บทที่ 167 พี่สาวงั้นเหรอ?! ไม่มีทาง!!!

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 167
พี่สาวงั้นเหรอ?! ไม่มีทาง!!!

“ลุกขึ้น นายลุกขึ้นมาก่อน ฟังฉันก่อน…” มู่หรงเสวี่ยเอาแต่ผลักเขาออกด้วยมือของเธอ ฮวงฟูอี้จับมือเธอและพูดด้วยเสียงต่ำลึก “อย่าขยับ รอก่อน…” เขากดมือเธอ แล้วค่อยๆยกขึ้นและกดไว้

มือและเท้าถูกหยุดไว้ มู่หรงเสวี่ยถึงขนาดหายใจติดขัด ตัวแข็งทื่อ

โชคดีที่ฮวงฟูอี้ไม่รู้เรื่องบนเตียง ไม่งั้นป่านนี้เธอคงถูกเขมือบไปแล้ว ที่ขาของเธอมีอะไรแข็งๆมาโดน

เวลาผ่านไปนานกว่าที่ลมหายใจของฮวงฟูอี้จะค่อยๆสงบลง แล้วก็ลุกขึ้นกลิ้งไปนอนที่อีกฝั่ง

มู่หรงเสวี่ยแทบจะลุกในทันทีที่เขาลุกขึ้น แล้วหันไปจัดเสื้อผ้าที่ยังไม่ได้ติดกระดุมให้เรียบร้อย ฮวงฟูอี้มองที่ด้านหลังของเธอ ในสายตาฉายแววเข้มขึ้นเรื่อยๆ

เพราะการขัดขืนเมื่อกี้ทำให้เสื้อผ้ามีรอยยับเล็กน้อย มู่หรงเสวี่ยขมวดคิ้วและใช้มือพยายามรีดให้เรียบ แต่ผลที่ได้มันก็ไม่ดีเท่าไร ถ้าเธอเดินออกไปในสภาพนี้คนอื่นจะคิดว่าเธอไปทำอะไรมาเนี่ย?! แต่ตอนนี้เธอไม่มีเสื้อผ้าที่นี่เลยดังนั้นเธอจึงต้องยอมรับสภาพไป

“อี้ ครั้งหน้าฉันจะโกรธนายนะ!” มู่หรงเสวี่ยพูดอย่างเยือกเย็น

ในสายตาของฮวงฟูอี้แวบประกายแสงแล้วจึงถามออกมาว่า “ทำไม?”

มู่หรงเสวี่ยจ้องเขาอยู่นานแล้วถอนหายใจเล็กน้อย เธอจะพูดเรื่องอะไรแบบนี้ได้ยังไง? เห็นได้ชัดว่าน่ามันเป็นเรื่องที่ผู้ชายได้เปรียบแล้วเธอก็ไร้เดียงสามากๆกับเรื่องพวกนี้ด้วย

“เรื่องแบบนี้จะทำได้เฉพาะกับคู่รักที่รักกันเท่านั้น ท่าทางที่สนิทสนมอย่างการกอดและการจูบจะต้องเป็นคู่รักกันเท่านั้นถึงจะทำได้ นายเข้าใจหรือเปล่า?” เธอไม่มีศักยภาพในความเป็นแม่แต่ก็ยังต้องมาสอนเรื่องพวกนี้กับเขา เขาเป็นผู้ชายที่โตเต็มตัวแล้ว

“แต่ฉันชอบเธอ! งั้นเราก็ทำได้สิ…” ฮวงฟูอี้พูด
มู่หรงเสวี่ยรู้สึกปวดหัวไปหมด “นายชอบฉัน แต่มันไม่ใช่การชอบแบบนั้นโอเคไหม?! พูดง่ายๆนะ มันทำไม่ได้!”

