บทที่ 168 เงื่อนไขของการเป็นคนรัก

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 168
เงื่อนไขของการเป็นคนรัก

ตอนนี้มู่หรงเสวี่ยมองไปที่เขาด้วยสายตาอ่อนโยน ดูเหมือนว่าระยะห่างที่เธอพยายามจะทำกลายเป็นเพียงภาพลวงตาของเธอเท่านั้น อันที่จริงเขาไม่มีเพื่อนเลยตั้งแต่ที่ยังเด็กๆแล้ว พี่สาวเพียงคนเดียวของเขาก็ทิ้งเขาไปตั้งแต่ที่เขายังเด็กมากๆ ตอนนี้เขาจำหน้าเธอไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ มีเพียงภาพรางๆเท่านั้น ในความทรงจำมีเพียงภาพที่เย็นชาที่ตามเขามานานหลายปี

“นายมองหน้าฉันทำไม?! กินสิ เสียดายอาหารพวกนี้…” มู่หรงเสวี่ยพูดในระหว่างที่เธอกำลังกิน เธอรู้สึกหิวนิดหน่อยถึงแม้จะกินแอปเปิ้ลไปแล้วแต่ผลไม้ก็คือผลไม้ ก็ดีกว่าไม่มีอะไรกิน

มู่หรงเสวี่ยกินไปหลายถ้วยเหมือนกับตอนที่พวกเขากินด้วยกันที่เมืองหลวง เมื่อมองไปที่อาหารมากมาย ฮวงฟูอี้ก็เริ่มรู้สึกสบายอย่างแปลกๆ เขาอยากที่จะกำจัดความรู้สึกที่ควบคุมไม่ได้แบบนี้ ในฐานะดราก้อนมาสเตอร์ไม่เคยมีสถานการณ์ที่ควบคุมไม่ได้มาก่อนเลย

อย่างไรก็ตามเมื่อมองไปที่อาหารทั้งหมดนี้ เธอก็ยังกินอย่างเพลิดเพลินพร้อมด้วยรอยยิ้มในสายตาและหัวใจที่กระสับกระส่ายของเขาก็สงบลงในทันที

ฮวงฟูอี้ยกถ้วยขึ้นมา มองอาหารที่อยู่ในถ้วยและจึงเริ่มขยับตะเกียบ ดูเหมือนว่าเพราะมีเธอจึงทำให้อาหารอร่อยเป็นพิเศษ รสชาติมันอร่อยจนอธิบายไม่ได้

หลังจากที่กินเสร็จ มู่หรงเสวี่ยก็กอดเขาอย่างอ่อนโยน “อี้ ฉันขอโทษนะ ต่อไปฉันจะไม่เลี่ยงนายอีกแล้ว นายจะเป็นน้องชายฉันตลอดไปถึงแม้นายจะไม่ยอมรับก็ตาม…” แล้วเธอก็ค่อยๆแตะที่หัวเขาและเผยรอยยิ้มกว้าง

เขาอยากที่จะใกล้ชิดกับเธอแต่ก็ไม่ได้อยากให้เธอเป็นพี่สาวแต่เมื่อเทียบกับคำพูดที่ห่างเหินของเธอก็เป็นพี่สาวก็ดีกว่ามาก…ตอนนี้เขาไม่เข้าใจว่าตัวเองต้องการอะไร?! ปกติแล้วผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาภักดีต่อเขามากที่สุด ลูกน้องต้องเชื่อฟังเขาเท่านั้น เขาไม่เข้าใจท่าทางของมู่หรงเสวี่ยเลยจริงๆ

“เสี่ยวเสวี่ยอย่างที่บอก ฉันเหมาะจะเป็นพี่ชายของเธอมากกว่า…” หลังจากนั้นสักพักฮวงฟูอี้ก็พูดประโยคนี้ขึ้นมา

มู่หรงเสวี่ยนิ่งอึ้งแล้วเริ่มที่จะหัวเราะออกมา ในที่สุดเธอก็รู้ว่าในบางมุมเขาก็ดูเด็กมากจริงๆ เธอมีความรู้สึกที่ไม่อยากจะเชื่อและยิ่งทำให้เธออยากที่จะดูแลเขามากขึ้น

ฮวงฟูอี้มองหญิงสาวที่กำลังยิ้มโดยไม่สนใจภาพลักษณ์เลยแต่ก็ทำให้ผู้คนหลงรักเธอ รอยยิ้มของเธอช่างสดใส อบอุ่นราวแสงอาทิตย์

