บทที่ 470 ผู้เป็นเลิศด้านการคุยโว

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

บทที่ 470 ผู้เป็นเลิศด้านการคุยโว
นักบวชและผู้ศรัทธาทั้งหลายต่างสับสนเป็นอย่างยิ่งในตอนนี้ พวกเขาต่างรู้สึกว่าข้อมูลที่ได้ฟังนั้นมากเกินกว่าที่สมองจะรับไว้ พวกเขาไม่เคยได้ยินได้ฟังเรื่องอย่างเช่นโลกใบเล็ก โลกใบกลาง และโลกใบใหญ่ และโลกไร้พรมแดนมาก่อน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าพวกเขาจะไม่ค่อยเข้าใจ แต่ทุกคนก็ต้องยอมรับว่าคำพูดจากปากนักบวชหนุ่มผู้นี้ฟังดูทรงพลังและลึกซึ้งอย่างยิ่ง แอล เทพเจ้าแห่งการฟื้นฟู ความอุดมสมบูรณ์ และการไถ่บาป ได้กลายเป็นเทพเจ้าที่มีระดับเหนือกว่าเทพเจ้าที่เหลือทั้งหมด

แอนฮิวซ์ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในมุมๆ หนึ่งก็รู้สึกสับสนมากไม่ต่างกัน

“นี่เรากำลังพูดถึงแอลผู้ยิ่งใหญ่องค์เดียวกันหรือเปล่า…?” เขาบ่นพึมพำ

ฟรานซิสรู้สึกขบขันขึ้นมา เขาต้องกลั้นใจไม่ให้หลุดหัวเราะออกมา ชายหนุ่มผู้นี้มีพรสวรรค์ในการเล่านิทานดีทีเดียว ถ้าหากชายหนุ่มผู้นี้ไม่อาจกลายเป็นสานุศิษย์จริงๆ ได้ในอนาคต การเป็นกวีผู้เล่าเรื่องราวก็น่าจะทำให้เขากลายเป็นตำนานได้

น็อบรู้สึกเวียนศีรษะจากเลือดที่สูบฉีดจากด้านล่างขึ้นไปสู่สมอง เขารู้สึกว่าจินตนาการของเขาถูกตีแตกเป็นเสี่ยงๆ เขาไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีคนที่คุยโวโอ้อวดได้เก่งกว่าเขา แต่แล้วก็เกิดขึ้นจริงๆ

น็อบไม่อาจเลียนแบบลูเซียนได้อีกต่อไป แม้หากลอกเลียนคำพูดของลูเซียนต่อไปอีก การโอ้อวดไปมาก็ไม่มีวันจบ เนื่องจากน็อบก็พูดได้ว่ายังมีโลกไร้พรมแดนขนาดเล็ก โลกไร้พรมแดนขนาดกลาง และโลกไร้พรมแดนขนาดใหญ่อยู่อีก แต่ก็จะเห็นได้ชัดเจนเกินไปว่าเขาขโมยทฤษฎีของลูเซียนต่อหน้าผู้ฟัง ซึ่งจะยิ่งเร่งให้เขาพ่ายแพ้ในการโต้วาทีเร็วขึ้นไปอีก โทษฐานที่ทำให้ฝูงชนจดจำเทพเจ้าแห่งดวงจันทร์ได้จากการเลียนแบบคำพูดของผู้อื่น และแบออกมาให้เห็นทั้งหมดในการโต้วาที

ความคิดเดียวกันก็ผุดขึ้นในหัวของนักบวชที่เหลือทุกคน พวกเขาต่างกันขมวดคิ้วและพยายามอย่างดีที่สุดที่จะหามุมมองอื่นมาเอาชนะคะคานทัศนคติต่อโลกของเลเวียธาน อย่างไรก็ตาม ศาสนาที่พวกเขาสังกัดก็ยังอยู่ในระดับบรรพกาล แม้หลักปรัชญาพื้นฐานอาจยังไม่ได้รับการพัฒนา ด้วยจินตนาการของนักบวชที่ถูกจำกัดด้วยตัวตนและยุคสมัย ก็ไม่เหลืออะไรให้พวกเขาใช้เป็นอาวุธในการโต้วาทีครั้งนี้