“แล้วเป็นความรักแบบไหนล่ะ?! แต่ฉันรู้สึกแย่ มันจะรู้สึกดีขึ้นเวลาที่ฉันได้กอดเธอ…” เขาเพียงแค่ทำตามสัญชาตญาณแต่ไม่คิดเลยว่าเสี่ยวเสวี่ยจะห้ามไม่ให้เขาทำ

มู่หรงเสวี่ยถึงกับพูดไม่ออก เธอจะอธิบายกับเขายังไงดีล่ะ? นี่เขาไม่เคยอยู่กับผู้หญิงเลยหรือไง?! “การที่นายรู้สึกแย่มันเป็นปฏิกิริยาปกติทางร่างกายของผู้ชาย…เรื่องแบบนี้ต้องให้แฟนเป็นคนจัดการให้ เข้าใจไหม?” เธอเองก็อายเหมือนกัน โอเคไหม?! ทำไมเธอต้องมาบอกเรื่องพวกนี้กับเขาด้วย?

“แฟนงั้นเหรอ?”
“นี่เป็นเป้าหมายของการแต่งงานในอนาคตของเธอเหรอ!”

“เปล่า…”
ปวดหัวจริงๆ อ่า พ่อแม่เลี้ยงเขามายังไงเนี่ย? เขาไม่เคยเข้าสังคมบ้างเลยหรือไง?! “พ่อแม่นายอยู่ไหนเหรอ?”

ครั้งนี้ฮวงฟูอี้ไม่ได้ตอบออกมาทันที แต่หลังจากที่เงียบไปนานเขาก็พูดออกมา “ฉันไม่รู้…”

เธอไม่รู้ว่านี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?! แต่เมื่อมู่หรงเสวี่ยเห็นท่าทางโดดเดี่ยวของเขา เธอก็ไม่กล้าที่จะถามออกมาอีกครั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่าเขาไม่รู้วิธีที่จะเข้ากับคนอื่นๆ ไม่ว่าจะทั้งกับคนที่สนิทหรือไม่สนิทหรือทั้งแฟนและไม่ใช่แฟนด้วย ก่อนหน้านี้พวกเขาเหมือนเป็นญาติกันแต่เธอก็ไม่อยากที่จะปฏิบัติกับเขาเหมือนเป็นสมาชิกในครอบครัว

“ฉันจะกลับแล้ว…” มู่หรงเสวี่ยพูด เธอรู้สึกว่าตัวเองควรที่จะติดต่อเขาให้น้อยลง ยังไงซะทุกอย่างที่เธอได้เห็นตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ทำให้เธออยากที่จะหนี

ฮวงฟูอี้เงยหน้ามองมาที่เธอ สายตาของเขาราวกับมีหมอกสีดำครอบคลุมอยู่ เวลาผ่านไปนานเขาก็ค่อยๆสงบลง “เดี๋ยวฉันจะพาเธอกลับ”

“ไม่ต้อง นายปล่อยฉันออกไปเดี๋ยวฉันจะกลับเอง” มู่หรงเสวี่ยส่ายหัวและพูดออกมาเสียงเบา ชั้นของการรักษาความปลอดภัยที่เธอได้เห็นเมื่อคืนต่างก็เต็มไปด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงซึ่งเปิดโลกใหม่ให้เธอและทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กมากแค่ไหน

หลังจากที่ฮวงฟูอี้ลุกขึ้นมาจากเตียง เขาเดินเข้ามาหาเธอและพูดออกมา “ฉันบอกว่าเดี๋ยวจะไปส่งเธอกลับไม่ใช่หรือไง?! จากตรงนี้เธอหาแท็กซี่ไม่ได้หรอก…”

“ไม่ต้อง ฉันจะให้คนอื่นมารับ…”

ฮวงฟูอี้จับมือเธอและดึงมาที่ด้านข้างของเขา เขามองเข้าไปในดวงตาของเธอและถามออกมา

“ทำไมเธอต้องพยายามเลี่ยงฉันด้วย?” ตั้งแต่ที่ทั้งสองได้เจอกันที่บ้านของเธอ เธอก็ดูเหมือนที่จะละเลยเขาและแม้แต่สายตาก็พยายามที่จะเลี่ยงไม่มองเขา ทำไมล่ะ ก่อนหน้านี้ตอนที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน เธอจะแตะที่หัวเขาอย่างอ่อนโยนและตอนกลางคืนเธอก็ยอมให้เขากอดเธอจนหลับด้วย แต่ตอนนี้ไม่ว่าเขาจะทำอะไรเธอก็เอาแต่บอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ตลอด