ที่อีกด้านหลังจากที่ชูอี้เสิ่นและโม่อ้ายลี่แยกกัน มันก็ดึกแล้ว เขาเป็นห่วงมาและพยายามที่จะโทรหามู่หรงเสวี่ย อย่างไรก็ตามเขาก็พบว่าหมายเลขโทรศัพท์ของเสี่ยวเสวี่ยอยู่นอกเขตให้บริการ ไอ้บ้าเอ๊ย เขาพาเสี่ยวเสวี่ยไปที่ไหน? สุดท้ายเขาก็ต้องแบกหน้าไปเยี่ยมคุณและคุณนายมู่หรงอีกครั้ง เขาได้รู้ว่าฮวงฟูอี้มาสวัสดีพวกเขาแล้วและบอกว่าเขาจะพาเสี่ยวเสวี่ยไปเที่ยวแล้วจะมาส่งพรุ่งนี้

หลังจากกลับมาที่อะพาร์ตเมนต์ ชูอี้เสิ่นก็นอนไม่หลับแทบจะตลอดคืน เขาเป็นห่วง ถึงแม้มันจะเพียงแค่วันเดียว ถึงแม้คุณและคุณนายมู่หรงจะบอกเขาว่าไม่ต้องเป็นห่วง แต่เขาก็ยังสงบใจไม่ได้ เขาใช้เครือข่ายทั้งหมดที่เขามีในจังหวัด A เพื่อที่จะตามหา อย่างไรก็ตามทุกครั้งเขาก็จะได้ข่าวที่น่าผิดหวัง นี่เป็นอีกครั้งที่เขาได้เห็นความแข็งแกร่งที่น่ากลัวของฮวงฟูอี้ เขาคิดถึงความเป็นไปได้แต่ต่อมาเขาก็ต้องปฏิเสธความคิดที่ว่าคนแบบจักรพรรดิจะมาอยู่ที่นี่ได้

หลังจากที่กินข้าวเสร็จ ฮวงฟูอี้ก็ไปทำงานต่อ ถึงแม้ มู่หรงเสวี่ยจะไม่เข้าใจข้อมูลพวกนั้นแต่เธอก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก แล้วทำไมฮวงฟูอี้ถึงปล่อยให้เธออ่านได้ง่ายๆแบบนี้ล่ะ? เขาเชื่อใจเธอมากขนาดนั้นเลยงั้นเหรอ?! เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้วเธอก็รู้สึกผิดกับท่าทางของเธอก่อนหน้านี้

ท่าทางเวลาที่เขาทำงานมันช่างแตกต่างออกไปสิ้นเชิง ท่าทางเขาดูเยือกเย็นและจริงจัง ซึ่งดูเหมือนจะเข้าถึงได้ยากอยู่สักหน่อย เขาต้องดูแลเรื่องทั้งหมดในฐานะจักรพรรดิ มู่หรงเสวี่ยที่นั่งอยู่ข้างๆเขาใจลอยไปเล็กน้อย จนกระทั่งฮวงฟูอี้เดินมาที่ข้างเธอแต่เธอก็ไม่สังเกตเห็นเลย

“เสี่ยวเสวี่ย ใจลอยไปไหนเนี่ย…”
หน้าของมู่หรงเสวี่ยและปลายหูก็แดงระเรือขึ้นมาทันที อันที่จริงเธอกำลังจ้องไปที่เขาอยู่ เธอรู้สึกอายมากเลยหันหัวกลับมาและพูดออกไปว่า “เปล่านิ…”

ฮวงฟูอี้จับหน้าเธอไว้ในมือ “ทำไมเธอไม่มองที่ฉัน…” เขาไม่ชอบที่อยู่ดีๆสายตาเธอก็ไปมองอย่างอื่น

หัวของมู่หรงเสวี่ยมึนไปหมด “เปล่านะ นายแค่สว่างเกินไป…” เขาหล่อมากจริงๆ จนน่าจะเป็นผู้ชายที่มีสาวๆมาแล้วมากมายแต่ทำไมถึงได้ไร้เดียงสาขนาดนี้นะ

