ตอนที่ 21-1 หญิงเจ้ามารยา

ซ่อนรักเคียงบัลลังก์

กโยซึลและสนมซาเดินออกจากอุทยานและมุ่งหน้าไปยังตำหนักของสนมเอกร่วมทานของว่างและพูดคุยกัน สนมซาชวนกโยซึลคุยอย่างเป็นมิตร นางเลือกเรื่องที่คิดว่ากโยซึลจะชอบเพราะเห็นใจที่กโยซึลนั้นมาจากต่างแดน กโยซึลที่เห็นท่าทางที่เป็นมิตรและอ่อนโยนของสนมซาแล้วก็ยิ่งเปิดใจให้นางมากขึ้น กโยซึลดื่มชารสชาติหวานลิ้นที่ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ หนึ่งจอก แล้วจึงเอ่ยขึ้น

 

 

“คือว่า”

 

 

สนมซาที่เห็นว่ากโยซึลอ้ำๆ อึ้งๆ จึงส่งยิ้มให้อย่างเมตตาแล้วพยักเป็นเชิงอนุญาตให้พูด กโยซึลที่เห็นรอยยิ้มอบอุ่นของสนมซา พลันใบหน้าก็แดงระเรื่อพร้อมกับเม้มปากหนึ่งครั้งก่อนจะพูดออกมา

 

 

“ไม่ทราบว่าจะเป็นการล่วงเกินหรือไม่หากหม่อมฉันพูดเช่นนี้ทั้งๆ ที่เราเพิ่งเจอกันครั้งแรก”

 

 

“ไม่เป็นไรเลยเพคะ ชายาฮวางแทจาประสงค์จะตรัสสิ่งใดเชิญตามสบายเถิดเพคะ ใยต้องต้องกังวล”

 

 

“หม่อมฉันจะสามารถพบปะกับสนมซาบ่อยๆ ได้หรือไม่เพคะ”

 

 

“ว่าอย่างไรนะเพคะ”

 

 

ไม่รู้ว่าเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายหรืออย่างไร สนมซาจึงตกใจและย้อนถามอีกครั้ง เมื่อกโยซึลเห็นดังนั้นก็ขวยเขิน ยกชายเสื้อขึ้นมาปิดปากเล็กน้อย

 

 

“หากสนมซาทรงไม่ว่าอันใด หม่อมฉันอยากจะมาทานของว่างและพูดคุยกับท่านอย่างเป็นกันเองบ่อยๆ เพคะ เพราะเมื่อหม่อมฉันเห็นสนมซาแล้ว หม่อมฉันรู้สึกสบายใจราวกับว่ากำลังพูดคุยอยู่กับท่านแม่ของหม่อมฉันที่อยู่ฮวากุกเพคะ…”

 

 

และสุดท้ายกโยซึลก็หลั่งน้ำตาออกมา ด้วยที่ตนนั้นในช่วงนี้พบเจอกับความเหงาและความคิดถึงบ้านเกิด และด้วยความคะนึงถึงพระมเหสียูที่ไม่ได้พบกันมานาน เมื่อตนได้รับการปฏิบัติที่อ่อนโยนจากสนมซา ความรู้สึกของตนจึงปะทุขึ้น

 

 

“โถ่ ช่างน่าสงสารยิ่งนัก”

 

 

สนมซาที่ตกใจเมื่อเห็นกโยซึลร้องไห้เลื่อนสำรับของว่างไปด้านข้างแล้วเขยิบเข้าไปใกล้

 

 

กโยซึลเล็กน้อย นางชะงักเล็กน้อยก่อนที่จะยกแขนทั้งสองข้างโอบกอดกโยซึลไว้

 

 

ถึงแม้ว่ากโยซึลจะเป็นพระชายาฮวางแทจา ทว่านางยังคงเด็กนัก ได้ยินว่านางเพิ่งจะบรรลุนิติภาวะได้ไม่นาน แต่คงโตมาอย่างได้รับความรักอย่างเต็มเปี่ยมจากวังฮวากุกที่ลือกันว่ามีความปรองดองแน่นแฟ้นยิ่ง ดังนั้นในสายตาของสนมซา กโยซึลจึงเป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่ง นางเองก็พลันนึกถึงมารดาของตนที่ชรามากแล้วที่อยู่ที่ตระกูลซาจึงพลอยร้องไห้ไปกับกโยซึลด้วย