มู่หรงเสวี่ยดึงมือกลับแต่ก็ทำไม่ได้ “ฉันไม่ได้เลี่ยงนาย ฉันแค่ไม่คุ้นเคยกับเรื่องนี้…” เสี่ยวอี้ที่เธอรู้จักไม่มีอีกแล้ว ฮวงฟูอี้คนนี้ช่างแปลกหน้ากับเธอเหลือเกิน เธอไม่รู้ว่าจะอยู่กับเขายังไง

“ไม่คุ้นเคยงั้นเหรอ?…เราไม่คุ้นเคยกัน เรากิน เรานอนด้วยกัน…เธอถึงขนาดเคยเห็นร่างกายที่เปลือยเปล่าของฉันด้วยซ้ำ เธอต้องเป็นคนที่รับผิดชอบฉันไม่ใช่เหรอ?!” ฮวงฟูอี้ถามด้วยเสียงต่ำลึก เขารู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าไร เขาไม่ชอบที่เธอมองเขาด้วยสายตาที่เย็นชาและห่างเหินแบบนี้

ในใจของเธอนึกถึงภาพเปลือยเปล่าของเขาที่ดูมีเสน่ห์อีกครั้ง ใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อและพูดออกมาด้วยความเขินอาย “งั้น…แล้วมันจะเหมือนเดิมได้ยังไงล่ะ? ในตอนนั้นสถานการณ์มันไม่เหมือนกัน…”

“ทำไมล่ะ?! นี่ก็เธอ นี่ก็ฉัน…” ฮวงฟูอี้กอดเธอเพื่อจะดมกลิ่นหอมของเธอซึ่งทำให้เขารู้สึกหลงใหล

โอ้ พระเจ้า! เธอกำลังจะทรุดแล้ว สำหรับชายคนนี้อธิบายธรรมดาๆไม่ได้เลย หรือว่าพูดไปตรงๆมันจะดีกว่า?!

“ปล่อยฉันก่อน มาคุยกันดีนะ…”
“ได้…” ฮวงฟูอี้ปล่อยเธอแล้วมองมาที่เธออย่างใกล้ชิด การที่ต้องเผชิญหน้าเขาแบบนี้ เขาดูเหมือนแปลกออกไปมากๆ ทำให้อธิบายยากขึ้นไปอีก ไม่มีใครเคยสอนเขาเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวายของหัวใจ

“ฮวงฟูอี้ นั่งลงก่อนแล้วมาคุยกันดีๆ!” มู่หรงเสวี่ยเดินนำไปนั่งที่เก้าอี้อีกด้านหนึ่งก่อน
“ฉันบอกให้เธอเรียกฉันด้วยชื่อไม่ใช่เหรอ?” ฮวงฟูอี้เองก็เดินตามไปนั่งที่อีกฝั่งหนึ่งของเธอเช่นกันพร้อมพูดออกมาอย่างไม่พอใจ การเรียกชื่อเต็มฮวงฟูอี้ทำให้เขารู้สึกห่างเหิน

มู่หรงเสวี่ยเอามือตัวเองไปแตะที่หน้าอกและก้มหัวลงเพื่อสงบสติ แล้วจึงพูดออกมา

“ฉันจะบอกนายเรื่องจริงนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะช่วยชีวิตนาย ฉันแค่ทนไม่ได้ที่ต้องเห็นใครบางคนนอนกองอยู่แบบนั้น ถึงแม้จะไม่ใช่นายฉันก็ช่วยด้วยเหมือนกัน ฉันต้องยอมรับว่าในระหว่างที่นายพักรักษาตัวฉันดูแลนายเหมือนเป็นน้องชาย แต่ในเมื่อนายฟื้นความทรงจำแล้วความสัมพันธ์ระหว่างเรามันก็ต้องจบและฉันไม่อยากที่จะได้อะไรจากนายด้วย”

