เธอไม่ได้โกหก เธอรอดชีวิตมาได้เพราะร่างของเซียวโหรว ถ้าไม่ใช่เพราะเซียวโหรว เธอคงไม่มีชีวิตอยู่จนมาปรากฏตัวที่นี่ได้ นอกจากนี้เธอคือเซียวโหรว ทรัพย์สมบัติเหล่านั้นจริงๆ แล้วหากโอนไปให้เซียวโหรวก็คือมอบให้เธอ
เธอเชื่อว่าคุณปู่ก็หวังว่าเธอจะทำแบบนี้เช่นกัน… แม้ว่าทรัพย์สมบัติเหล่านี้จะถูกโอนไปให้เซียวโหรว แต่ในความเป็นจริงก็ยังคงเป็นของตระกูลถัง
เหออี๋หยางยิ้ม กล่าวว่า “ฉันได้ยินมาว่าเธอรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด แต่อยากรู้ว่าทำไมเธอถึงต้องเดินทางไปต่างประเทศ ในประเทศจีนก็มีทิวทัศน์ที่สวยงามและทะเลมากมาย ทำไมเธอถึงไปแต่ต่างประเทศตลอด โชคดีนะที่เธอไม่ได้ได้รับบาดเจ็บพิกลพิการไป ถ้าเธอพิการฉันพนันได้เลยว่าเธอจะต้องเสียใจ”
ถังซีนั่งลงบนโซฟา มองหน้าเหออี๋หยางขณะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฮ่าๆ ฉันหวังว่าฉันจะมีสติตลอดเวลาเหมือนอย่างเธอนะ เพื่อนเก่าแก่สมัยเรียนของฉัน”
เหออี๋หยางนำเอกสารมาให้เธอดู “เอกสารพร้อมเรียบร้อย ถ้าเธอไม่มีปัญหากับรายละเอียดทั้งหมด ฉันจะโทรเรียกคนของสำนักงานทนายความมาที่นี่ เพื่อทำการรับรองเอกสาร ตกลงไหม” ถังซีดูเอกสาร “ฉันเชื่อใจเธอ คิดว่าฉันไม่จำเป็นต้องตรวจสอบทั้งหมดหรอก โทรเรียกพวกเขามาได้เลย”
“ฉันได้ยินมาว่าเธอกำลังจะเปลี่ยนพินัยกรรมของเธอด้วยหรือ” เหออี๋หยางนั่งลงบนโซฟา มองหน้าถังซี และเม้มริมฝีปาก “ทำไมจู่ๆ ถึงอยากทำแบบนั้นล่ะ เธอคุยกับคุณปู่แล้วหรือยัง”
ถังซีมองเหออี๋หยางด้วยความประหลาดใจ “เธอรู้เรื่องนี้ได้ยังไง”
เหออี๋หยางยักไหล่ “นั่นไม่สำคัญหรอก ที่สำคัญคือเรื่องนี้รั่วไหล ฉันคิดว่า…”
ถังซีคำราม “ฉันไม่คิดเลยว่าพวกมันจะถึงขนาดซื้อทนายความของฉัน เธอช่วยร่างพินัยกรรมให้ฉันได้ไหม ดูท่าทางว่าฉันคงไม่ต้องไปสำนักงานทนายความในวันศุกร์หน้าแล้วล่ะ ฉันจะทำพินัยกรรมใหม่ที่นี่ วันนี้เลย” เมื่อจบคำพูดเธอก็โทรเรียกอาหก
ไม่กี่นาทีต่อมาอาหกก็เข้ามาพร้อมเอกสาร ถังซีหยิบเอกสารส่งให้เหออี๋หยาง “ช่วยตรวจสอบให้ฉันหน่อยได้ไหม ถ้าไม่มีปัญหาฉันจะรับรองเอกสารที่นี่วันนี้ เผื่อว่าฉันเกิดประสบอุบัติเหตุ พินัยกรรมใหม่ของฉันจะได้มีผลทันที”
