โอรันที่เข้ามาด้านในอย่างรวดเร็วปรี่เข้าไปในอ้อมกอดของดึกวอลด้วยจริตราวกับเด็กน้อย
“ฝ่าพระบาท ฝ่าพระบาทเพคะ”
“โอรันเมียรัก วันนี้เหตุใดถึงได้อารมณ์ดีเช่นนี้กัน”
ดึกวอลนำหนังสือม้วนที่ตนกำลังอ่านอยู่วางไว้ข้างโต๊ะหนังสือ เขานั้นมักจะยิ้มแย้มอยู่เสมอจึงทำให้ดวงตาโค้งมนลงจนแทบปิดจนไม่สามารถอ่านสายตาของเขาได้
ดึกวอลที่มีลับลมคมในกับโอรันที่หยิ่งยะโสช่างเหมาะสมกันยิ่ง
“ทรงทราบหรือไม่เพคะว่าเมื่อครู่หม่อมฉันไปเจอใครมา”
“ยังมีผู้ใดในวังแห่งนี้ที่ทำให้โอรันอารมณ์ดีได้อีกหรือ”
“หม่อมฉันเจอกับชายาฮวางแทจาที่มีข่าวลือแพร่ไปทั่วราชสำนักเพคะ”
“ชายาฮวางแทจางั้นหรือ”
น้ำเสียงปนหยอกล้อพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ดวงตาของดึกวอลที่เปื้อนรอยยิ้มอยู่เสมอหม่นแสงลงราวกับบ่อน้ำลึก ทว่าเพียงไม่นานก็กลับมาโค้งมนดั่งเดิม พร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“โอรันที่ทระนงตนเช่นนี้คงไม่มีทางไปเยือนนางที่ตำหนักเป็นแน่”
“ฝ่าพระบาททรงรู้จักหม่อมฉันดีนักเพคะ”
โอรันหัวเราะคิกคักพร้อมกับทุบที่อกของดึกวอลด้วยกำปั้นน้อยๆ ดึกวอลจับมือของโอรันด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม หลังจากก็ไล่งับนิ้วเรียวบางด้วยริมฝีปากตน
“หรือว่าเป็นชายาฮวางแทจาที่มาเยือนหรือ”
“เปล่าเพคะ ที่อุทยานดอกไม้เพคะ หม่อมฉันเจอนางที่กลางอุทยานโดยบังเอิญ”
โอรันฮึดฮัด หางตาเรียวแหลมฉายแววดุร้าย
“ทราบหรือไม่เพคะว่านางที่เป็นถึงชายาเอกฮวางแทจาแห่งจักรวรรดิมกกุกกลับแต่งตัวซอมซ่อราวกับสนมต่ำต้อยที่ไม่ได้รับการแต่งตั้ง”
โอรันฟ้องเรื่องที่เกิดขึ้นในอุทยานด้วยน้ำเสียงกระฟัดกระเฟียด ดึกวอลยกยิ้มอยู่ตลอดขณะฟังโอรันพูด และยังคอยลูบปลอบนาง บางครั้งก็แตะริมฝีปากตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้างเบาๆ
“ช่างเป็นแม่นางที่อ่อนแอยิ่งนัก”
นี่คำแรกที่ดึกวอลเอ่ยขึ้นหลังจากฟังเรื่องราวในอุทยาน สมดั่งคำที่ว่าสามีภรรยาคือคนคนเดียวกัน ความคิดของดึกวอลนั้นไม่ต่างกับโอรันเลยแม้แต่น้อย โอรันส่งเสียงฮึออกมา พร้อมตบมือตน
“พระองค์ก็ทรงเห็นเป็นเช่นนั้นใช่หรือไม่เพคะ สมกับที่เป็นเจ้าหญิงน้อยไร้เดียงสาแห่งอาณาจักรฮวากุก”
“ช่างน่าขันยิ่งนักที่บีพาอันมีชายาเอกเช่นนั้น”