สายตาของฮวงฟูอี้เริ่มเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ “แล้วยังไง?”
ไม่ใช่ว่าเธอเป็นคนที่มีเมตตา ถึงแม้เธอจะอยากที่จะปฏิบัติกับเขาเหมือนกับเป็นน้องชายของเธอแต่มันก็เห็นได้ชัดว่าฮวงฟูอี้ไม่ได้อยากที่จะเรียกเธอว่าพี่สาว เขาฟื้นความทรงจำแล้วและดูเหมือนมันเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะเรียกเธอว่าพี่สาว อย่างไรก็ตามนิสัยของเขามันช่างแตกต่างจนเธอไม่สามารถที่จะเรียกเขาว่าน้องชายได้อีกแล้ว มู่หรงเสวี่ยเงียบไปสักพัก

“งั้นตอนนี้เราก็เป็นคนแปลกหน้ากันแล้วไง…” หลังจากนั้นสักพัก เธอก็พูดต่อ “ถ้านายยังอยากให้ฉันเป็นพี่สาว ฉันก็จะมีความสุขมาก…” ถึงแม้เธอจะคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ยังมีความหวังเล็กๆอยู่จึงพูดออกไป

“พี่สาวงั้นเหรอ? ไม่มีทาง” ฮวงฟูอี้รีบปฎิเสธเพราะเขาไม่ต้องการแบบนั้น

แน่นอนอยู่แล้ว มู่หรงเสวี่ยหัวเราะกับตัวเอง เธอเพียงแค่อยากที่จะพูดออกไปและก็ต้องตกใจกับคำตอบต่อมาของเขา

“คำว่าพี่ชายดูน่าจะเหมาะกว่า ฉันแก่กว่าเธอ ถึงแม้ฉันจะไม่เคยมีพี่น้องแต่คิดว่ามันก็คงไม่เหมาะเท่าไร…” ฮวงฟูอี้ยิ้ม

รอยยิ้มสดใสในสายตาของเขาทำให้สติเธอร่องรอยไปนาน “พี่ชายงั้นเหรอ?…” แต่ตัวตนของเขาอันตรายเกินไป อันที่จริงเธออยากที่จะหนีออกห่างเล็กน้อย เหตุผลของเธอบอกกับตัวเองว่าเธอน่าจะออกห่างจากเขาคงเป็นเรื่องที่ดีกว่า ไม่ว่าจะเพราะเรื่องตึกหน้าตาแปลกนี้หรือข้อมูลสากลที่เธอได้เห็นเมื่อคืน ทุกอย่างต่างก็แสดงให้เห็นว่าชายที่อยู่ตรงหน้าเธอเป็นคนที่ไม่ธรรมดามากแค่ไหน

“ใช่!” ฮวงฟูอี้แตะไปที่ผมนุ่มนวลของเธอ มันรู้สึกดีราวกับว่าเขาเป็นพี่ชายของเธอ

ทันใดนั้นมู่หรงเสวี่ยก็ได้สติและพูดออกมาอย่างกังวล “ไม่ ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น ฉันคิดว่ามันคงจะดีกว่าถ้าในอนาคตเราจะอยู่ห่างๆจากกันและกัน…” เธอกัดฟันแต่ก็ยังพูดคำที่เลือดเย็นออกมา

มือของฮวงฟูอี้แข็งนิ่งในระหว่างที่ลูบผมเธออยู่ รอยยิ้มหุบและสีหน้าของเขาก็กลายเป็นเคร่งขรึม “ทำไมเวลาที่ฉันเข้าหาแล้วเธอต้องพยายามที่จะถอยหนีด้วย? ฉันมันแย่มากขนาดนั้นเลยเหรอ?! เธอเองที่บอกว่าจะไม่มีวันทอดทิ้งฉัน เธอมันคนโกหกและทุกคนก็โกหก…” ฮวงฟูอี้พูดออกมาและเดินออกไป

