานหลายคนจัดรถม้าอย่างละเอียดลออระมัดระวัง ผู้คุ้มกันเจ็ดแปดคนมองรอบด้านอย่างระวัง

บนถนนชาวบ้านไม่น้อยมองมาด้านนี้

“คุณหนูจวินจะออกมาแล้ว?”

เมื่อข่าวแพร่ออกไป คนมากกว่าเดิมก็มารวมตัวด้านนี้

ตั้งแต่หลังเอ่ยประโยคชวนตะลึงว่าขอให้แต่งตั้งไหวอ๋องประโยคนี้ออกมาที่หน้าสุสานหลวง คุณหนูจวินก็ไม่ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนอีกเลย

คิดว่านางก็รู้ว่าเรื่องที่ตนเองเอ่ยได้ยินแล้วน่าตะลึงเพียงไร

“นี่จะไปที่ไหน?”

“คงจะไม่ไปสุสานหลวงเค้นถามฮ่องเต้อีกกระมัง?”

ชาวบ้านมองด้านนี้ชี้มือชี้ไม้ถกเถียงอย่างสงสัยใคร่รู้ ถกว่าคุณหนูจวินจะไปที่ไหนอย่างไรก็คงไม่ถูกจับเหมือนถกเรื่องควรหรือไม่ควรแต่งตั้งไหวอ๋องเป็นรัชทายาทเช่นนั้นกระมัง บนถนนเสียงเอะอะครึกครื้น

บรรยากาศในโรงหมอจิ่วหลิงเงียบสงบและเคร่งขรึม

“ต้องไปจริงหรือ?” เฉินชีขมวดคิ้วเอ่ย มองคุณหนูจวินที่เดินออกมา

การแต่งกายวันนี้ของคุณหนูจวินอลังการ นี่มีเพียงเวลาเข้าเฝ้าถึงเป็นเช่นนี้

“เจ้ามีวิธีขัดราชโองการรึ?”

ไม่รอคุณหนูจวินเอ่ยวาจา ฟางจิ่นซิ่วด้านข้างก็เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์

เฉินชีหัวเราะฮ่ะฮ่ะ

“ข้าไม่มีวิธี แต่หากคุณหนูจวินต้องการย่อมมีวิธี” เขาเอ่ย

คุณหนูจวินหัวเราะแล้ว

“ข้าก็ไม่มี” นางว่า “อย่างไรข้าก็ไม่ใช่ขุนนางตำแหนงสูงอันใดที่อ้างคุณธรรมใหญ่หลวงขัดราชโองการของฮ่องเต้กับไทเฮาได้”

พูดให้ถึงที่สุดแล้วนางก็แค่สตรีชาวบ้านคนหนึ่ง นอกจากนี้วันนี้ยังแบกชื่อเสียงอ้างความชอบเหิมเกริมอีก

“นั่นไม่ใช่ยิ่งดี ก่อนหน้าที่จะให้คำตอบต่อคำขอร้องของเจ้า เจ้าก็ขัดราชโองการซะ” ฟางจิ่นซิ่วแค่นเสียงเอ่ย “ไม่ว่าอย่างไรก็แค่กำเริบเสิบสานมากขึ้นเท่านั้น”

เฉินชียื่นแขนถองนาง คุณหนูจวินไม่ได้ใส่ใจเพียงหัวเราะ

“กำเริบเสิบสานอีกเท่าไรก็เพื่อเจรจาไหม” นางเอ่ย “ดื้อดึงท้ายที่สุดก็ไม่อาจคลี่คลายปัญหาได้ อย่างไรก็ต้องเจรจาต้องพูดคุย ในเมื่อไทเฮาตอนนี้ต้องการพูดคุยกับข้า ข้าก็ไม่มีสิ่งใดไม่กล้าคุย”

ฟางจิ่นซิ่วเบ้ปาก

“คุยอะไรเล่า เห็นชัดๆ ว่าเรียกเจ้าไปตำหนิ” นางเอ่ย

“ตำหนิก็เป็นการพูดคุยนะ ไทเฮาตำหนิได้ ข้าก็โต้แย้งได้” คุณหนูจวินเอ่ย มองไปทางพระราชวัง “นอกจากนี้มีคำพูดบางอย่างข้าอยากถามนางดูยิ่งนัก”

