ตอนที่ 431 เจ้าเล่ห์ / ตอนที่ 432 โอ้อวดมากจะโดนฟ้าผ่า

ลิขิตฟ้าชะตารัก

ตอนที่ 431 เจ้าเล่ห์ 

 

 

 

 

 

คนหยิ่งทระนงเช่นเขาสอนมาตั้งครึ่งค่อนวันยังไม่ได้ แต่จวินอู๋เหินสอนแค่สองสามครั้งก็เป็นแล้ว แน่นอนว่าสีหน้าของเขาย่อมไม่ดีแน่ 

 

 

จวินอู๋เหินหน้าบานอย่างสาสมใจ แล้วกล่าวกับนางว่า “เจ้าจะก้มหน้ารู้สึกผิดทำไมกัน ที่เขาสอนแล้วเจ้าทำไม่ได้ไม่ได้ผิดที่เจ้า เหตุใดต้องกลัวเขาด้วย? ต่อไปเจ้าต้องทำตามที่ข้าบอก หากทำตามเขาคงทำไม่ได้แน่” 

 

 

อวี้อาเหรากลอกตาทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น เหตุใดนางจึงรู้สึกว่ากำลังถูกเขาล้างสมองอยู่ไม่มีผิด? เพียงไม่นานเขาก็โยนความผิดไปให้ฉู่ป๋าย แล้วชื่นชมตัวเขาเอง ไม่รู้ว่าตอนนั้นที่หอจุ้ยเซียนนั้น ใครกันแน่ที่เอาแต่บ่นว่าจะทำลายร้านทั้งร้านให้สิ้นซาก จนทำให้เสี่ยวเอ้อร์กลัวเสียแทบตาย 

 

 

คนที่ร่ำรวยแต่กร่างไปทั่วเช่นนี้ นางควรเรียนรู้จากเขาอย่างนั้นหรือ? ไร้สาระสิ้นดี! 

 

 

ฉู่ป๋ายปรายตามองเขา แล้วนำว่าวของตัวเองลง แต่เหมือนกับกำลังจะนำลงไปยังทิศทางที่มีว่าวของจวินอู๋เหินอยู่ ว่าวของคนทั้งสองค่อยๆ เข้ามาชิดกันเรื่อยๆ จวินอู๋เหินก็ทำราวกับรู้ความคิดของอีกฝ่าย จึงรีบหลบไปอีกทาง ว่าวตัวหนึ่งกำลังไล่กวดว่าวอีกตัวหนึ่ง จากนั้นก็โดนตามทัน ว่าวสองตัวพันกันแน่น 

 

 

จวินอู๋เหินโกรธเคืองยิ่งนัก โยนว่าวของตัวเองลงพื้นด้วยความไม่พอใจ จากนั้นก็จ้องมองฉู่ป๋ายที่ยืนอยู่ “คนแซ่ฉู่ นี่เจ้าตั้งใจใช่หรือไม่!” 

 

 

“ท่านอ๋องน้อยกล่าววาจาอะไรกัน เราไม่เห็นเข้าใจเลย” ฉู่ป๋ายเบิกตากว้างแสร้งทำเป็นเดียงสา จากนั้นก็มองไปบนฟ้าอีกครั้ง แล้วทำทีตื่นตกใจ “เหตุใดว่าวของเราจึงพันอยู่กับของเจ้าเล่า ท่านอ๋องน้อยคงไม่โกรธกับเรื่องแค่นี้หรอกใช่หรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นจริง ข้าคงต้องขออภัยจริง…” 

 

 

“เจ้าตั้งใจ!” จวินอู๋เหินเห็นท่าทีเสแสร้งก็โกรธเสียจนหน้าคล้ำ 

 

 

แกล้งโง่ เสแสร้งทั้งเพ! ใครบ้างจะไม่รู้! 

 

 

ในเมื่อฉู่ป๋ายแสร้งโง่ก็ต้องโง่ให้ถึงที่สุด “ท่านอ๋องน้อยคงไม่ได้โกรธเพียงเพราะเรื่องว่าวเช่นนี้ ในเมื่อท่านไม่ชอบใจ เราก็จะมอบว่าวของเราให้ท่านก็แล้วกัน” 

 

 

ฟังเขาพูดเช่นนี้แล้วก็ทำเอาจวินอู๋เหินดูเป็นคนร้ายกาจ จิตใจคับแคบไปเสียอย่างนั้น  

 

 

ทว่าผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เหล่านี้ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าเป็นฉู่ป๋ายที่ตั้งใจจะแก้แค้นเท่านั้น 

 

 

แต่พวกเขาจะทำอะไรได้? แน่นอนว่าคงช่วยเหลืออะไรไม่ได้ ทำได้แต่เพียงเป็นผู้ชมที่เฝ้าดูอย่างเพลิดเพลินพลางแทะเม็ดแตงโมไปด้วยเท่านั้น! 

