บทที่ 471 “ข้าคือใคร”
บนเวทีโต้วาทีด้านหน้าอารามเทพเจ้าแห่งสงคราม นักบวชคนอื่นๆ ต่างนิ่งเงียบไปหลังจากได้ฟังถ้อยคำของลูเซียน

ลูเซียนมองไปรอบๆ ขณะสวมเสื้อคลุมสีขาวเรียบๆ ก่อนจะหันมาพูดกับนีน่าด้วยท่าทีเป็นปกติสุข “ด้วยความเคารพขอรับท่านนักบวชหญิงนีน่า ผลการโต้วาทีควรจะประกาศได้แล้วหรือไม่ขอรับ ดูเหมือนว่าจะมิมีผู้ใดอยากโต้แย้งอีกต่อไปแล้วนะขอรับ”

นีน่าสะดุ้งเล็กน้อยกับคำถามของลูเซียน นางเหลือบมองลูเซียนด้วยสายตาเย็นชาก่อนจะหันไปทางนักบวชคนอื่นๆ “พวกเขาเห็นดีด้วยหรือไม่”

น็อบกำลังจะแย้ง แต่เขามิอาจหาเหตุผลได้เลยสักข้อ ถ้อยคำที่ผุดขึ้นในหัวเขามีเพียงสิ่งที่ลูเซียนเพิ่งพูดมาเท่านั้น

สมองของเขาหยุดทำงานไปแล้ว เมื่อไร้ซึ่งการชี้นำจากสมอง ปากเขาจึงหลุดโพล่งคำว่า “หะ… เห็นด้วยขอรับ…”

เทวีแห่งความรักและเทพเจ้าแห่งปัญญาผู้พ่ายแพ้ไปในรอบแรกต่างเห็นดีเห็นงามด้วยความหดหู่ใจ

หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นักบวชคนอื่นๆ ก็ตอบว่าเห็นด้วยเช่นกัน วันนี้ย่อมต้องมีผู้ชนะสามคน ดังนั้นพวกเขายังมีโอกาสอยู่

นีน่าหลุบตาลงปิดซ่อนความรู้สึก จากนั้นจึงเอ่ยเสียงเรียบเย็น “ตามคำพูดของเทพสูงสุดแห่งสงคราม ผู้ชนะการโต้วาทีในวันนี้จะมีสามคน เทวสถานของพวกเขาจะได้รับรางวัลเป็นสิทธิในการอยู่ภายในหุบเขาโซลนาและเผยแพร่คำสอน พวกเขาคือ…”

นางนำคำว่า ‘สูงสุด’ มาใช้กับเทพเจ้าแห่งสงครามโดยไม่รู้ตัว

ทุกคนต่างกลั้นหายใจและเฝ้ารอผลการตัดสินสุดท้ายอย่างตกประหม่า นั่นรวมถึงผู้ฟังด้านล่าง ราวกับว่าการหายใจเพียงหนึ่งครั้งอาจปัดเป่าผลลัพธ์ดีๆ ออกไป

“…เทพเจ้าแห่งการฟื้นฟู ความอุดมสมบูรณ์ และการไถ่บาป” นีน่าประกาศผลที่ไม่น่าประหลาดใจสักนิด

เมื่อเห็นว่าเลเวียธานและฟรานซิสนิ่งสงบเพียงใด ผู้ฟังในที่นั้นจึงเริ่มเชื่อในการมีอยู่ของเทพเจ้าแอลไม่มากก็น้อย

ท่าทีของนักบวชสามารถแสดงได้ถึงความมั่นใจที่มีต่อเทพเจ้า เช่นเดียวกับพลังของเทพเจ้านั้นๆ

“เทพเจ้าแห่งดวงจันทร์”

น็อบคุกเข่าลงกับพื้นและก้มจูบพื้นพลางสวดภาวนาและสรรเสริญเทพเจ้าของเขาด้วยความตื่นเต้นดีใจเป็นล้นพ้น

“…และเทพเจ้าแห่งยมโลก”