สำหรับพระแม่แห่งปฐพี เทพเจ้าแห่งปัญญา เทพเจ้าแห่งพายุ และเทวีแห่งความรัก เนื่องจากพวกเขาล้วนพ่ายแพ้ในการโต้วาทีรอบก่อน จึงรู้สึกสะใจที่ได้เห็นการตอบโต้ของนักบวชคนอื่นๆ พวกเขาต้องถูกเนรเทศออกจากหุบเขาโซลนา ก็ควรถูกเนรเทศไปด้วยกันทั้งหมด

ลูเซียนไม่รีบร้อนก่อนจะบรรยายต่อ “เทพเจ้าของข้าสร้างโลกไร้พรมแดน รักษา แล้วก็ทำลาย แต่แล้วก็เป็นอีกครั้ง หลังจากทำลาย พระองค์ก็สร้างโลกไร้พรมแดนใบใหม่ เทพเจ้าของข้าคือเทพผู้สร้าง รักษา และทำลาย พระองค์คือวัฏจักร พระองค์คือการเกิดใหม่”

…นักบวชที่เหลือทุกคนไร้คำจะโต้แย้ง

“เทพเจ้าของข้ายังเป็นผู้สร้างแดนสวรรค์อันเป็นนิรันดร์ ซึ่งอยู่นอกเหนือจากวัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิดไร้ที่สิ้นสุด สถานที่นี้เป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยความหฤหรรษ์ที่มีไว้ให้กับพี่น้องผู้ภักดีส่วนใหญ่ของเรา เทพเจ้าของเราทรงเรียกดินแดนแห่งนี้ว่า…” ลูเซียนหยุดพูดชั่วขณะ “…เรียกที่นี่ว่า ดินแดนสุขาวดี”

ลูเซียนเกือบจะยืมชื่อ ‘สวรรค์ขุนเขา’ มาใช้แล้ว แต่เขาก็ไม่อยากให้ฟรานซิสรู้สึกสงสัยขึ้นมา

ผู้ฟังก็ส่งเสียงร้องเอ็ดตะโรอย่างโกลาหล พวกเขาไม่คาดคิดว่าเทพเจ้าแห่งการฟื้นฟู ความอุดมสมบูรณ์ และการไถ่บาป ผู้มีพลานุภาพและยิ่งใหญ่เกินกว่าใคร จะยังให้ความช่วยเหลือกับพวกเขา! แต่ถ้อยคำบรรยายของลูเซียนเรียงร้อยเชื่อมโยงกันเป็นอย่างดี จนพวกเขาเริ่มเชื่อว่าเทพเจ้าแห่งการฟื้นฟู ความอุดมสมบูรณ์ และการไถ่บาปสามารถช่วยให้พวกตนหลุดพ้นจากวัฏจักรชั่วร้ายและหลุดออกจากโลกที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความวิบัตินี้ได้

พระองค์คือเทพเจ้าแห่งการไถ่บาปที่เที่ยงแท้!

ขณะที่หน้าของน็อบซีดเผือกและไม่อาจหาทางปฏิเสธได้ นีน่าหรี่ตาลงเล็กน้อยราวกับนางก็กำลังคิดอะไรอยู่

ทันใดนั้น น็อบก็กระโดดขึ้นมาจากเก้าอี้เงินแล้วก้าวยาวๆ ออกมาข้างหน้า เขาตั้งคำถามถามขึ้นเสียงดัง

“เลเวียธาน ข้าขอถามเจ้าหน่อย สมัยก่อนเทพเจ้าของเจ้าเทพเจ้าแห่งการฟื้นคืนชีพสร้างโลกขึ้นมาครั้งแรกเป็นอย่างไร! โลกไร้พรมแดนในตอนแรกเริ่มหน้าตาอย่างไร? และดินแดนสุขาวดีตอนแรกเริ่มมีลักษณะอย่างไร?”