 

 

แน่นอนว่าฉู่เกอนั้นต้องช่วยพี่ชายของตัวเองพูดอยู่แล้ว “จวินอู๋เหิน ท่านคงไม่ได้เป็นคนใจคอคับแคบถึงเพียงนี้หรอกใช่หรือไม่? ฉู่ฉู่ของข้านั้นไม่ได้ตั้งใจให้ว่าวของตัวเองพันกับว่าวของท่านเสียหน่อย หากท่านยังโกรธอยู่อีก ข้าก็จะนำว่าวของข้าให้ท่านเองก็ได้!” 

 

 

“ข้าใจคอคับแคบ? เขาไม่ได้ตั้งใจ?” จวินอู๋เหินเหมือนลูกระเบิดที่ถูกจุดติดเสียแล้ว “ดี พวกเจ้าสองคนพี่น้องกำลังร่วมกันรังแกข้าใช่หรือไม่!” 

 

 

ฉู่เกอไม่เข้าใจ “ฉู่ฉู่ของข้าไปรังแกท่านตอนไหนกัน ก็บอกแล้วว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ ชดใช้แล้วท่านก็ไม่พอใจ ไม่ใช่ว่าพันกันยุ่งแล้วจะร่อนอีกไม่ได้เสียหน่อย” 

 

 

“มีที่ตั้งเยอะตั้งแยะให้ร่อน เหตุใดต้องมาเล่นข้างๆ ข้าด้วย” จวินอู๋เหินทำหน้าโกรธแล้วยิ้มเยาะ 

 

 

“ก็ถึงบอกอย่างไรว่าไม่ได้ตั้งใจ” ฉู่เกอกะพริบตาอย่างใสซื่อ 

 

 

ทุกคำที่นางพูด ทำให้จวินอู๋เหินที่โกรธอยู่ไร้หนทางที่จะระบายอารมณ์โกรธของตัวเองได้ 

 

 

ทำได้แต่เพียงหันมามองอวี้อาเหราและฟู่เส่าชิง “เมื่อครู่นี้พวกเจ้าสองคนก็เห็น พูดอะไรแทนข้าบ้างซี” 

 

 

ทั้งสองเงียบงันไปพร้อมๆ กัน 

 

 

จวินอู๋เหินกัดฟัน แล้วมองฟู่เส่าชิง “เจ้าจะว่าอย่างไร” 

 

 

“เมื่อครู่นี้เราเอาแต่สนใจว่าวของเราเท่านั้น จะไปสนใจพวกเจ้าได้อย่างไร” ฟู่เส่าชิงแสร้งโง่งม 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 432 โอ้อวดมากจะโดนฟ้าผ่า 

 

 

 

 

 

แต่ไหนแต่ไรมาเขาเป็นคนไม่สนใจโลกอยู่แล้ว เหตุใดต้องช่วยจวินอู๋เหินพูดด้วยเล่า ทั้งยังอยู่ในบ้านของทั้งฉู่ป๋ายและฉู่เกออีกด้วย เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายเจ็บแค้นต้องเหมือนกับจวินอู๋เหินที่ถูกแก้แค้นเช่นนี้หรอก 

 

 

ยามนี้ ความกดดันและความกลัวเกรงของจวินอู๋เหินก็เพิ่มขึ้นมาก แต่เพราะยังโกรธอยู่ จึงมอบความหวังสุดท้ายไปที่อวี้อาเหรา น้ำเสียงอ่อนลงมากทีเดียว “อาเหรา เจ้าและข้าล้วนลงเรือลำเดียวกันแล้ว อย่าทิ้งข้าไว้คนเดียวไม่ดูดำดูดีเลย” 

 

 

“ข้า…” อวี้อาเหราเงยหน้าขึ้นมอง แต่เดิมนางสงสารเขาจึงอยากจะพูดความจริงออกไป แต่เมื่อมองเห็นสายตาเย็นชาที่ส่งมาของฉู่ป๋ายแล้ว ทันใดนั้นก็เปลี่ยนคำพูดในทันที “เมื่อครู่ข้ามัวสนแต่เรื่องของตัวเอง ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น” 

 

 

“เจ้า เหตุใดเจ้าถึงหูหนวกตาบอด ลืมไปแล้วหรือว่าเมื่อก่อนเขาทำร้ายเจ้าอย่างไร?” ราวกับจวินอู๋เหินถูกฟ้าผ่าเข้าที่กลางแสกหน้า ทันใดนั้นก็มีอีกาบินว่อนรอบศีรษะ ทั่วทั้งบริเวณเงียบงัน มีเพียงเสียงนกการ้องรบเร้าอยู่ข้างหู 

 

 

“ข้าไม่เห็นอะไรจริงๆ” อวี้อาเหราไม่ได้โง่ถึงขนาดจะพูดเข้าข้างจวินอู๋เหินในยามนี้ได้ 

 

 

ที่จริงก็ไม่ควรโทษฉู่ป๋ายที่แก้แค้นเขาเช่นนี้ ช่างสมใจยิ่งนัก ที่โบราณว่าเอาไว้ โอ้อวดมากจะโดนฟ้าผ่า ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลดี 

 

 

จวินอู๋เหินชี้หน้าทุกคน “ดี! ดี! ดีมากพวกเจ้า!” 