วอลแคน นักบวชของเทพเจ้าแห่งยมโลก โห่ร้อง ก่อนจะกล่าวสรรเสริญเทพเจ้าแห่งยมโลกและขอบพระคุณเทพเจ้าแห่งสงคราม

ส่วนนักบวชที่เหลือต่างมีสีหน้าซีดเซียวอย่างยิ่งในตอนนี้

“ก่อนพระอาทิตย์ตกดินวันพรุ่งนี้ พวกเจ้าที่เหลือจะต้องออกไปจากหุบเขา ผู้ศรัทธาทุกคนต้องเปลี่ยนความเชื่อ มิเช่นนั้นพวกเขาจักถูกเนรเทศเช่นกัน!” คำพูดของนีน่าทั้งเย็นชาและโหดเหี้ยม

“…!” นักบวชและผู้ฟังต่างมองไปทางนีน่าด้วยความตกตะลึงและโกรธเกรี้ยว แม้เหล่านักบวชจะรู้ว่าพวกเขาต้องไปจากที่นี่ แต่พวกเขาไม่คาดคิดเลยว่าพวกตนจะไม่สามารถรักษาเหล่าผู้ศรัทธาเอาไว้ได้

หุบเขาโซลนาคือผืนดินแสนอุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าผู้ใดที่ยินดีทำงานหนักย่อมหาเลี้ยงตนเองได้ ทันทีที่ออกไปจากหุบเขา สิ่งที่รอพวกเขาอยู่ในป่ารกชัฏย่อมไม่น่าอภิรมย์ ดังนั้น เหล่านักบวชจึงเข้าใจได้ในทันทีว่าตอนนี้พวกตนคงจะสูญเสียผู้ศรัทธาไปเกือบหมด

ทว่า ในฐานะนักบวช พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น จำต้องยึดถือตามความเชื่อเดิม มิเช่นนั้นพวกเขาอาจถูก ‘เมล็ดพันธุ์แห่งวิญญาณ’ ภายในตัวกลืนกิน

สายตาเดือดดาลมากมายไม่ได้ทำให้นีน่ารู้สึกอะไร นางค่อยๆ ยกมือขวาขึ้น กองทหารก็พลันชูอาวุธโลหะสีดำขึ้น ดาบของเหล่าทหารก่อเป็นรูปป่าโลหะดำหนาแน่นที่สะท้อนประกายเยียบเย็น

ภาพนั้นเตือนให้นักบวชคนที่เหลือระลึกได้ว่านีน่ามีพลังแข็งแกร่งเทียบเท่าเทพเจ้าของพวกตน เมื่อคิดถึงเมืองโปลิทาวน์ พวกเขาก็ก้มศีรษะและลงไปจากเวที

จากนี้ไปพวกเขาต้องเริ่มร่อนเร่พเนจร

นีน่าไม่สนใจนักบวชที่กระจายตัวออกไป นางกล่าวกับลูเซียน น็อบ และวอลแคน “การเผยแพร่คำสอนของพวกเจ้าต้องอยู่ภายใต้กฎที่ทางอารามเทพเจ้าแห่งสงครามตั้งขึ้น มิเช่นนั้นพวกเจ้าก็จะถูกเนรเทศเช่นกัน”

จากนั้นนางก็หมุนกายจากไป มิมีการเฉลิมฉลองหรือให้กำลังใจใดๆ

ขณะเฝ้ามองนีน่าเดินจากไป ฟรานซิสก็ส่งข้อความลับมาหาลูเซียนด้วยท่าทีสบายๆ “ดูเหมือนว่าท่านนักบวชหญิงผู้งดงามจะคิดสังหารเราแล้ว หรือข้าควรต้องบอกว่า เทพเจ้าแห่งสงครามคิดจะสังหารเราดีเล่า มิเช่นนั้นเราคงไม่มีทางได้รับการปฏิบัติด้วยเช่นนี้ บางทีคำบรรยายถึงท่านแอลผู้ยิ่งใหญ่ของเราอาจทำให้พวกเขารู้สึกไม่ปลอดภัย…”

