ตอนที่ 31-2 มีคนจากที่บ้านมาหา

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพร้อมกับเดินไปตรงหน้าเมิ่งอี้แล้วพูดขึ้นว่า “ตอนที่ข้าเขียนจดหมายก็เดาได้ว่าท่านน่าจะใกล้กลับบ้านแล้ว จึงเขียนจดหมายให้ท่านมาหา ไม่นึกเลยว่าพวกท่านจะมาถึงเร็วเช่นนี้”

 

 

สีหน้าของเมิ่งอี้เต็มไปด้วยความดีใจเอ่ยว่า “ก่อนข้าจะกลับบ้านวันหนึ่ง วันที่สองคนที่บ้านก็ได้รับจดหมายจากเจ้า คนในบ้านตระเตรียมของที่เจ้าต้องการเสร็จแล้วก็ตามข้ามา” พูดจบก็ชี้ไปที่รถม้าคันหนึ่งที่อยู่ด้านหลังแล้วพูดขึ้นว่า “ไม่ใช่แค่ข้านะ พี่สะใภ้ของเจ้ากับหงเอ๋อร์ก็ตามมาด้วย”

 

 

พูดจบประตูรถม้าก็เปิดออก เจ้าตัวน้อยเดินออกมาจากรถม้า อ้าแขนเล็กป้อมพร้อมกับพุ่งเข้ามาหาเมิ่งเชี่ยนโยว อ้าปากร้องตะโกนขึ้นมาอย่างดีใจ “ท่านน้า!”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวย่อตัวลงอุ้มเจ้าตัวน้อยที่พุ่งมาหาขึ้น แล้วกอดเขาหมุนไปรอบๆ

 

 

เจ้าตัวน้อยหัวเราะคิกคิกอย่างมีความสุข 

 

 

โจวอิ๋งก็ลงมาจากรถม้ายิ้มๆ พูดขึ้นว่า “เด็กสามคนนี้พอได้ยินว่าจะมาหาเจ้าที่เมืองหลวงต่างก็งอแงอยากมาด้วย ตอนที่เรามาก็ต้องแอบออกมา ไม่รู้ว่าสองคนที่อยู่บ้านจะก่อเรื่องวุ่นวายขนาดไหนแล้ว”

 

 

“พี่สะใภ้” เมิ่งเชี่ยนโยวอุ้มหงเอ๋อร์ไว้อย่างมั่นคงแล้วร้องตะโกนขึ้น

 

 

โจวอิ๋งยิ้มพร้อมกับพยักหน้า อธิบายเพิ่มว่า “ท่านพี่บอกว่าข้าไม่ได้เจอกับท่านพ่อท่านแม่มานานหลายปีแล้ว ครั้งนี้มีโอกาสมาเมืองหลวงจึงให้ข้าตามมาด้วย คงไม่หน่วงเหนี่ยวจนทำให้เจ้าเสียงานกระมัง”

 

 

“ไม่หรอกเจ้าค่ะ ถึงครั้งนี้พวกท่านจะไม่ตามมา ครั้งหน้าข้าก็จะให้คนพาพวกท่านมาส่งอยู่ดี สี่ปีแล้ว ไม่รู้ว่าฮูหยินโจวกับนายท่านโจวจะเป็นห่วงท่านมากขนาดไหน”เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ย

 

 

พอเอ่ยถึงท่านพ่อกับท่านแม่ของตัวเองโจวอิ๋งก็มีสีหน้าคิดถึงขึ้นมา แต่พอคิดได้ว่ามาถึงเมืองหลวงใกล้จะได้พบกันแล้วก็รู้สึกดีใจขึ้นมา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งเหวินเปียวกับกัวเฟย “พวกเจ้านำรถม้าเข้ามาข้างในเร็ว ของที่อยู่ด้านบนก็เอาลงมาเก็บรวมกันไว้ให้ดี พวกเราค่อยหาฤกษ์มงคลเปิดกิจการ”

 

 

ทั้งสองรับคำสั่ง โบกมือบอกให้คนอื่นนำรถม้าเข้ามาด้านในทันที

 

 

