ตอนที่ 20-2 สงครามประสาท

ซ่อนรักเคียงบัลลังก์

แต่ไม่คิดเลยว่านางจะหน้าด้านถึงเพียงนี้ โอรันคงเห็นว่าชายาฮวางแทจาที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ว่าอะไรถึงได้ไม่ให้ความเคารพเช่นนี้ อีกทั้งยังทำตัวสนิทสนมเรียกท่านว่า ‘ชายาฮวางแทจา’ โดยปกติการแสดงความสนิทสนมกันในหมู่เชื้อพระวงศ์ถือว่ามีให้เห็นอยู่บ้าง แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ยังกล้าเอ่ยเรียกท่านว่า ‘ชายาฮวางแทจา’ ตนจึงไม่พอใจอยู่ไม่น้อย 

 

 

สนมซามองไปที่โอรันด้วยสายตาจิกคมอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ตนไม่ชอบใจโอรันที่ทำตัวถือดีและไร้มารายาทยิ่งนัก กโยซึลยังคงคิดไม่ตกว่าควรจะตอบกลับโอรันที่พูดออกมาอย่างลื่นไหลดั่งสายน้ำอย่างไรดีจึงยังคงเอาแต่อ้ำๆ อึ้งๆ จนในที่สุดนางก็เผยรอยยิ้มออกมา พร้อมกล่าวว่า 

 

 

“ไม่เป็นไรเพคะ หม่อมฉันยังไม่มีสหายในราชสำนักเท่าไร จะทรงไม่รู้จักหม่อมฉันก็ไม่แปลก” 

 

 

“เมื่อชายาฮวางแทจาพูดเช่นนี้ หม่อมฉันรู้สึกทราบซึ้งใจเหลือเกินเพคะ” 

 

 

โอรันก้มหัวลงอีกครั้ง ใบหน้าของนางเผยรอยยิ้มเยาะ 

 

 

ว่าแล้ว 

 

 

เมื่อเห็นท่าทางของกโยซึลที่นอบน้อมต่อตนที่ทำตัวไร้มารยาทใส่ โอรันก็รู้ได้ทันทีว่าที่ตนคาดเดานั้นถูกต้อง หญิงสาวที่เรียกตนว่าชายาฮวางแทจานี้นอกจากจะอ่อนแอแล้วยังดูเหมือนจะยังไม่รู้ถึงอำนาจที่ตนเองมีเท่าใดนัก โอรันคิดไม่ตกเรื่องของบีพาอันที่ไม่แสดงความรู้สึกใดมาตลอด ทว่าเมื่อมีชายาฮวางแทจาที่อ่อนแอถึงเพียงนี้อะไรๆ คงจะง่ายดายขึ้น 

 

 

“ชายาแทจา หม่อมฉันคิดว่าท่าทีของชายาแทจาที่กระทำความผิดช่างไม่เหมาะสมเอาเสียเลยนะเพคะ” 

 

 

โอรันส่งสายตาเฉียบคมไปยังสนมซา 

 

 

“อีกอย่าง ชายาฮวางแทจาเพคะ พระองค์ทรงไม่จำเป็นต้องนอบน้อมแก่ชายาแทจาก็ได้เพคะ อีกทั้งเมื่อครู่นางยังทำตัวเสียมารยาท พระองค์ทรงต้องจัดการอย่างเด็ดขาดจึงจะเป็นการรักษาระเบียบวินัยของราชสำนักไว้เพคะ” 

 

 

สนมซาที่เอ่ยคำพูดทิ่มแทงโอรันหันกลับไปพูดกับกโยซึลด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ตนอดไม่ได้ที่จะเข้าไปยุ่งเพราะเห็นว่ากโยซึลที่ยังเด็กไม่รู้เรื่องอะไรจะเป็นอันตรายเพราะคนอวดดีอย่างโอรันที่อยู่ในวังมาเป็นสิบปี กโยซึลเมื่อได้ยินดังนั้นจึงส่งสายทำนองว่า ‘อย่างนั้นหรือเพคะ’ ให้แก่สนมซาพร้อมกับพยักหน้า สนมซานั้นอายุน่าจะใกล้เคียงกับแม่ของตน แถมเมื่อครู่ยังปกป้องตนทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของตน อีกทั้งตอนนี้ยังพูดกับตนด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลจึงเบาใจในฉับพลัน กโยซึลลืมสถานการณ์ตรงหน้าไปเสียสนิท แล้วยิ้มกว้างออกมาเพราะเห็นใบหน้าของพระมเหสีโยซ้อนทับกับสนมซา สนมซาเมื่อเห็นกโยซึลยกยิ้มราวกับเด็กน้อยก็พลันงุงงง ทว่าก็ยิ้มตอบกลับไป 

 

 

“หม่อมฉันไม่เป็นอะไรจริงๆ เพคะ หม่อมฉันไม่ยอมเปิดเผยตัว แถมยังแต่งกายเรียบง่ายเช่นนี้ นางคงไม่คิดว่าหม่อมฉันจะเป็นชายาฮวางแทจา อีกอย่างนอกจากคำพูดไม่กี่คำนางก็มิได้ทำอันใดเพคะ” 

 

 

กโยซึลที่นึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่ตนเกือบจะถูกตบหน้าพลันรู้สึกขนลุกขึ้นมาแต่ก็ยังยิ้มร่าออกไป โอรันที่รอจังหวะอยู่เหลือบมองไปยังสนมซาเล็กน้อย แล้วพูดกับกโยซึลว่า 