“หน้าเธอก็ไม่ร้อนนิ ไม่สบายหรือเปล่า?” ฮวงฟูอี้วางหน้าผากตัวเองลงที่หน้าผากเธอ เขาจำได้ว่าครั้งหนึ่งมู่หรงเสวี่ยเคยวัดอุณหภูมิเขาด้วยวิธีนี้มาก่อน ใบหน้าชิดกัน รับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ มู่หรงเสวี่ยรีบผลักเอาออกทันที “ฉันไม่เป็นไร…”
ฮวงฟูอี้มองไปที่มือที่ว่างเปล่าของเขาแล้วถามออกมาว่า “เสี่ยวเสวี่ย เธอเกลียดฉันเหรอ…” ถ้าไม่แล้วทำไมเธอถึงชอบผลักเขาให้ออกห่างเสมอ เขาชอบที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับเธอและถึงขนาดที่อยากจะกอดเธอไว้ตลอดเวลาเลยด้วยซ้ำ

ใบหน้าที่เศร้าสร้อยของเขาทำให้หัวใจเธอเต้นไม่เป็นจังหวะและสุดท้ายก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อพูดถึงเรื่องการสื่อสารเขาช่างว่างเปล่าราวกับกระดาษขาวจริงๆ เธอไม่เข้าใจจริงๆว่าเขาอยู่มาได้ยังไงจนถึงตอนนี้ แต่มู่หรงเสวี่ยก็ทนที่จะต้องทำร้ายความรู้สึกคนแบบนี้ที่บริสุทธิ์ราวกับเด็กน้อยคนนี้ได้จริงๆ

“เปล่า ฉันแค่เขิน…และฉันบอกนายแล้วไงว่าท่าทางใกล้ชิดแบบนี้ทำได้เฉพาะกับคนรักเท่านั้น…เราไม่ใช่คนรักกัน…งั้นต่อไปเราไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้แล้วเข้าใจไหม?” เธอไม่รู้จริงๆว่าในอนาคตจะมีผู้หญิงแบบไหนที่จะมาอยู่กับเขา เธอรู้สึกตลอดว่าเขาจะต้องถูกนอกใจแน่ๆ

อันที่จริงมู่หรงเสวี่ยคิดถึงเรื่องนี้อย่างมาก เหตุผลที่ ฮวงฟูอี้มีนิสัยที่ไร้เดียงสาแบบนี้ก็เพราะเขามีเอกลักษณ์พิเศษ จึงไม่มีผู้หญิงคนไหนทนที่จะยืนอยู่ข้างๆเขาได้ พูดง่ายๆคือผู้หญิงพวกนั้นเบื่อเขา มู่หรงเสวี่ยเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้เข้าใกล้ตัวตนที่แท้จริงของฮวงฟูอี้

อย่างไรก็ตามมันก็ไม่ได้หมายความว่าการสื่อสารของ ฮวงฟูอี้ไม่ดี ในฐานะดราก้อนมาสเตอร์ การสื่อสารเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก เพียงแค่ในความคิดของมู่หรงเสวี่ย ฮวงฟูอี้เป็นดั่งกระดาษขาว อันที่จริงฮวงฟูอี้จะเป็นแบบนี้ก็เฉพาะเวลาที่เขาอยู่กับมู่หรงเสวี่ย แต่ถ้าอยู่ต่อหน้าหลงอี้หรือคนอื่นๆ เขาก็จะดูน่าเกรงขาม

“งั้นเราก็ควรที่จะเป็นคนรักกัน” ฮวงฟูอี้พูดออกมาเพราะเขาชอบที่จะอยู่ใกล้เธอ

มู่หรงเสวี่ยเงยหน้ามองอย่างตกใจ “เราจะเป็นคนรักกันได้ยังไง…”

“ทำไมล่ะ?” ฮวงฟูอี้ถาม
“เพราะฉันไม่ได้รักนายไง! คนสองคนที่ไม่ได้รักกันจะเป็นคนรักกันไม่ได้” มู่หรงเสวี่ยมองไปที่เขาและพูดออกมาอย่างจริงจัง ดูเหมือนว่าเธอต้องหาข้อมูลเพื่อมาให้เขาดูซะหน่อยแล้ว ไม่งั้นเธอคงจะต้องอธิบายเรื่องพวกนี้ไปอีกนับครั้งไม่ถ้วนแต่เขาก็ดูเหมือนจะไม่เข้าใจอยู่ดี