เมิ่งเชี่ยวโยวอุ้มหงเอ๋อร์ พาคนเดินเข้ามาข้างในเรือน พอสั่งให้สาวใช้ชงชาเสร็จแล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า “นี่เป็นบ้านที่ข้าเพิ่งจะซื้อมา ออกจะใหญ่โตสักหน่อย ต่อไปเราจะได้พักอยู่ด้วยกัน ห้องทุกห้องข้าสั่งให้คนเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว ประเดี๋ยวพวกท่านค่อยไปเลือกดูว่าจะอยู่ห้องไหน”

 

 

ทุกคนต่างก็คอแห้ง รินน้ำชาดื่มหลายอึก

 

 

ซุนเหลียงไฉเอ่ยขึ้นว่า “ข้าไม่รบกวนหรอก บ้านข้ามีกิจการอยู่ในเมืองหลวง ข้าไปพักอยู่ที่นั่นก็ได้”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ก็ดีเหมือนกัน ถึงอย่างไรอี้เซวียนก็มาที่นี่ทุกวัน เจ้าจะได้ไม่เจอหน้าเขาให้รู้สึกละอายใจ”

 

 

น้ำชาที่อยู่ในปากของซุนเหลียงไฉก็พ่นออกมา “พรืด” โดยไม่สนใจเช็ดให้สะอาด เอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจว่า “ด้านความสามารถนายน้อยอย่างข้าก็เป็นปัญญาชนผู้มีความรู้ ด้านรูปโฉมข้าก็สง่างามพลิ้วไหวดุจสายลม ไม่น้อยหน้าเขาเลยแม้แต่น้อย ข้ามีอะไรต้องละอายใจ ข้าเพียงแต่เห็นว่าบ้านของเจ้ามีคนตั้งมากมาย บ้านเล็กแค่นี้อยู่กันไม่พอ จึงได้หวังดีบอกว่าจะไปพักอยู่ที่ร้านค้า ในเมื่อเจ้าไม่รับไมตรี ประเดี๋ยวข้าจะไปเลือกห้องที่ใหญ่ที่สุดพัก”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวจงใจเช็ดน้ำชาบนตัวที่ไม่ได้กระเด็นมาโดน พูดขึ้นด้วยสีหน้ารังเกียจ “ดูแค่นิสัยที่ชอบพ่นน้ำเสียมารยาทของเจ้าก็พอ เจ้าเทียบเขาไม่ได้เลย”

 

 

ซุนเหลียงไฉสะอึก บ่นพึมพำเสียงเบาอย่างไม่พอใจ “ต่างก็บอกว่าสตรีนั้นพอแต่งออกไปแล้วจะฝักใฝ่สามี นี่ยังไม่ได้แต่งงานก็พูดแทนเขาเสียแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหูไวฟังคำพูดของเขาโดยไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว ทั้งโกรธทั้งขำ จึงแกล้งพูดขู่ว่า “เจ้าพูดอะไร ข้าได้ยินไม่ชัด เจ้าลองพูดอีกครั้ง”

 

 

อยู่กับตระกูลเมิ่งมานานหลายปี ซุนเหลียงไฉจึงรู้จักนิสัยของเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นอย่างดี ถ้าหากว่าเข้าพูดออกไปจริงๆ เมิ่งเชี่ยนโยวคงจะให้คนโยนเขาออกไปเป็นแน่ จึงโบกมือขึ้นอย่างลนลานพูดว่า “ข้าไม่ได้พูดอะไร ไม่ได้พูดอะไรเลย”

 

 

รู้ว่าเขาเป็นคนที่พูดไปโดยไม่คิดอะไร เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็คร้านที่จะมาคิดเล็กคิดน้อยกับเขา จึงเปลี่ยนเรื่องคุยหันมาถามเมิ่งอี้ “พี่รอง ทุกคนในบ้ายสบายดีอยู่กระมัง”

 

 