“ฮวงฟูอี้…” มู่หรงเสวี่ยตกใจและพยายามที่จะจับเขาไว้แต่ก็ช้าไป เธอรีบวิ่งตามเขาไปแต่ก็พบว่าเขาหายไปแล้ว นอกจากคอมพิวเตอร์สามมิติที่อยู่บนโต๊ะแล้วก็ไม่มีใครอยู่รอบๆเลย แม้แต่ประตูทางเข้าที่เคยเข้ามาก็ถูกปิดไปแล้ว เธอเดินไปและแตะไปรอบๆแต่ก็ยังไม่เจอเครื่องกลอะไรเลย

นี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย! เธอถูกขังอีกแล้วงั้นเหรอ?!! และนี่มันเทคโนโลยีอะไรกันเนี่ย? เธอไม่เจอร่องรอยอะไรเลย

เรื่องที่ทำให้เธอเป็นกังวลมากที่สุดคือประโยคสุดท้ายของเขาที่พูดออกมาราวกับว่ารู้สึกเจ็บปวดอย่างมากราวกับว่าเขาเคยถูกทอดทิ้งมาก่อน

ถ้าเป็นแบบนั้น เธอก็นึกถึงภาพเขาที่กอดเธอแน่นและพร่ำขอไม่ให้เธอทอดทิ้งเขา แน่นอนว่าบาดแผลในหัวใจเขาจะไม่จางหายไปเพราะความทรงเขากลับมาแล้ว ดังนั้นสิ่งที่เธอเพิ่งพูดมันทำให้เขาเจ็บปวด

มันเป็นเรื่องยากมากสำหรับเขาที่จะบอกว่าเขาจะปฏิบัติกับเธอราวกับเป็นน้องสาวเขา เธอตกใจจริงเพราะทั้งหมดที่อยู่ตรงหน้าคือเรื่องที่เธอไม่รู้จัก นี่มันไม่เหมือนเธอเลยจริงๆและเธอก็ไม่ใช่คนขี้ขลาด

จากเหตุการณ์เมื่อกี้ทันในนั้นเธอก็เข้าใจว่าตัวเองควรที่จะดูแลเขา ไม่ว่าจะเป็นน้องชายหรือไม่ใช่น้องชายเธอก็ตาม เพียงแค่ดูแลเขาเหมือนเป็นครอบครัว…เธอโง่มากที่เพิ่งจะมาเข้าใจ

บางทีอาจจะเป็นเพราะท่าทางเย็นชาและนิสัยที่เปลี่ยนไปของเขาที่ทำให้เธอรู้สึกสับสน เธอรู้สึกไม่คุ้นเคยและหานิสัยที่คุ้นเคยไม่เจอ อย่างไรก็ตามก็ดูเหมือนว่าเขาก็ยังเป็นเขาอยู่

มู่หรงเสวี่ยหาสวิตช์ปุ่มไม่เจอจึงวิ่งกลับไปที่ห้องและ นั่งลง เธอเลือกหยิบหนังสือออกมาลวกๆและตัดสินใจว่าเมื่อเขากลับมาเธอจะคุยกับเขา

ท้องของมู่หรงเสวี่ยส่งเสียงร้องเบาๆ เธอหิวแล้ว ฮวงฟูอี้คงไม่อยากที่จะปล่อยให้เธอหิวจนตาย เธออยากที่จะเข้าไปหยิบอาหารในมิติลับ เธอหยิบกระเป๋ามา ขนาดของกระเป๋าก็พอที่จะทำให้แกล้งหยิบแอปเปิ้ลหรืออะไรแบบนี้ออกมาได้ ถึงแม้มันจะแปลกๆที่มีจะมีแอปเปิ้ลอยู่ในกระเป๋า แต่มันก็ดีกว่าที่จะต้องหิวจนตาย เธอไม่รู้ว่าในนี้จะมีกล้องวงจรปิดอยู่หรือเปล่า เธอจึงไม่กล้าที่จะเข้าไปในมิติลับตามอำเภอใจ