“ฮวางแทจาที่เยือกเย็นราวกับก้อนน้ำแข็งที่ไม่ว่าจะพยายามเพียงใดก็ไม่สามารถทำให้แตกสลายได้กลับมีชายาเอกเช่นนั้น”
โอรันเองก็สมทบคำพูดของดึกวอลด้วย ‘ชายาเอกเช่นนั้น’ นิสัยที่อ่อนแอของกโยซึลในตอนนี้กลายเป็นที่เหน็บแหนมแก่องค์แทจาและชายาของแทจาไปเสียแล้ว
“แม่นางที่อ่อนแอเช่นนั้นกลับมัดใจฮวางแทจาได้ แถมฮวางเซจาที่วันๆ เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับหนังสือมิสนใจโลกภายนอกเองก็ยังหลงเสน่ห์นาง ช่างน่าทึ่งเสียจริงนะเพคะ”
โอรันพ่นลมออกจมูก ข่าวลือได้แพร่ไปทั่วราชสำนักว่าชายารองที่ฮวางแทจาทรงอภิเษกด้วยเป็นคนแรกนั้นมิได้เข้าหอกับฮวางแทจาแถมยังแยกกันอยู่มาหลายปีแล้ว ข่าวลือนี้แม้แต่ข้ารับใช้เด็กๆ ก็ยังรู้กันทั่ว และเรื่องที่ถูกพูดถึงล่าสุดก็คือข่าวลือที่ว่าฮวางแทจาใช้เวลาในค่ำคืนที่แสนยาวนานกับชายาเอกที่ยังเป็นเพียงสาวน้อย และยังไปเยือนนางที่ตำหนักดงบีก่อนอีกด้วย
ชายาฮวางแทจาที่กระชากวิญญาณเลือดเย็นออกมาได้
เป็นที่แน่นอนว่าเหล่าสตรีภายในวังไม่ว่าใครก็ย่อมสงสัยใคร่รู้ในตัวชายาฮวางแทจา และนอกจากนั้นยังมีอีกหนึ่งข่าวลือที่ถูกพูดถึงกันในหมู่คนสนิท นั่นคือข่าวลือที่ว่าชายาฮวางแทจาไม่เพียงทำให้ฮวางแทจาหลงสเสน่ห์เพียงเท่านั้น แต่ยังขโมยหัวใจของฮวางเซจาอีกด้วย
“อย่างที่ทราบดีว่าข่าวลือแปดในสิบของราชสำนักแห่งนี้ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องเหลวไหล”
ดึกวอลไม่ได้สนใจเอ่ยปนหัวเราะเท่านั้น ทว่าทันใดนั้นแววตาดำสนิทก็ฉายแววเข้มขึ้น
“และแน่นอนว่าอีกสองส่วนที่เหลือนั้นก็มีโอกาสที่จะเป็นเรื่องจริงเช่นกัน”
“หม่อมฉันเองก็คิดไว้ว่าอาจจะเป็นเรื่องจริงเหมือนกันเพคะ ทว่าพอได้พบนางแล้ว ใบหน้านั้นยังดูเด็กมากแต่ก็สะสวยใช้ได้ ถึงอย่างนั้นก็เถอะด้วยนิสัยที่เซ่อซ่าถึงเพียงนั้นของนาง หม่อมฉันไม่คิดว่านางจะปั่นหัวชายใดได้เลยเพคะ”
โอรันส่ายมือปฏิเสธว่าเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
“แต่เรื่องที่นางมัดใจบีพาอันได้เห็นทีจะเป็นเรื่องจริง มิเช่นนั้นเส้นทางระหว่างตำหนักดงชอนและตำหนักดงบีคงไม่เงาวับเช่นนั้น”
“หรือว่าภายใต้ใบหน้าไร้เดียงสานั่น ลีลาบนเตียงจะดีกว่าที่คิดเพคะ”