เมิ่งอี้พยักหน้า “สบายดี ทุกคนในบ้านต่างก็สบายดี โรงหัตถกรรมก็ปกติดี” พูดจบก็ล้วงเอาจดหมายออกมาส่งให้นาง “น้องชายเมิ่งเสียนฝากให้ข้ามอบให้เจ้า เจ้าลองเอาไปอ่านดู”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรับเอาจดหมายมาเปิดอ่าน อ่านไม่นาน จดหมายของเมิ่งเสียนเรียบง่ายไม่ซับซ้อน บอกนางว่าที่บ้านไม่มีปัญหาอะไร นางไม่ต้องเป็นห่วง ให้อยู่เมืองหลวงได้อย่างสบายใจ นอกจากนั้นหลังจากที่ท่านพ่อท่านแม่เห็นจดหมายที่อี้เซวียนเขียนส่งไปให้คนที่บ้านแล้วตื่นเต้นกันมาก รู้ว่านางสบายดีพวกเขาก็วางใจแล้ว ท้ายจดหมายยังมีอีกประโยคหนึ่งเพิ่มเข้ามา ถ้าหากว่าอยู่ในเมืองหลวงต้องการใช้เงินทุนอีกมากแล้วเงินไม่พอก็ให้บอกกับคนที่บ้านทันที คนที่บ้านจะส่งให้นางโดยเร็ว 

 

 

ข้ามเวลามาหลายปีแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เมิ่งเชี่ยนโยวจากบ้านหลังนั้นมาอย่างแท้จริง พอเห็นจดหมายนี้ในใจก็รู้สึกไม่สบายใจส่วนอีกใจหนึ่งก็ดีใจ ที่ไม่สบายใจก็คือกลัวว่าต่อไปหากนางต้องอาศัยอยู่ที่เมืองหลวงเป็นเวลานานแล้วจะกลับไปเป็นเช่นแต่ก่อนไม่ได้ ที่ทุกคนในครอบครัวอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอย่างมีความสุข จะทำตัวออดอ้อนกับคนในครอบครัวที่ใดเวลาใดก็ได้ ที่ดีใจก็คือทุกคนในครอบครัวต่างก็เห็นนางเป็นดั่งสมบัติล้ำค่าเสมอมา มีความเป็นห่วงเป็นใยมอบให้นางตลอดเวลา

 

 

เมิ่งอี้สองสามีภรรยาพอเห็นนางอ่านจดหมายจบแล้วมีท่าทีเศร้าสลด จึงสบตากันครั้งหนึ่ง โจวอิ๋งลองถามขึ้น “น้องสาวโยวเอ๋อร์เจ้าไม่เป็นอะไรนะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวฉีกยิ้มกว้าง หัวเราะพร้อมกับเอ่ยว่า “ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ เพียงแต่เห็นจดหมายของพี่ใหญ่แล้วก็คิดถึงบ้านขึ้นมา”

 

 

ซุนเหลียงไฉส่งเสียง “ชิ” ขึ้น “คิดถึงบ้านก็กลับไปสิ เมืองหลวงกับบ้านก็อยู่ไม่ไกลกัน เดินทางสองสามวันก็ถึงแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตามองเขา “พูดง่ายๆ ตอนข้ามาก็คุยโวโอ้อวดให้ท่านพ่อท่านแม่ฟังเสียใหญ่โต บอกว่าถูกการแต่งงานบังคับให้มา แต่ตอนนี้ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ข้าจะกลับไปอย่างไรเล่า”

 

 

ซุนเหลียงไฉจึงคิดไปในทางที่ไม่ดี เบิกตากว้าง ถามขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ “คงไม่ใช่ว่าเจ้าอี้เซวียนนั่นจะไม่ยอมรับหรอกใช่ไหม”

 

 

โดยไม่รอให้เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ ซุนเหลียงไฉที่คิดว่าตัวเองพูดถูกได้ยืนขึ้นมาพร้อมกับถลกแขนเสื้อขึ้น พูดขึ้นอย่างแค้นเคืองที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม “เจ้าไม่ต้องกังวล ถ้าหากเจ้าหมอนั่นไม่ยอมรับ รอให้เจอหน้าเขาข้าจะซัดให้จนฟันร่วงหมดปากเลย”

 

 

เขาเพิ่งจะพูดจบหวงฝู่อี้เซวียนก็เดินเข้ามาให้ห้องโถงพอดี พูดถามขึ้นต่อจากเขาว่า “เจ้าจะซัดใครให้ฟันร่วงหมดปากหรือ”