 

 

“เพคะ ขอพระองค์โปรดลืมที่หม่อมฉันทำตัวก้าวร้าวไปเมื่อครู่ หม่อมฉันสำนึกผิดแล้วเพคะ” 

 

 

“ทว่าชายาแทจายังต้องได้รับโทษอย่างเหมาะสมเพคะ ชายาแทจาเองก็ทรงทราบถึงความเข้มงวดของราชสำนักดีมิใช่หรือเพคะ”  

 

 

สนมซายังคงตำหนิโอรันอยู่ โอรันจ้องไปที่สนมซา ทว่าสนมซาเองก็จ้องมองกลับไปด้วยสายตาเผ็ดร้อนเช่นกัน 

 

 

“ชายาฮวางแทจาทรงตรัสแล้วว่าไม่เป็นไร ใยสนมซาถึงได้ออกหน้าถึงเพียงนี้เพคะ สนมซาเองก็น่าจะทราบถึงความเข้มงวดของราชสำนักเช่นเดียวกัน การทำตามคำของผู้ที่อยู่สูงกว่าเป็นสิ่งที่ผู้น้อยควรกระทำมิใช่หรือเพคะ” 

 

 

“หม่อมฉันมิอาจปล่อยผ่านพฤติกรรมบุ่มบ่ามของชายาแทจาที่ตัดสินคนที่เห็นครั้งแรกด้วยรูปลักษณ์ภายนอกได้เพคะ หม่อมฉันจะนำเรื่องไปทูลแก่องค์จักรพรรดิให้ทรงตัดสินอย่างเด็ดขาดเพคะ”  

 

 

“ว่าอย่างไรนะเพคะ ดูเหมือนว่าสนมซาจะถือว่าตนได้รับความเอ็นดูจากองค์จักรพรรดิจึงหาได้รู้จักแยกแยะไม่นะเพคะ” 

 

 

“พฤติกรรมนี้หม่อมฉันก็จะนำไปทูลตามความจริงเช่นกันเพคะ” 

 

 

“คิดว่าบนบีเป็นใครกันเพคะ เราคือมารดาของมู แทฮวางกุนผู้เป็นพระราชนัดดาองค์เดียวของพระราชวังแห่งนี้นะเพคะ!” 

 

 

“เช่นนั้นจึงยิ่งต้องทำให้เด็ดขาดเพคะ มิเช่นนั้นพระราชนัดดาเพียงหนึ่งเดียวจะได้เรียนรู้สิ่งใดจากมารดากันเพคะ” 

 

 

ระหว่างสนมซาและโอรันในตอนนี้เกิดการปะทุขึ้นแล้ว กโยซึลที่อยู่ระหว่างทั้งสองคนไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรจึงหลับตาแน่นแล้วตะโกนขึ้นว่า 

 

 

“พ พอได้แล้วเพคะ!” 

 

 

สนมซาและโอรันที่กำลังจะอ้าปากเอ่ยบางอย่างออกมา เมื่อได้ยินเสียงของกโยซึลจึงทำได้แต่ปิดปากลงแล้วจ้องมองซึ่งกันและกัน 

 

 

“หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ โปรดอย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่เลยเพคะ ชายาแทจา เชิญเสด็จเถิดเพคะ” 

 

 

กโยซึลลนลานรีบให้ทั้งสองแยกย้ายจากกัน เมื่อโอรันได้ยินเช่นนั้นจึงระงับอารมณ์ที่เดือดพล่านของตน แล้วยกมือแนบอก ย่อตัวลงจนเข่าติดพื้น 

 

 

“ขอทรงพระเจริญพันปี พันปี พันพันปี หม่อมฉันขอตัวเพคะ ขอทรงพระวรกายแข็งแรง” 

 

 

หลังจากนั้นโอรันก็หันไปทำความเคารพสนมซาด้วยการค้อมหัวเพียงเล็กน้อยแล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว เมื่อโอรันเดินจากไป กโยซึลจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก พลันรู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องมองมาที่ตนจึงได้หันไปทางนั้น สนมซากำลังส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้ กโยซึลจึงนึกขึ้นได้แล้วก้มหัวลงเล็กน้อย 

 

 

“ยินดีที่ได้รู้จักเพคะ หม่อมฉันคือชายาฮวางแทจา กโยซึลเพคะ” 

 

 

“พระองค์ทรงแนะนำตัวแล้วมิใช่หรือเพคะ หม่อมฉันสนมเอกแซ่ซาเพคะ” 

 

 

เมื่อกโยซึลก้มหัวลง สนมซาเองก็ก้มหัวตอบเช่นกัน ใบหน้าของกโยซึลแดงขึ้นเล็กน้อย ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและอ่อนโยนที่แตกต่างกับตอนที่พูดกับโอรัน กโยซึลจึงนึกถึงพระมเหสียูที่อยู่ฮวากุก พลันดวงตาของกโยซึลก็ชื้นขึ้น สนมซาที่เห็นว่ากโยซึลร้องให้ก็ตกใจ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่านางมาจากต่างแดนจึงจับมือของกโยซึลไว้อย่างอ่อนโยน แล้วพูดขึ้นว่า 

 

 

“หากชายาฮวางแทจาไม่ว่าอะไร ทรงเสด็จไปเสวยของว่างที่ตำหนักของหม่อมฉันไหมเพคะ” 

 

 

กโยซึลที่ได้ยินคำพูดอันอ่อนโยนนั่นก็พยักหน้าตกลงทันที