 

 

กโยซึลที่อยู่ในอ้อมกอดของสนมซา เมื่อได้กลิ่นควันธูปจางๆ จากตัวของนางก็นึกถึงพระมเหสียูขึ้นมาอีกครั้ง นางจึงรู้สึกผ่อนคลายลง

 

 

“หม่อมฉันเองก็มีบุตรสาวอยู่สองคนเพคะ สองคนนั้นทั้งแข็งแกร่งและเฉลียวฉลาด ทว่ากลับไร้ความน่ารักน่าเอ็นดูให้เห็น หม่อมฉันจึงรู้สึกเสียใจอยู่ลึกๆ เพคะ เมื่อชายาฮวางแทจาที่ทรงน่ารักน่าเอ็นดูเช่นนี้ทรงประสงค์ที่จะสนิทสนมกับหม่อมฉัน หม่อมฉันจะปฏิเสธได้อย่างไรกันเพคะ”

 

 

“ส สนมซา…”

 

 

“หากพระองค์ทรงไม่ว่ากระไร หม่อมฉันจะขออยู่เคียงข้างพระองค์ในราชสำนักที่โดดเดี่ยวแห่งนี้เองเพคะ หากว่าชายาแทจาทรงล่วงเกินชายาฮวางแทจาอีก ขอให้ตรัสบอกหม่อมฉันได้เลยเพคะ หม่อมฉันจะลงโทษนางเอง”

 

 

เมื่อกโยซึลเห็นว่าสนมซาทำท่าทีเคร่งขรึม จากที่กำลังร้องไห้อยู่ก็พลันหลุดหัวเราะออกมา

 

 

“ขอบพระทัยเพคะ สนมซา แต่หม่อมฉันที่อายุน้อยกว่าสนมซาเช่นนี้เรียกท่านว่าสนมซาเฉยๆ ช่างรู้สึกขัดเขินนักเพคะ”

 

 

กโยซึลพูดออกมาพร้อมลูบริมฝีปากตน

 

 

“อืม มิทราบว่าให้หม่อมฉันเรียกท่านว่า ‘สนมแม่ซา’ ได้หรือไม่เพคะ”

 

 

กโยซึลเอียงคอถาม สนมซาที่ได้ยินดังนั้นก็สะดุ้งโหยง

 

 

“ม แม่หรือเพคะ ใครได้ยินเข้าคงถูกตำหนิเป็นแน่ ตัวหม่อมฉันเองก็มิได้เป็นกระทั่งแม่ของพระสวามีของชายาฮวางแทจานะเพคะ”

 

 

“เช่นนั้น ให้หม่อมฉันเรียกแค่ตอนเราอยู่ด้วยกันเพียงลำพังก็มิได้หรือเพคะ”

 

 

กโยซึลยังคงเอียงคอถามอย่างสงสัยด้วยท่าทางไม่ทุกข์ร้อนอะไร ต่างกับสนมซาที่ตื่นตระหนกกลัวว่าจะมีใครได้ยินเข้า

 

 

“ว่าอย่างไรนะเพคะ”

 

 

ในตอนนี่อยู่ฮวากุกกโยซึลก็มักจะออดอ้อนแบบนี้ตอนที่ตนต้องการร้องขอบางอย่างจากพระราชาจองและพระมเหสีโย รวมไปถึงเหล่าพี่ชายของตนด้วย สนมซาที่เห็นกโยซึลทำท่าทางออดอ้อนก็พลันหน้าแดง จนในที่สุดก็พยักหน้าตอบรับ

 

 

“ข เข้าใจแล้วเพคะ หม่อมฉันยอมแพ้แล้วเพคะ ทรงเรียกตามที่ชายาฮวางแทจาประสงค์เถิดเพคะ”

 

 

“สนมแม่ซา พูดเป็นกันเองกว่านี้เสียหน่อยสิเพคะ”

 

 

สนมซาที่ไม่รู้จะทำอย่างไรเมื่อกโยซึลเข้ามาเกาะแขนตนจึงพยักหน้าตอบตกลงไปอีกครั้ง

 