 

 

หลังจากพูดคำว่าดี เขาก็สะบัดแขนเสื้อแล้วจะเดินจากไป 

 

 

ฉู่ป๋ายไม่ได้แสดงท่าทีรำคาญแต่อย่างใด ทั้งยังเอ่ยปากไถ่ถามเหมือนเดิม “ท่านอ๋องน้อย ไม่อยากเล่นว่าวแล้วหรือ” 

 

 

“ไม่เล่นแล้ว!” จวินอู๋เหินกัดฟัน 

 

 

“แล้วว่าวของท่านเล่า” ฉู่ป๋ายเอ่ยถามอีกครั้ง 

 

 

“หากเจ้าชอบก็เอาไปสิ!” จวินอู๋เหินปล่อยสายว่าวขึ้นสูง 

 

 

ในยามที่มองเขาเดินจากไป ฟู่เส่าชิงก็เบ้ปากอย่างหมดสนุก พูดกับฉู่ป๋ายว่า “ในเมื่อเขาไปแล้ว ข้าก็ควรจะกลับแล้ว” 

 

 

“เชิญ” ฉู่ป๋ายใช้น้ำเสียงที่สุภาพพอสมควร 

 

 

ฉู่เกอมองพี่ชายตัวเองและอวี้อาเหรา เมื่อเห็นทั้งสองต่างพากันเงียบไป จึงเดินหนีไป 

 

 

ในยามนี้เอง ภายในสวนดอกเหมยเหลือเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น 

 

 

“อะแฮ่ม” อวี้อาเหรากระแอมขึ้นมาอย่างอึดอัด เพื่อลองทำลายบรรยากาศกระอักกระอ่วนนี้ 

 

 

ทว่าฉู่ป๋ายก็ยังคงไม่พูดไม่จา 

 

 

“อะแฮ่ม” อวี้อาเหราลองกระแอมไอออกมาอีกครั้ง 

 

 

ฉู่ป๋ายถึงได้เอ่ยปากขึ้นว่า “มีอะไรติดคอเจ้าอยู่อย่างนั้นหรือ”  

 

 

“ไม่มี” หน้าผากของอวี้อาเหราเผยให้เห็นเส้นเลือดเครียดเขม็ง เสียงหัวเราะนั้นดูเย็นชาเสียจนไม่รู้จะเย็นอย่างไร 

 

 

ดังนั้นจึงก้มหน้าลง ลูบคลำปุยขนบนเสื้อคลุมกันลมของตัวเอง ช่างให้ความรู้สึกอ่อนนุ่มยิ่งนัก ราวกับกำลังลูบไล้ขนจิ้งจอกอยู่ไม่มีผิด 

 

 

ฉู่ป๋ายเห็นนางก้มหน้าเงียบงัน “เมื่อครู่นี้เจ้าเรียนรู้จากจวินอู๋เหินได้ดีมาก” 

 

 

“หืม?” อวี้อาเหราชะงัก เงยหน้าขึ้นมาในทันที 

 

 

ฉู่ป๋ายก้าวเท้าขึ้นมา แล้วเคลื่อนตัวไปด้านหน้าของนาง คำพูดออกมาพร้อมกับเท้าที่ก้าวเดิน ทุกก้าวราวกับหนักแน่นขึ้นเรื่อยๆ “หรือเจ้าว่า ข้าสอนสู้เขาไม่ได้?” 

 

 

“เหมือนจะเป็นเช่นนั้น” อวี้อาเหราถอยหลังออกไปโดยไม่รู้ตัว มองใบหน้าของเขาที่ค่อยๆ เข้ามาใกล้ ในใจก็เกิดสั่นไหว พยายามเคลื่อนตัวไปข้างหลัง ใบหน้าหล่อเหลาของเขาดูงดงามถึงเพียงนี้ แต่กลับหาความอ่อนโยนไม่พบเลยแม้แต่น้อย ราวกับก้อนน้ำแข็งที่แผ่ไอความเย็นจนทำให้หนาวแทบตาย 

 

 

“เหมือนจะเป็นเช่นนั้นหรือ?” ฉู่ป๋ายเลิกคิ้ว 

 

 

อวี้อาเหราทำได้แต่เพียงก้าวถอยไปข้างหลัง เมื่อเห็นว่าหลังของนางกำลังจะชนต้นไม้เข้า ก็รีบยกมือขึ้นมากันตัวเอาไว้ “เจ้าจะทำอะไรน่ะ?” 

 

 

“ไม่ได้ทำอะไรเสียหน่อย ข้าเพียงอยากถามเจ้าเท่านั้น ว่าในใจของเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่” ฉู่ป๋ายตอบอย่างไร้เดียงสา