ลูเซียนไม่คิดว่าน็อบจะตั้งคำถามเชิงวิพากษ์ขนาดนี้และถึงกลับตะลึงงันไปเป็นวินาที อย่างไรก็ตาม เขาก็เข้าใจสถานการณ์ได้โดยเร็ว ริมฝีปากของนีน่าขยับเล็กน้อย

สายตาของนักบวชคนอื่นอาจมองไม่เห็น แต่ลูเซียนก็เป็นอัศวิน เขาจึงสังเกตเห็นได้โดยง่าย

ดูเหมือนว่านักบวชของเทพเจ้าแห่งสงครามก็ไม่อาจทนนิ่งเฉยได้อีกต่อไป

“ความว่างเปล่า มีเพียงความยุ่งเหยิง และมีจุดกำเนิดของกาลและอวกาศ” ลูเซียนตั้งใจจะให้โอกาสน็อบได้โต้แย้ง การตอบโต้ที่สมบูรณ์แบบเกินไปอาจทำให้ ฟรานซิสสงสัยขึ้นมาได้

น็อบหัวเราะออกมา “ถ้าเช่นนั้นข้าขอถามเจ้า แล้ว ‘ไม่มีอะไรเลย’ มาจากไหน? ‘ความยุ่งเหยิง’ มาจากที่ใด? แล้วมีอะไรที่อยู่นอกเหนือจาก ‘ความว่างเปล่า’ และ ‘ความยุ่งเหยิง?’”

น็อบเตรียมคำตอบไว้แล้ว นั่นก็คือเทพเจ้าแห่งดวงจันทร์ผู้ยิ่งใหญ่

ผู้ศรัทธาต่างกำลังสับสน พวกเขาต้องการรู้คำตอบ พวกเขาต้องการรู้ว่าสิ่งใดยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นก่อนและอยู่นอกเหนือจาก ‘ความว่างเปล่า’

ดวงตาของฟรานซิสเป็นประกาย เนื่องจากในที่สุดเขาก็พบโอกาสตอบโต้กลับ หลังจากมองหน้าลูเซียน เขาก็ยืนขึ้นและตอบว่า “นอกเหนือจาก ‘ความว่างเปล่า’ ก็มี ‘สิ่งที่เหนือคำบรรยาย’ นั่นก็คือ เทพเจ้าของเรา!”

“สิ่งที่เหนือคำบรรยาย? มันคืออะไร?” น็อบและนักบวชคนอื่นหัวเราะเยาะคำตอบนี้

ฟรานซิสก็ตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง “สิ่งที่เรียกว่า ‘ความว่างเปล่า’ ‘ความยุ่งเหยิง’ และ ‘จุดกำเนิดของกาลและอวกาศ’ ต่างอาศัยพื้นฐานความเข้าใจของมนุษย์และยังคงอยู่ภายใต้จินตนาการของมนุษย์ แต่การดำรงอยู่ของเทพเจ้าของข้าอยู่เหนือคำนิยาม ความหมาย ความคิด ตรรกะ สาระ วิญญาณ และภาษาเหล่านั้น จึงเป็นสิ่งที่เหนือคำบรรยาย จึงเป็นเรื่องที่สุดจะพรรณนา”

คำกล่าวของฟรานซิสไม่อาจเข้าใจได้เสียยิ่งกว่าเลเวียธาน นักบวชทุกคนไม่เว้นแม้แต่นีน่าก็ไม่มีความเข้าใจในเรื่องนี้แม้แต่น้อย

ฟรานซิสยิ้ม “ข้ามาจากประเทศที่อยู่กลางทะเลทรายทางตะวันออก ในประเทศของข้า นักปราชญ์ผู้โด่งดังคนหนึ่ง ผู้มีนามว่าลูเซียน อีวานส์ เคยกล่าวไว้เช่นนี้…”

ลูเซียน อีวานส์ นักปราชญ์… ลูเซียนเกือบจะหลุดหัวเราะตัวเองออกมา แต่เขาก็กลั้นเอาไว้ได้

อย่างไรก็ตาม เหล่านักบวชและผู้ฟังจับใจความได้เพียงว่าฟรานซิสมาจากโลกตะวันออก ทุกคนต่างพากันสงสัยว่าพลังของแอลแผ่ขยายไปถึงโลกตะวันออกเชียวหรือ