ถามนางดู พูดเหมือนนางเทียบเคียงเท่ากันกับไทเฮาอย่างนั้น ท่าทีนี่เหิมเกริมจริงๆ

ตลอดมานางรู้สึกว่าจวินเจินเจินยโสโอหังยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังถอนหมั้นกับตระกูลหนิง

คิดถึงตรงนี้ฟางจิ่นซิ่วก็ชะงักไปนิดหนึ่ง

ตามหลักแล้วถอนหมั้นกับตระกูลหนิงน่าจะแสดงว่าจวินเจินเจินรู้จักสถานการณ์ น่าจะบอกว่าเปลี่ยนมารู้ความรู้จักสมควรแล้ว แต่ทำไมนับจากเวลานั้น นางกลับรู้สึกว่าจวินเจินเจินยโสโอหังมาจากในกระดูก ก่อนหน้านี้เพียงแค่ภายนอกเท่านั้น

ในกระดูก

นับจากนาทีนั้นที่นางชื่อว่าจวินจิ่วหลิงหรือ?

ในกระดูกของคนที่ชื่อจวินจิ่วหลิงคนนั้นหรือ?

ฟางจิ่นซิ่วมองสตรีบนรถที่ไม่มีบ่าวหญิงประคอง หลิ่วเอ๋อร์ถูกนางใช้ชื่อว่าช่วยงานส่งไปที่ครอบครัวของกองทหารชิงซานทั้งหลายรวมตัวอยู่แล้ว นางเองก็ไม่ต้องการคนประคอง การเคลื่อนไหวฉับไวนั่งบนรถม้า

รถม้าแล่นไปยังพระราชวังท่ามกลางการห้อมล้อมของผู้คุ้มกันและการชี้มือชี้ไม้ของชาวบ้าน

ฟางจิ่นซิ่วมองอยู่เงียบๆ รถม้าในสายตาค่อยๆ เคลื่อยไกลอออกไป

“ในพระราชวังปลอดภัยกระมัง?” นางพลันเอ่ยถาม

“ปลอดภัย” เฉินชีเอ่ยเสียงเบา “ยังไม่ต้องพูดถึงทุกคนล้วนจับตาทุกการกระทำทุกการเคลื่อนไหวของไทเฮาอยู่ เหตุเพราะทหารจินและฮ่องเต้ไม่อยู่ที่พระราชวัง ไทเฮาจึงเคลื่อนกองทหารชิงซานชุดหนึ่งมาเติมเป็นทหารองครักษ์ในพระราชวังด้วย”

ความกล้าหาญเกรียงไกรของกองทหารชิงซาน ไทเฮาก็ไม่อาจไม่เชื่อถือ จงใจขอให้พวกเขามาเฝ้าพระราชวัง ยังไม่พอใจที่คนมาไม่มากเลย

มีคนเหล่านี้อยู่ในพระราชวังคุณหนูจวินปลอดภัยนัก

ฟางจิ่นซิ่วไม่เอ่ยวาจาอีก มองทิศทางที่รถม้าหายลับไปจากบนถนน

……………………………………….

……………………………………….

คุณหนูจวินลงจากรถม้าด้านหน้าประตูวังก็พบพวกขุนนางใหญ่หลายคนเช่นหนิงเหยียนเดินออกมาจากด้านในพอดี มองเห็นนางเข้าทุกคนพลันสีหน้าปั้นยาก

“คุณหนูจวิน ข้ายังหวังว่าเจ้าจะเข้าใจคำว่าหน้าที่สองคำ” หนิงเหยียนตรองชั่วครู่ก็ก้าวเข้ามาเอ่ยบอก

คุณหนูจวินยิ้มให้เขา

“เจ้าค่ะ ข้าจดจำไว้ไม่กล้าลืมอยู่เสมอ” นางเอ่ย

หน้าที่นี้ก็คือฟ้ามีความยุติธรรม

หนิงเหยียนยังคิดจะพูดอะไรบางอย่าง ขันทีซึ่งรออยู่หน้าประตูวังก็อดทนรอไม่ไหวอยู่บ้าง