หัวข้อการสนทนานี้ค่อนข้างเคร่งเครียด แต่น้ำเสียงฟราสซิสกลับฟังไม่เหมือนกำลังเคร่งเครียดอยู่เลย

ลูเซียนยังคงแสดงบทบาทของเขาได้ดี ลูเซียนแสดงท่าทางตกตะลึงเล็กน้อยให้เหมาะสมกับตัวตนในตอนนี้ ก่อนจะถามกลับไป “เช่นนั้นเราควรทำเช่นไรดีขอรับ”

“ค่อยหารือกันในภายหลัง สถานการณ์อาจเปลี่ยนก็ได้” ฟรานซิสเดินนำลูเซียนเพื่อไปพบแอล เจคอป และแอนฮิวซ์ที่รออยู่ในโรงแรม

ลูเซียนพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม เขานึกสงสัยว่าฟรานซิสจะรอให้นักบวชที่เหลือลงมือก่อนหรืออย่างไร

ทันทีที่พวกเขาลงมาจากเวที เหล่าผู้ศรัทธาก็เข้ามารายล้อม ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความวาดหวังที่จะได้รับการไถ่บาป

พวกเขาต่างเป็นผู้ศรัทธาใน เทพเจ้าแห่งไฟและการทำลาย ตอนที่ได้ยินคำพูดของลูเซียน พวกเขาก็นึกชอบเทพเจ้าแห่งการฟื้นฟู ความอุดมสมบูรณ์ และการไถ่บาปมากกว่าอะวันโดผู้โหดเหี้ยม เพราะสิ่งที่พวกเขาโหยหามาตลอดก็คือความหวังในการขึ้นไปอยู่บนดินแดนพิสุทธิ์ แทนที่จะถูกขับเคลื่อนด้วยความหวาดกลัวต่ออะวันโดผู้กระหายเลือด

ฟรานซิสแย้มยิ้มแต่ไม่เอ่ยอะไร เขารอสังเกตการณ์ปฏิกิริยาของลูเซียนและเขาก็ไม่คิดปิดบังเจตนา

ลูเซียนกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลปลอบโยน “ท่านแอลผู้ยิ่งใหญ่แสดงความเมตตาอยู่เสมอ ท่านเทพเจ้าไม่มีทางทิ้งโลกนี้ให้มีแต่ความเจ็บปวด กลับกัน ท่านเทพเจ้าเต็มใจจะเป็นสะพานคอยเชื่อมระหว่างสองโลกเพื่อช่วยเหลือพวกเจ้าจากวัฏจักรแห่งความเจ็บปวดไร้ที่สิ้นสุด ท่านเทพเจ้ามีอำนาจสูงสุด ตราบใดที่พวกเจ้าภาวนาและสารภาพด้วยใจศรัทธาและกระทำทุกอย่างด้วยความเมตตา พระองค์ย่อมได้ยินความหวังของเจ้า

“นี่ยังเป็นอำนาจสูงสุดของท่านเทพเจ้าอีกด้วย เมื่อเจ้าเชื่อ พระองค์ก็จะอยู่ในใจเจ้า ข้ามิได้เหนือกว่าพวกเจ้าคนใดเลย กลับกัน ข้าเพียงได้ยินคำสั่งของพระองค์ก่อนหน้าพวกเจ้า ข้าจะเป็นผู้ให้การชี้แนะ คอยนำทางเจ้าไปพบกับท่านแอลผู้ยิ่งใหญ่ด้วยหัวใจของเจ้าเอง จากนั้นพวกเจ้าก็จะได้รับการช่วยเหลือ ข้าหาใช่นักบวช แต่เป็นผู้บุกเบิก”

ลูเซียนมีหลักการเป็นของตนเอง เขาไม่เคยคิดอยากหารายได้จากผู้ศรัทธาเหล่านี้ แม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาใช้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้ตนเองบรรลุเป้าหมาย แต่เขาก็ไม่เคยคิดเปลี่ยนตัวเองเป็นผู้ฉกฉวยผลประโยชน์จากผู้อื่นเลย