“เขากล่าวไว้ว่าการสังเกตวัตถุใดๆ ในโลกนี้ของเราย่อมอาศัยร่างกายและวิญญาณของเรา ดังนั้น ข้อมูลที่เราได้รับย่อมไม่ใช่ข้อมูลที่ครบถ้วน ขอยกตัวอย่างว่าเมื่อเราเห็นแสง เราก็คิดว่าแสงไม่มีสีใดๆ แต่เมื่อเรามองแสงผ่านฟองอากาศ หรือคริสตัลเราก็จะรู้ว่าจริงๆ แล้วแสงมีสีสัน ฉะนั้นแล้ว ความเข้าใจของเราเป็นเพียงความเข้าใจของมนุษย์ และความเข้าใจของเราก็ไม่อาจพรรณนาถึงพระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ที่เที่ยงแท้ ซึ่งก็คือเทพเจ้าของข้า”

“ดังนั้น การดำรงอยู่ของเทพเจ้าของข้าจึงเกินกว่าคำนิยาม ความหมาย ความคิด ตรรกะ สาระ วิญญาณ และภาษาใดๆ แม้แต่ความคิดเรื่อง ‘ความว่างเปล่า’ ก็ยังห่างไกลจากการนิยามเทพเจ้าของเรา หรืออีกนัยหนึ่ง ความพยายามใดๆ ของมนุษย์ที่ต้องการนิยามการดำรงอยู่ของเทพเจ้าก็ถือเป็นการดูหมิ่นเทพเจ้า”

ถ้อยคำของฟรานซิสล้างความเข้าใจต่อเทพเจ้าของนักบวชทุกคนเสียใหม่ ในอดีตที่ผ่านมา ความเข้าใจต่อเทพเจ้าของพวกเขาตื้นเขินเกินกว่าจะก้าวเท้าออกจากชุดความคิดของบุคคลธรรมดา แต่… เทพเจ้าของพวกเขาซึ่งแสดงพลังและตัวตนให้สัมผัสได้เป็นครั้งคราว ก็ดูเหมือนจะห่างไกลจากมาตรฐานของความเป็นเทพเจ้า

ลูเซียนก็ยืนขึ้นและยิ้มออกมา “เทพเจ้าของข้าทั้งดำรงอยู่ และไม่ดำรงอยู่ เทพเจ้าของข้าคือความว่างเปล่า และพระองค์ก็คือทุกสรรพสิ่ง เทพเจ้าของข้าไม่อาจนิยามได้ด้วยวิธีการ คุณสมบัติ ความแตกต่าง รูปร่าง อวกาศ ข้อจำกัด หรือแนวคิดใดๆ… เทพเจ้าของข้าเป็นผู้อยู่สูงสุดตามธรรมชาติ เทพเจ้าของข้าทรงไม่ต้องการความศรัทธาหรือการบูชา”

“แต่เรามนุษย์ต่างหากที่ต้องมีศรัทธา เราต้องการความช่วยเหลือ ดังนั้น การรับรู้ของเราต่อเทพเจ้าที่เที่ยงแท้จึงกลายเป็นเทพเจ้าแห่งการฟื้นฟู ความอุดมสมบูรณ์ และการไถ่บาปในกรอบแนวคิดระดับต่ำ พระองค์คือองค์อวตารของเทพเจ้าเที่ยงแท้ องค์อวตารที่เราสามารถบูชาได้”

“เราเพียงต้องการสักการะบูชาเทพเจ้าแห่งการฟื้นฟู ความอุดมสมบูรณ์ และการไถ่บาป เราสามารถสารภาพบาปจากขั้วหัวใจ แล้วเราก็จะได้รับการคุ้มครอง เราไม่มีวันจะเข้าใจหรือพรรณนาถึงเทพเจ้าเที่ยงแท้ได้ และเทพเจ้าที่เที่ยงแท้ก็ทรงไม่ต้องการความเข้าใจหรือคำพรรณนาของเรา เราไม่มีวันแต่ต้องเทพเจ้าที่เที่ยงแท้ได้ และพระเจ้าที่เที่ยงแท้ก็จะไม่ทำอะไรกับโลกใบนี้”

ฟรานซิสพยักหน้าเห็นด้วย คำอธิบายของเลเวียธานน่าประทับใจอย่างยิ่ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นอัจฉริยะด้านเทววิทยาอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม คำอธิบายนี้ก็ยังซับซ้อนเกินกว่าจะใช้ในการเทศนา