“ใต้เท้าหนิง ไทเฮายังรออยู่นะ” เขาเอ่ยเร่ง

หนิงเหยียนมองขันทีคนนี้ทีหนึ่ง

“กระหม่อมคิดว่าก่อนหน้าที่ฝ่าบาทจะเสด็จกลับวัง อย่างไรองค์ไทเฮาก็อย่าถือวิสาสะถกเรื่องการบ้านการเมืองเลย” เขาเอ่ย

ขันทีคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

“ใต้เท้าหนิงล้อเล่นแล้ว องค์ไทเฮากับองค์หญิงล้วนเป็นสตรี จะถือวิสาสะถกเรื่องการบ้านการเมืองได้อย่างไร” เขาเอ่ย เน้นเสียงหนักที่คำว่าสตรีกับถือวิสาสะถกสองคำ “องค์ไทเฮาเรียกองค์หญิงมาก็แค่จะคุยเล่นกันระหว่างลูกผู้หญิงเท่านั้น หรือใต้เท้าหนิงคิดว่าองค์หญิงเอ่ยวาจาได้ องค์ไทเฮาเอ่ยวาจาไม่ได้หรือ?”

หนิงเหยียนไม่โต้เถียงกับขันทีเหล่านี้ มองเขาอย่างเย็นชาทีหนึ่ง

ขันทีอย่างไรก็ไม่กล้ายั่วโมโหขุนนางคนสำคัญเช่นนี้ พูดแตะนิดหนึ่งก็หยุด หดหัวส่งสัญญาณให้คุณหนูจวินอีกครั้ง

คุณหนูจวินคำนับหนิงเหยียนเดินตามขันทีเข้าไปด้านใน

หนิงเหยียนส่ายศีรษะ

“ใต้เท้าหนิงไปเถอะ”

“รอฝ่าบาทกลับมาค่อยหารือกันเถอะ”

ขุนนางคนอื่นเอ่ยเสียงเบา

เอ่ยถึงฝ่าบาท หนิงเหยียนก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง

“ข้าจะไปสุสานหลวง ขอให้ฝ่าบาทกลับวังอีกหน” เขาเอ่ย

บอกปัดหลบเลี่ยงเช่นนี้ตลอดช่างไม่เข้าท่า

ขุนนางทั้งหลายที่เหลือก็พากันพยักหน้า

“วันนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเชิญฝ่าบาทกลับวัง”

“ไม่กลับวังพวกเราก็จะคุกเข่านอกสุสานหลวงไม่ลุก”

ทุกคนเอ่ยขึ้น ดังนั้นคนกล่มหนึ่งจึงเตรียมรถม้าทันที

ยังไม่ต้องพูดถึงขุนนางทั้งหลายเหล่านี้ไปสุสานหลวง คุณหนูจวินติดตามขันทีที่นำทางมาถึงวังหลังแล้ว

ระหว่างทางเห็นกองทหารชิงซานที่ติดตามทหารองครักษ์เฝ้าระวังเป็นระยะ กระทั่งยังเห็นหลี่กั๋วรุ่ยด้วย

หลี่กั๋วรุ่ยทั้งชีวิตก็คิดไม่ถึงว่าตนเองจะได้มารับหน้าที่ในพระราชวัง แม้วันเวลาผ่านไปหลายวันแล้วก็ยังคงสีหน้าอิ่มเอิบ เพียงแต่เมื่อเห็นคุณหนูจวินเข้าก็ละอายอยู่บ้างอีก

“ข้าสังหารศัตรูสู้คุณหนูจ้าวพวกเขาไม่ได้” เขาเอ่ยอย่างเขินอาย

พร้อมกันนั้นในใจก็รู้สึกแปลกใจอยู่บ้างอีก ตั้งแต่เมื่อไรที่เขารู้สึกว่าการปกป้องพระราชวังมีเกียรติสู้สังหารศัตรูข้างนอกไม่ได้