หากว่าฟรานซิสและแอนฮิวซ์ไม่ได้อยู่ตรงนี้ด้วย ลูเซียนคงจะบอกกับคนอื่นๆ ถึงความเข้าใจของเขาเกี่ยวกับอภิอัตตา อัตตา และตัวตนภายในไปแล้ว

แต่แล้วลูเซียนก็นึกสงสัยว่าเขาพูดถึงความสงบสุขภายในจิตใจมากเกินไปหรือไม่ บางทีเขาอาจกำลังพยายามก่อร่างสร้างบางอย่างที่คล้ายกับศาสนาพุทธอยู่ก็เป็นได้

เมื่อได้ยินคำพูดของลูเซียน เหล่าผู้ศรัทธาก็แทบจะร้องไห้โฮ พวกเขาไม่เคยได้ยินอะไรเช่นนี้จากนักบวชคนใดมาก่อน ส่วนใหญ่แล้ว พวกเขาจะถูกข่มขู่หรือทำให้กลัวมากกว่า

ฟรานซิสรู้สึกขบขันเล็กน้อย ในสายตาเขา เลเวียธานเป็นคนหนุ่มที่ใสซื่อมากๆ ซึ่งมาเข้าร่วมกับสภาภาวนาลับแต่ยังคงมีชุดความเชื่อเป็นของตนเอง แต่มันก็สมเหตุสมผลสำหรับฟรานซิส เพราะชายหนุ่มผู้ที่เพิ่งกล่าวสุนทรพจน์ได้เช่นนั้นย่อมต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามแบบของตนเองอยู่แล้ว

“ท่านผู้บุกเบิก เราควรจะสวดภาวนาอย่างไรดีเล่า เราจะมองเห็นท่านแอลผู้ยิ่งใหญ่ในใจเราได้อย่างไรกัน” หนึ่งในผู้ศรัทธาเอ่ยถาม

ลูเซียนแย้มยิ้มอ่อนโยน “แอนฮิวซ์ ผู้บุกเบิกอีกท่านของเราจะเป็นผู้บอกบทสวดภาวนาให้พวกท่านในภายหลัง แต่ก่อนจะสวดภาวนา พวกเจ้าต้องเรียนรู้วิธีการวางอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดลงก่อน ไม่ว่าจะเป็นความสุข ความเจ็บปวด หรือความกังวลใดๆ”

บทสวดภาวนาจะต้องปรับเปลี่ยนหลังจากการโต้วาทีในวันนี้

“วางอารมณ์ความรู้สึกลง…” บรรดาผู้ศรัทธาทวนคำอย่างครุ่นคิด

“ง่ายมาก เพียงสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วถอนหายใจออกมา… เช่นนั้นแหละ เพื่อที่จะปลดปล่อยอารมณ์ออกมา…” ลูเซียนแสดงให้พวกเขาดู

ลูเซียนไม่อาจอยู่ที่นี่นานเกินไป ดังนั้น หลังจากทิ้งเหล่าผู้ศรัทธาไว้ให้กับแอนฮิวซ์ เขาก็ตรงกลับไปยังโรงแรมพร้อมกับฟรานซิสด้วยเกวียนที่ใช้วัวเทียม

“เพื่อที่จะช่วยเหลือพวกเขา เราต้องช่วยเหลือจิตใจของพวกเขาก่อน” ฟรานซิสพยักหน้าอยู่ในเกวียนขณะเดินทางกลับ เขาแย้มยิ้มพลางเอ่ยว่า “ข้านึกว่าการโต้วาทีจะเป็นโอกาสสำหรับการอภิปรายความเป็นเทพเจ้าและความเป็นมนุษย์ แก่นสารขั้นต้นและสากล เหตุผลและสิ่งเหนือธรรมชาติ แต่มันกลับกลายเป็นการอวดโอ่เป็นเสียกระนั้น เจ้าทำได้ดีมาก”

“ท่านฟรานซิส ท่านได้สอนสั่งข้ามากมาย” ลูเซียนกล่าว “แต่ในเมื่อเทพเจ้าแห่งสงครามมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย เราจึงไม่อาจเล็งเป้าไปที่เทพเจ้าแห่งดวงจันทร์ได้อีกต่อไป”