โอรันหาได้สนใจเรื่องเกียรติยศไม่ นางเอ่ยคำหยาบโลนออกมาโดยง่าย แต่ดึกวอลกลับทำเพียงม้วนริมฝีปากและกระซิบด้วยน้ำเสียงแกมหยอกว่า
“ยามสว่างเป็นเพียงเด็กสาวบริสุทธิ์น่าสงสาร แต่ยามค่ำคืนเป็นหญิงเจ้ามารยางั้นหรือ แค่ฟังเราเองก็เกิดความใคร่รู้เสียแล้ว”
โอรันเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็เบิกตาโตแล้วตวาดขึ้นมาเสียงดัง
“ทรงทำเกินไปแล้วนะเพคะ ไฉนจึงให้ความสนใจหญิงอื่นต่อหน้าหม่อมฉันได้เพคะ”
“ทรงหึงหวงเพราะกลัวจะมีข่าวลือที่ว่าชายาฮวางแทจาที่ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วราชสำนัก ทำให้องค์แทจาหลงเสน่ห์ไปด้วยอีกคนหรือ”
ดึกวอลดีดปลายจมูกของโอรันเบาๆ โอรันก้าวขึ้นไปนั่งบนตักของดึกวอลด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโมโห ชายกระโปรงยาวของนางปกคลุมทั่วเบาะรองนั่ง
“ในยามค่ำคืนหม่อมฉันเองก็เจ้ามารยาเพคะ แต่ทว่าในยามสว่างเองก็อาจจะเป็นหญิงเจ้ามารยาที่ร้อนแรงกว่าก็เป็นได้เพคะ”
“โอ้โฮ เช่นนั้นหรือ”
โอรันกระตุกริมฝีปากแดงชาดขึ้น นางขยับไหล่เพียงครั้งเดียวเสื้อคลุมตัวนอกก็ลงไปกองที่ข้อศอก นางลุกขึ้นจากหัวเข่าขยับขึ้นไปจนนั่งแนบสนิดชิดเอวของดึกวอล
“เป็นอย่างไรเพคะ หม่อมฉันดูน่าค้นหามากขึ้นหรือไม่เพคะ”
โอรันถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกแล้วนำไปพันที่คอของดึกวอลอย่างหลวมๆ ดึกวอลมองขึ้นไปที่โอรันที่นั่งอยู่บนตัวของตน พร้อมกับลูบวนที่ข้อศอกของนางเป็นวงกลม
“หากทรงแสดงให้เราดูว่าทรงเจ้าเล่ห์ถึงเพียงไหน เราอาจจะอยากค้นหาอย่างเต็มที่ก็เป็นได้”
หลังจากที่ดึกวอลพูดจบเขาก็ประกบปากเข้าที่ริมฝีปากของโอรันโดยทันที ทันทีที่ริมฝีปากของทั้งคู่ประกบกัน อุณหภูมิร้อนผ่าวก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งห้อง ไร้การสนทนาและการส่งสายตาใดให้กันอีก แม้แต่ช่องว่างให้ถอดเสื้อผ้าที่ยุ่งยากก็ไม่มีด้วยซ้ำ
พรืด สาส์นงานบ้านเมืองที่กองอยู่บนโต๊ะหนังสือถูกกวาดลงที่พื้น สะโพกเพรียวบางของโอรันที่นั่งอยู่บนโต๊ะหนังสือขยับขึ้นลงราวกับเกลียวคลื่น ขาทั้งสองข้างใต้กระโปรงยาวที่ขยับอย่างไร้ทิศทางยกขึ้นเกี่ยวเข้าที่คอของดึกวอล โอรันยื่นมือออกไปทั่วทิศ ควานเจอสิ่งไหนก็กำสิ่งนั้นไว้แน่น
ตำหนักซอชอนอันเงียบสงัดพลันกำเนิดเสียงหอบหายใจหนักดังไปทั่วทิศ