“ใต้เท้าหลี่ถ่อมตัวแล้ว สังหารศัตรูก็เพื่อให้ข้างหลังสงบ” คุณหนูจวินเอ่ย “พวกเขาเพียงเชื่อถือท่านว่ารับผิดชอบความสงบของข้างหลังได้”

ก็ถูก หลี่กั๋วรุ่ยแย้มยิ้มเต็มหน้าอีกหน

“คุณหนูจวินจะไปเข้าเฝ้าไทเฮาสินะ เมื่อครู่ข้าเห็นไทเฮามาถึงตำหนักหลักแล้ว” เขาเอ่ยอย่างกระตือรือร้น

ขันทีด้านข้างกระแอมทีหนึ่ง

“ใต้เท้าหลี่ นี่คือในพระราชวัง ตอนนี้ท่านเป็นทหารองครักษ์ ไม่ใช่ให้ท่านมาระวังสอดส่อง” เขาเอ่ยอย่างไม่พอใจ “อย่าลืมกฎระเบียบ ที่ประทับของไทเฮาท่านพูดถึงตามใจได้หรือ?”

หลี่กั๋วรุ่ยขานรับ แต่ยังคงส่งสายตาให้คุณหนูจวิน

ขันทีกลอกตาไม่สนใจ

คุณหนูจวินยิ้มให้หลี่กั๋วรุ่ย จากนั้นเดินตามขันทีไปยังตำหนักที่ไทเฮาประทับอยู่

ยามเห็นตำหนักหลังนี้ ก้าวเท้าของคุณหนูจวินพลันชะงักนิดหนึ่ง

ที่นี่เอง…

“คุณหนูจวิน?” ขันทีหันศีรษะกลับมาเตือน

คุณหนูจวินเก็บความตกตะลึง ฟื้นคืนความนิ่งสงบก้าวเท้าต่อ

ด้านล่างตำหนักขันทีแถวหนึ่งยืนอยู่ ก้มศีรษะกลั้นลมหายใจเงียบเสียง เมื่อมองเห็นพวกเขาเข้ามา พลันมีขันทีสองคนผลักประตูเปิด

“ไทเฮาสั่งว่า คุณหนูจวินมาแล้วก็เชิญด้านในเถิด” ขันทีผู้นำทางเอ่ย

คุณหนูจวินขานรับเดินเข้าไป ประตูด้านหลังร่างนางถูกดึงปิด ความมืดสลัวกะทันหันทำให้สายตาของนางพร่ามัวชั่วขณะ หยุดนิ่งครู่หนึ่งถึงมองเห็นในตำหนักชัด

ในตำหนักว่างเปล่าไม่มีใครสักคน มีเพียงไทเฮาประทับนั่งอยู่ตรงกลาง

“หม่อมฉันถวายบังคมไทเฮาเพคะ” นางคุกเข่าลงเอ่ย

“คุณหนูจวิน ไม่รู้ว่าเจ้ารู้หรือไม่รู้”

เสียงของบุรุษคนหนึ่งลอยมาจากเบื้องหน้า

เสียงนี้ทำให้คุณหนูจวินตะลึงวูบหนึ่ง เงยศีรษะขึ้น เห็นบุรุษสวมฉลองพระองค์มังกรก้าวออกมาจากหลังฉากบังลมหลังพระที่นั่งของไทเฮา

ฮ่องเต้?

เขากลับวังมาเมื่อไร?

ฮ่องเต้ยืนหยุดอยู่หลังร่างไทเฮา สีหน้าก้มมองลงจากที่สูงมองนางอย่างเย็นเยียบ

“มีคนที่ชื่อจิ่วหลิงเช่นกันคนหนึ่งก็ถูกข้าสั่งดาบรุมฟันตายที่นี่” พระองค์ตรัส “ข้าดีใจนัก วันนี้คนที่ชื่อจิ่วหลิงอีกคนหนึ่งก็มาที่นี่อีก”

สิ้นเสียงของพระองค์ คุณหนูจวินพลันได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นรอบด้าน ด้านหลังม่านขันทีกลุ่มหนึ่งแห่ออกมา

ในมือพวกเขากำดาบยาวอยู่ วาววับเย็นเยียบบีบเข้าใกล้

เฉกเช่น ในอดีตเช่นนั้น