ฟรานซิสส่ายศีรษะ “นี่ถือเป็นโอกาสอย่างหนึ่ง แล้วเจ้าจะได้เห็น”

เมื่อเกวียนเกือบจะมาถึงโรงแรม กระดาษแผ่นหนึ่งก็พุ่งผ่านผ้าม่านเข้ามา มันรวดเร็วดั่งลูกธนู และพุ่งเฉียดใบหน้าลูเซียนไปเพียงหนึ่งนิ้ว

ในตอนนั้นเอง ฟรานซิสยกมือขวาขึ้นมารับกระดาษอย่างง่ายดาย

ลูเซียนหรี่ตาลงเล็กน้อย ฟรานซิสคงจะต้องมีพลังระดับสูงเป็นอย่างน้อย

ใครบางคนบนถนนอุทานด้วยความประหลาดใจอย่างแผ่วเบาก่อนจะหายตัวไปกับฝูงชน

ราวกับว่าฟรานซิสกำลังรอกระดาษก้อนนี้อยู่ เขาไม่แม้แต่จะตรวจสอบดูก่อนจะเปิดออกอ่านด้วยซ้ำ หลังจากอ่านข้อความในนั้น เขาก็ยิ้มกริ่ม “มาแล้วล่ะ”

ลูเซียนรับกระดาษมาก็เห็นข้อความว่า

‘นีน่า หัวหน้านักบวชของเทพเจ้าแห่งสงคราม ได้ออกคำสั่งกับเทพเจ้าแห่งดวงจันทร์และเทพเจ้าแห่งยมโลก บอกให้พวกเขาโจมตีเจ้าในคืนนี้ เพื่อบังคับให้ท่านแอลผู้ยิ่งใหญ่ปรากฏกาย และพวกเขาจะได้สังหารท่านแอลผู้ยิ่งใหญ่ คนของหนึ่งในหกเทพเจ้าที่เหลือที่สามารถสร้างผลงานได้มากที่สุดจะได้ครอบครองสิทธิที่ว่างลง ทว่า ข้าเต็มใจจะร่วมมือกับเทพเจ้าแห่งการฟื้นฟู ความอุดมสมบูรณ์ และการไถ่บาปมากกว่า เพราะเทพเจ้าแห่งสงครามเป็นผู้กดขี่ที่คาดเดาอะไรไม่ได้เลย หากว่าท่านแอลผู้ยิ่งใหญ่ตกลง เราจะไปพบกันที่ตรงกลางแม่น้ำนอกเมืองก่อนตะวันตกดิน’

ที่ท้ายกระดาษมีสัญลักษณ์ของดวงอาทิตย์ประทับอยู่

“ร่วมมืองั้นรึ หรือว่ากับดักกันแน่” ลูเซียนถาม แสร้งทำเป็นตื่นเต้นระคนสับสน

ฟรานซิสยักไหล่ “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรกันเล่า เอาล่ะ เราเข้าไปในห้องก่อนเถิด”

ลูเซียนเดินเข้าไปในห้องก็เห็นแอลกำลังยืนอยู่ข้างหน้าต่างโดยที่ร่างกายห่อหุ้มด้วยเสื้อคลุมสีขาว ท่าทางสง่างามของเขาดูน่าเกรงขามราวกับเทือกเขาใหญ่ ขณะนี้แอลดูต่างออกไปจากเดิม

แอลหันกลับมาในขณะที่ลูเซียนยังคงมึนงงอยู่เล็กน้อย ตอนนี้ในดวงตาแอลมิได้มีดวงไฟอยู่อีกต่อไป กลับดูลึกล้ำดำมืดดั่งความตาย แอลฉีกยิ้ม “จวบจนวันนี้ที่ข้าได้ฟังการโต้วาที ในที่สุดข้าก็ได้ตระหนักว่าแอลในอดีตหาใช่แอลที่แท้จริง ตอนนี้ ในที่สุดข้าก็ตื่นขึ้นจากความโกลาหลและความคลุมเครือ”

ลูเซียนและฟรานซิสตะลึงงัน

……………………………..