“ไม่เอาน่า เธอยังอายุน้อยมาก ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนคิดถึงเรื่องพินัยกรรมตั้งแต่ตอนนี้หรอก มันเร็วเกินไป ฉันคิดว่ากว่าพินัยกรรมนี้จะได้มีผลก็คงอีกหลายสิบปี” แต่ถึงอย่างไรเหออี๋หยางก็รับร่างพินัยกรรมนั้นมา และเริ่มอ่านอย่างละเอียด ไม่นานเขาก็พยักหน้าให้ถังซี “ไม่มีปัญหาอะไร เธอสามารถลงนามรับรองได้เลย เซียวโหรวคนนี้สำคัญกับเธอมากเลยหรือ เธอยกทรัพย์สินทั้งหมดให้กับผู้หญิงคนนี้ เพียงเพราะเขาช่วยชีวิตเธอไว้อย่างนั้นหรือ คุณปู่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของเธอหรือเปล่า”
ถังซีเลิกคิ้ว เอนพิงไปด้านหลังและมองหน้าเขา “ดีกว่านั่งมองทรัพย์สินของฉันถูกถ่ายเทไปโดยพวกที่จ้องจะเล่นงานฉัน”
เหออี๋หยางพยักหน้าและลุกขึ้นไปโทรศัพท์ ไม่นานเขาก็กลับมาโดยบอกว่าคนจากสำนักงานทนายความกำลังมา ขอให้ถังซีรอสักครู่
ทั้งหมดใช้เวลาสองชั่วโมงจึงเสร็จสิ้นกระบวนการ ถังซีรับสำเนาพินัยกรรมใหม่มาเก็บไว้ชุดหนึ่ง และเหออี๋หยางเก็บไว้ชุดหนึ่ง ถังซีขอบคุณเหออี๋หยางและกลับไปพร้อมกับพินัยกรรมฉบับใหม่ เหออี๋หยางเดินไปส่งเธอออกจากอาคารและถามว่า “ทานข้าวเที่ยงกับฉันสักมื้อได้ไหม”
ถังซีหันไปมองเหออี๋หยางแล้วยักไหล่ “ฉันต้องกลับไปบริษัท แล้วต้องเดินทางไปทำธุระเรื่องงานอีก เอาไว้คราวหน้านะ ฉันจะชวนเธอไปทานอาหารค่ำ ตอนนี้ฉันต้องไปแล้ว ค่อยเจอกันนะ”
เหออี๋หยางมองตามเธอ แล้วหันหลังเดินกลับไปยังสำนักงาน เขาก้าวไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็มีคนเรียกเขา เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นเคยเหออี๋หยางก็ขมวดคิ้ว หยุดเดิน มองไปที่คนคนนั้นพร้อมกับถามอย่างเย็นชา “เธอมาทำไมที่นี่”
ฉินซินหยิ่งดูเหมือนจะไม่สนใจท่าทีเย็นชาของเหออี๋หยาง เธอเม้มริมฝีปากแล้วเดินเข้าไปหาเขา “ฉันมาหาเธอ จะไม่เชิญฉันไปดื่มกาแฟที่สำนักงานของเธอสักแก้วเหรอ”
เหออี๋หยางมองฉินซินหยิ่งอย่างเฉยเมย หันหลังเดินออกไปขณะกล่าวอย่างเย็นชา “เธอไปดื่มกาแฟในร้านกาแฟก็ได้นี่ สำนักงานฉันคับแคบเกินไปสำหรับเธอ”
ฉินซินหยิ่งหน้าตึงขึ้นมาทันที เมื่อได้ยินคำพูดอันเย็นชาของเหออี๋หยาง เธอรีบเดินตามเขาไป “ต้องพูดจากับฉันแบบนี้ด้วยเหรอ!”
“ฉันเหรอ” เหออี๋หยางจ้องมองฉินซินหยิ่งอย่างเยือกเย็น “แล้วฉันควรพูดกับเธอยังไงดีล่ะ ต้องประจบประแจงหรือเปล่า หรือต้องออดอ้อน ฉันไม่ได้รู้สึกอยากพูดอะไรกับคนเนรคุณที่ไร้ยางอายอย่างเธอเลย!”