ฮวงฟูอี้ตกใจตอนที่เธอบอกว่าไม่ได้รักเขา ประกายความเจ็บปวดแวบเข้ามาในสายตา เวลาที่เขาอยากที่จะรับรู้ถึงความรู้สึกนี้จริงๆมันก็หายไปอีกแล้ว พูดง่ายๆเลยเขาเข้าใจสิ่งที่ มู่หรงเสวี่ยพูดว่าเธอไม่ได้รักเขาและพวกเขาจะเป็นคนรักกันไม่ได้ มันคงจะดีถ้าทำให้เธอตกหลุมรักเขาได้ เขาไม่มีคำตอบว่าจะทำให้เธอตกหลุมรักเขาได้ยังไง ดูเหมือนว่าครั้งหน้าเขาจะต้องถามเรื่องนี้กับหลงอี้ซะหน่อยแล้ว ในตอนนี้เขาแอบตัดสินใจเงียบๆอยู่ในใจ

“อี้ นายทำงานเสร็จหรือยัง?” มู่หรงเสวี่ยพูดขัดความคิดของเขา

ฮวงฟูอี้ได้สติกลับมาแล้วตอบออกมาว่า “ไม่เป็นไร ตอนนี้ฉันไม่ยุ่งแล้ว…”

“งั้นพาฉันกลับไปส่งที พ่อแม่ฉันคงเป็นห่วงแล้ว…” มู่หรงเสวี่ยพูด ตอนนี้มันก็บ่ายแล้ว

ฮวงฟูอี้อยากที่จะปฏิเสธแต่ในที่สุดเขาก็ตอบออกมาว่า “โอเค ไปกันเถอะ…”

เมื่อมู่หรงเสวี่ยเห็นฮวงฟูอี้เดินไปที่กำแพง เขายื่นนิ้วออกไปและกำแพงสีขาวก็เลื่อนเปิดทั้งสองด้านโดยอัตโนมัติ เขาเดินออกไปสบายๆและหันมาพูดกับมู่หรงเสวี่ย “ออกมาสิ…”

ถึงแม้ในยุคนี้จะมีประตูอัตโนมัติมากมาย แต่ประตูอัตโนมัติอันนี้มันช่างน่าทึ่งเหลือเกิน นี่เป็นครั้งแรกที่มู่หรงเสวี่ยรู้สึกประหลาดใจอย่างกับเป็นบ้านนอกเข้ากรุงอย่างไงอย่างงั้นเลย สีหน้าของเธอซ่อนอาการไว้ไม่มิด เธอเดินตามหลังฮวงฟูอี้ออกมาแบบงงๆ ในใจก็อดสงสัยอยู่ตลอดเรื่องว่าต้องใช้เงินมากแค่ไหนในการสร้างตึกที่มีการป้องกันอย่างดีขนาดนี้…

มู่หรงเสวี่ยนั่งอยู่ในเบาะข้างคนขับ ในใจยังครุ่นคิดอยู่นาน
“นี่เป็นประตูป้องกันชั้นสุดท้ายซึ่งมีเพียงคนที่มีลายนิ้วมือพิเศษเท่านั้นถึงจะเข้าได้ ตอนนี้ก็มีแค่ฉันที่สามารถเข้ามาได้และประตูนี้ก็กันการระเบิดด้วย…” ฮวงฟูอี้สตาร์ทรถพร้อมอธิบายไปด้วย

“ทำไมนานถึงยอมให้ฉันเข้าไปในสถานที่ที่สำคัญขนาดนั้นล่ะ…” มันน่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากที่จะให้คนอื่นเข้าไป เมื่อนึกถึงข้อมูลที่เธอได้เห็น ก็เดาได้ว่าถ้าข้อมูลพวกนั้นรั่วไหลออกไปคงจะสามารถทำให้เกิดความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจในจีนได้เลยแน่ๆ

ฮวงฟูอี้มองมาที่เธอแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร อันที่จริงเขาก็ไม่มีคำตอบให้ตัวเอง

มู่หรงเสวี่ยที่ไม่ได้ยินคำตอบแต่ก็ไม่ได้ถามต่อ ไม่ว่าคำตอบจะคืออะไรก็ดูเหมือนว่ามันจะหนักเกินไปสำหรับเธอ ในใจลึกๆถึงแม้เธอจะมีความสุขที่เขาเชื่อใจเธอแต่เธอก็ทนรับความเชื่อใจจากเขาไม่ไหว

ฮวงฟูอี้ดูเหมือนจะขับรถออกมาได้ง่ายกว่าหลงอี้ เธอจำได้ว่าหลงอี้ต้องสแกนม่านตาด้วยแต่ฮวงฟูอี้กดปุ่มเพียงนิดเดียวก็ออกมาได้สบายๆ การ์ดที่หน้าประตูดูเหมือนจะระวังและเคารพมากขึ้นและถึงขนาดมีท่าทีที่แตกต่างออกไปด้วยซ้ำ