 

“พ เพคะ ชายาฮวางแทจาช่างดื้อรั้นเสียจริง”

 

 

สนมซายิ้มให้กับท่าทางนั้นของกโยซึล และกโยซึลเองก็มองไปที่สนมซาพร้อมกับยิ้มให้เช่นกัน

 

 

“หม่อมฉันจะทำตัวน่ารักน่าเอ็นดูแทนบุตรสาวทั้งสองเองเพคะสนมแม่ซา เตรียมใจไว้ได้เลย”

 

 

“เช่นนั้นหม่อมฉันเกรงว่าจะไม่กล้าเชิญชายาฮวางแทจามาทานของว่างด้วยกันอีกน่ะสิ”

 

 

สนมซาที่กลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหวอีกต่อไประเบิดหัวเราะออกมาในที่สุด ตอนนี้นางรู้สึกราวกับว่าตนได้ลูกสาวคนเล็กเพิ่มขึ้นอีกคน

 

 

หลังจากนั้นกโยซึลก็เทียวไปเทียวมาระหว่างตำหนักของกโยยองและสนมซาและสร้างความสนิทชิดเชื้อต่อกัน เมื่อนางได้สหายที่คอยระบายความในใจรวมทั้งมารดาด้วย ก็เหมือนว่ากโยซึลจะกลับมาสดใสร่าเริงอีกครั้งโดยอัตโนมัติ เหมือนว่าความโศกเศร้าจากการที่ต้องจากฮวากุกมาจะค่อยๆ ถูกเยียวยาลงแล้ว

 

 

ทว่าบางครั้งก็ช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บปวดกับสายลมเย็นที่พัดผ่านจิตใจ ถึงแม้ว่ากโยซึลจะมีทั้งสหายและมารดาที่ทำให้ตนยิ้มได้ แต่ตนก็ยังต้องการความรัก

 

 

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตนได้รับความรักมากมายมาตั้งแต่เด็กหรืออย่างไร แต่ความอ้างว่างที่อยู่ภายในจิตใจต่อให้มิตรภาพที่อบอุ่นเพียงใดก็ไม่อาจทดแทน

 

 

***

 

 

ตำหนักซอชอนที่อยู่ทางทิศตะวันตกของพระราชวังเต็มไปด้วยบรรยากาศเงียบสงัดที่บรรยายไม่ถูก มันแตกต่างจากความเงียบสงบของตำหนักดงชอนโดยสิ้นเชิง เต็มไปด้วยความกดดันและเย็นยะเยือก และเหตุผลที่เหล่าข้ารับใช้ในตำหนักสงบปากสงบคำก็ต่างกับตำหนักดงชอนอีกด้วย

 

 

“ฝ่าพระบาท ฝ่าพระบาทเพคะ”

 

 

น้ำเสียงออดอ้อนดังก้องไปทั่วตำหนัก โอรันที่มีสีหน้าสดใสกำลังเดินจ้ำผ่านลานด้านหน้าเข้ามา เหล่าข้ารับใช้หยุดการกระทำทุกอย่างลง แล้วโค้งคำนับนายหญิงของตน

 

 

ถึงแม้ว่าโอรันจะไม่ชายตามองเหล่าข้ารับใช้ก็ตาม ทว่าทุกคนย่อมรู้ดีว่าหากไม่โค้งคำนับนางทันทีที่เห็นแล้วนั้น ตนจะต้องถูกดุด่าอย่างหนัก และต้องถูกเฆี่ยนตีเป็นแน่

 

 

“พระชายาแทจาเสด็จ”

 

 

ขันทีลนลานแจ้งไปยังห้องด้านในทันทีด้วยความเคยชินของตน ในระหว่างที่โอรันถอดรองเท้าอยู่นั้น ขันทีก็ได้รับการตอบรับจากด้านในจึงสามารถเปิดประตูตำหนักให้โอรันเข้าไปได้ในทันที และนี่ก็เป็นเพราะนิสัยที่ร้ายกาจของโอรันจึงทำให้เหล่าข้ารับใช้ในตำหนักต้องคอยสังเกตุนายของตนอยู่เสมอ