 

 

ซุนเหลียงไฉอึ้ง ค่อยๆ หันหน้าไปมองเขา

 

 

ไม่เจอกันหลายปีหวงฝู่อี้เซวียนกลับตัวสูงใหญ่กว่าตัวเองมากนัก ไม่เพียงแต่รูปลักษณ์ที่หล่อเหลากว่าตัวเอง แม้แต่ไอพลังที่แผ่ออกมารอบตัวยังสูงส่งมากกว่าตัวเองอีก เขายืนอยู่ตรงนั้นทำให้รู้สึกว่าตัวเองนั้นตัวเล็กลงกว่าครึ่งไปชั่วขณะ

 

 

ขยับปากแต่ทว่าซุนเหลียงไฉก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวส่งเสียงหัวเราะ “เหอะๆ” ดังออกมา

 

 

ซุนเหลียงไฉได้สติขึ้นมาจากเสียงหัวเราะของนาง กระโดดไปกอดหวงฝู่อี้ “เจ้าบ้า ไม่เจอกันหลายปีหน้าตาช่างดึงดูดหมู่ภมรกับผีเสื้อมากกว่าข้าเสียอีก”

 

 

รอยยิ้มที่เป็นมิตรจากหวงฝู่อี้เซวียนพลันแข็งขึ้นในทันทีจากคำพูดเมื่อกี้นี้ของเขา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเสียงดัง

 

 

ซุนเหลียงไฉไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อยว่าตัวเองได้พูดอะไรผิดไป คลายมือจากหวงฝู่อี้เซวียนแล้วจึงมาประเมินดูท่าทีของเขาอีกครั้ง

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าให้กับเมิ่งอี้สองสามีภรรยา “พี่รอง พี่สะใภ้”

 

 

ในตอนนี้หวงฝู่อี้เซวียนมีฐานะเป็นถึงซื่อจื่อ ตั้งแต่เขาเดินเข้ามาเมิ่งอี้สองสามีภรรยาก็ลุกขึ้นทันที ตอนนี้พอได้ยินที่เขาเรียกแล้วเมิ่งอี้ก็โบกไม้โบกมืออย่างลนลาน “ซื่อจื่ออย่าเรียกพวกเราเช่นนั้นเลยขอรับ พวกเรามิกล้า”

 

 

โจวอิ๋งก็พยักหน้าเห็นด้วย

 

 

ซุนเหลียงไฉกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย “พี่เมิ่งอี้ จะไปเกรงใจอะไรเขาเล่า ไม่ว่าตอนนี้เขาจะมีฐานะเช่นไรก็ตาม แต่พออยู่ต่อหน้าพวกเราแล้วเขาก็ยังเป็นน้องชายอยู่ดี”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าเห็นด้วย “พี่รอง เหลียงไฉพูดถูกแล้ว ถึงอย่างไรข้าก็เป็นน้องชายของพวกท่านตลอดไป พวกท่านทำตัวตามสบายเช่นแต่ก่อนก็พอแล้ว”

 

 

แม้เขาจะพูดเช่นนั้นก็ตาม แต่เมิ่งอี้สองสามีภรรยาก็ปล่อยไปไม่ได้ ยังยืนเก้ๆ กังๆ อยู่เช่นเดิม

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทางเก้ๆ กังๆ ของพวกเขาแล้วก็ยิ้มพร้อมกับพูดว่า “พี่รอง พี่สะใภ้ ต่อไปเมื่ออี้เซวียนมาบ้านเช่นนี้ทุกวันแล้วพวกท่านก็เป็นเช่นนี้ตลอด พวกเราก็จะไม่สะดวกกันพอดี พวกท่านก็ปล่อยวางบ้างเถอะ ไม่จำเป็นต้องเห็นเขาเป็นซื่อจื่อก็ได้ มองเขาเป็นน้องเขยก็พอ”

 

 

ซุนเหลียงไฉได้ยินดังนั้นจึงหันมาล้อนาง “ช่างไม่ละอายเสียจริง ยังไม่ได้กำหนดงานแต่งก็บอกว่าให้มองเขาเป็นน้องเขยเสียแล้ว”

 

 

—————————-