อย่างไรก็ดี ฟรานซิสก็นึกสงสัยในตัวชายหนุ่มผู้นี้ขึ้นมาเล็กน้อยและรู้สึกว่าเขามีบางอย่างไม่ปกติ

ลูเซียนยิ้มให้กับตัวเองขณะเขาอธิบาย การดำรงอยู่ที่ไม่ได้รับผลกระทบและไม่สร้างผลกระทบต่อสิ่งใด การดำรงอยู่ที่การอภิปรายใดๆ ก็ไร้ความหมาย ตามทฤษฎีมีดโกนของออคคัม การดำรงอยู่เช่นว่าไม่แม้แต่จำเป็นต้องมีอยู่ หากการดำรงอยู่ของเทพเจ้าเป็นเช่นนั้นจริง ลูเซียนก็สามารถสรุปได้อย่างปลอดภัยว่าเทพเจ้าสิ้นไปแล้ว

สิ่งใดก็ตามที่มีอิทธิพลต่อโลกใบนี้ย่อมต้องเหลือร่องรอยไว้ไม่มากก็น้อย และต้องสามารถสำรวจและอธิบายได้

ฝูงชนที่กำลังสับสนจับประเด็นหลักในคำกล่าวของลูเซียนได้ ไม่ว่าอะไรอย่างไรก็ตาม พวกเขาต้องเชื่อมั่นศรัทธาในเทพเจ้าแห่งการฟื้นฟู ความอุดมสมบูรณ์ และการไถ่บาป เทพเจ้าองค์นี้มีพลานุภาพมากเหลือเกิน!

นีน่า นักบวชของเทพเจ้าแห่งสงคราม ไม่อาจหาทางใดมาคัดค้านได้ นางรู้สึกเสียวสันหลังวาบ มือขวาของนางกำแน่น ในฐานะผู้ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งสงคราม นางไม่ได้ช่ำชองในการพูดตอบโต้อย่างชาญฉลาด แต่อย่างไรเสีย นางก็มีอำนาจที่จะกำจัดศัตรูให้พ้นทาง

ลูเซียนรู้สึกว่าสายตาที่ฟรานซิสมองเขาเปลี่ยนไป เขาถึงรีบเปลี่ยนวิธีการพูดอย่างรวดเร็ว “อย่าแม้แต่พยายามจะก้าวล่วงเทพเจ้าที่เที่ยงแท้ มิฉะนั้นท่านอาจต้องรับผลจากพลังที่ยากจะหยั่งถึงและกลายเป็นปีศาจไร้นามในความทุกข์ระทมชั่วนิรันดร์”

ผู้ฟังซึ่งรวมถึงพวกนักบวชต่างก็หยุดความคิดของตนในทันทีโดยไม่รู้ตัว ประโยคนั้นช่างฟังดูน่ากลัวเหลือเกิน!

อย่างไรก็ตาม หลังจากคิดใคร่ครวญดูแล้ว พวกเขาก็เชื่อว่าเทพเจ้าผู้ทรงพลังที่เที่ยงแท้ก็ควรจะเป็นเช่นนี้

ฟรานซิสส่ายศีรษะเบาๆ เขาคิดว่าชายหนุ่มผู้นี้และความเชื่อที่แสดงให้เห็นก็ยังไม่อาจก้าวข้ามการใช้การข่มขู่ให้เกิดความกลัวที่เห็นได้ทั่วไปในศาสนายุคบรรพกาลต่างๆ เข้ายังคงถูกจำกัดไว้ด้วยสภาพแวดล้อมโดยรอบ ช่างน่าเสียดายความสามารถของเขาจริงๆ…

ขณะเฝ้าสังเกตจากระยะไกล แอลกำลังมองเวทีการโต้วาทีอย่างใจจดใจจ่อ เปลวไฟในดวงตาของเขาส่องแสงวูบวาบอย่างสงบ ซึ่งแฝงด้วยพลังแห่งการชำระล้าง

แล้วเขาก็พูดพึมพำกับตัวเอง

“นั่นข้า… หรือ?”

“ข้ามีพลังขนาดนั้นเชียว?”