“เหออี๋หยาง!” ฉินซินหยิ่งจ้องหน้าเหออี๋หยาง กล่าวเสียงเข้มด้วยความโกรธ “ฉันรู้นะว่าเธอคิดยังไงกับฉัน แต่ทำไมเธอถึงทำเหมือนฉันเป็นศัตรูของเธอเสมอ ในขณะที่เธอปฏิบัติต่อถังซีอย่างดี แม้ว่าเราทั้งสองคนจะเป็นเพื่อนกับเธอมานานพอๆ กัน! ทำไมทั้งเธอทั้งถังซีถึงทำกับฉันแบบนี้!”
“เธอก็รู้เหตุผลดีนี่!” เหออี๋หยางหยุดกะทันหัน หันกลับมามองฉินซินหยิ่งแล้วกล่าวอย่างเย็นชา “ถังซีอาจไม่รู้ว่าเธอทำอะไรกับเขา แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไม่รู้ ฉันเตือนเธอแล้วว่าถังซีเป็นเพื่อนของเรา เธอไม่ควรทำอย่างนั้น แต่เธอก็ทำ…”
“แต่เธอก็ไม่ได้ห้ามฉันนี่!” ฉินซินหยิ่งเงยหน้าขึ้นมองเหออี๋หยาง และส่งเสียงคำราม “เธอก็ไม่ได้ดีไปกว่าฉันหรอก! เธอก็ยืนอยู่เฉยๆ ในความมืด มองดูถังซีถูกฉันเก็บ แต่ไม่ได้เตือนถังซีเลย เธอปล่อยให้ถังซีเข้าใจเฉียวเหลียงผิด! แล้วทั้งหมดเป็นความผิดของฉันคนเดียวงั้นเหรอ ถ้าเธอ…”
“พอแล้ว!” เหออี๋หยางขัดจังหวะ และกล่าวอย่างเยือกเย็น “ดูเหมือนว่าเราจะดื่มกาแฟด้วยกันไม่ได้หรอก ไปให้พ้น” จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในอาคาร
“ทำไมเธอไม่สารภาพรักกับถังซีเลยล่ะ อย่ามาทำตัวเป็นคนดีหน่อยเลย! ฉันรักเฉียวเหลียง ฉันก็ไล่ตามเขาอย่างกล้าหาญ อย่างน้อยฉันก็พยายามเต็มที่เพื่อให้ได้เขามา แม้จะต้องใช้เล่ห์กลทุกอย่างก็ตาม แต่เธอล่ะ! เธอซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเหมือนคนขี้ขลาด ไม่มีใครเห็นค่าสิ่งที่เธอยอมลำบากเพื่อยายนั่นหรอก ถ้าเธอเอาแต่หลบอยู่ข้างหลังแบบนี้ ถังซีเป็นคนใจร้าย ไม่มีวันเข้าใจหรอกว่าเธอรักเขามากแค่ไหน!” ฉินซินหยิ่งตะโกนไล่หลังเหออี๋หยาง เหออี๋หยางตัวแข็งขึ้นมาทันที “ถ้าเธอเอาชนะใจถังซีได้ ฉันก็คงไม่ต้อง…”
ฉันก็คงไม่ต้องมองดูเฉียวเหลียงหันหลังให้ฉันอย่างน่าอนาถแบบนี้ เขาคงมองเห็นฉันมานานแล้ว!
เหออี๋หยางกำหมัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ หลังจากฉินซินหยิ่งพูดจบ เขาก็ค่อยๆ หันกลับมา มองฉินซินหยิ่งเขม็ง แล้วเดินเข้าไปหาเธอทีละก้าวๆ มองเธอด้วยสายตาชิงชังและเหยียดหยาม กล่าวเสียงเยือกเย็นว่า “ฉินซินหยิ่ง ฉันจะบอกให้เธอรู้นะว่า ไม่มีมนุษย์คนไหนใจร้ายไปกว่าเธออีกแล้วในโลกใบนี้! ในจำนวนมนุษย์ที่ฉันรู้จัก และเท่าที่ฉันรู้มา เธอคือคนที่ใจร้ายและเนรคุณที่สุด!
“เพราะฉะนั้นเธอไม่มีสิทธิ์มาตัดสินถังซี!”