เธอหยิบแอปเปิ้ลออกมา แล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อล้างแอปเปิ้ลก่อนที่จะเริ่มกิน โชคดีที่แอปเปิ้ลในมิติลับมีออร่า หลังจากที่กินเข้าไปหนึ่งลูกเธอก็ไม่รู้สึกหิวแล้ว มู่หรงเสวี่ยหยิบโทรศัพท์ออกมาอีกครั้งแต่ก็พบว่ายังไม่มีสัญญาอยู่ดี จึงทำได้เพียงโยนโทรศัพท์กลับเข้าไปในกระเป๋า ในระหว่างที่เธอกำลังจะลุกขึ้นไปเพื่อหาทางออก มู่หรงเสวี่ยก็เห็นว่าฮวงฟูอี้เดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่เยือกเย็นและมีหญิงสาวสวยเดินผลักรถอาหารมาด้วยอยู่ข้างหลังเขา

หญิงสาวไม่ได้พูดอะไรสักคำแต่ยกอาหารจากรถเข็นขึ้นมาวางบนโต๊ะอย่างเงียบๆ หลังจากนั้นเธอก็ยื่นของขวัญแปลกๆให้เหมือนกับการ์ดที่ประตูและเดินออกไปด้วยความเคารพ

มู่หรงเสวี่ยกระพริบตา ชั่วขณะหนึ่งเธอไม่รู้ว่าจะทำยังไง สีหน้าของฮวงฟูอี้ยังเย็นชาอยู่แต่เธอไม่รู้สึกว่าเข้าหายากเหมือนก่อนหน้านี้

เขากลัวว่าเธอจะหิว ถึงแม้จะดูเหมือนกับว่าเป็นคนละคนแต่ถ้ามองดีๆก็จะเห็นว่าเขาไม่เคยห่างเธอไปไหนเลยและมีแค่เพียงเธอเท่านั้นที่อยากจะออกห่างจากเขา “อี้ ฉันหิวแล้ว มากินด้วยกันเถอะ เราไม่ได้กินข้าวด้วยกันมานานแล้วนะ…” มู่หรงเสวี่ยพูดพร้อมรอยยิ้ม

ร่างกายของฮวงฟูอี้แข็งทื่อและในสายตาแวบประกายแปลกใจ แล้วเขาก็นั่งลงเงียบๆที่โต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารน่าอร่อยและมองมาที่มู่หรงเสวี่ย

มู่หรงเสวี่ยเดินยิ้มเข้ามาและเริ่มหยิบถ้วยและตะเกียบให้เขาก่อน “กินเยอะๆนะ ฉันรู้สึกว่าดูเหมือนนายจะผอมลงนะ…” หลังจากที่เงียบไปสักพักเธอก็พูดต่อ “เมื่อกี้ฉันขอโทษนะ…ฉันคิดว่านายเป็นน้องชายฉันจริงๆนะ…”

“ฉันแก่กว่าเธอไม่ใช่น้องชายเธอ…” หลังจากที่เขาเดินออกไป เขาก็อดไม่ได้ที่จะวิ่งไปที่ห้องวงจรปิดเพื่อดูว่าเธอกำลังทำอะไร แน่นอนว่ามีเพียงเขาเท่านั้นที่เข้าห้องวงจรปิดได้และจะมีวงจรปิดทั่วไปด้วยแต่ในห้องเขาไม่มีกล้องวงจรปิด

เมื่อเขาเห็นว่ามู่หรงเสวี่ยพยายามที่จะหาสวิตช์ เขาก็รู้สึกกังวลซ้ำแล้วซ้ำอีก แล้วเขาก็เห็นว่าเธอแตะไปที่ท้องและหยิบแอปเปิ้ลออกมากิน เขาก็อดไม่ได้ที่จะบอกให้คนไปเตรียมอาหาร แล้วก็เป็นเหตุการณ์แบบเมื่อกี้