บทที่ 472 การคาดคะเนและทดลอง

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

บทที่ 472 การคาดคะเนและทดลอง
ลูเซียนพูดอะไรไม่ออก เมื่อครู่เขาเพียงพูดอวดโอ่เท่านั้น

การที่นักบวชคนอื่นๆ และนีน่าเชื่อในคำพูดเขาหาใช่เรื่องประหลาดอะไร เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าอะไรคือความจริง แต่ทว่า ลูเซียนไม่อยากจะเชื่อว่าตัวแอลเองจะถูกคำกล่าวนั้นโน้มน้าวให้เชื่อ

ตามความเข้าใจของลูเซียน คำพูดของเขาควรจะเป็นเหมือนมุกตลกสำหรับแอล

เขาพยายามอย่างหนักในการยอมรับความเปลี่ยนแปลงของแอล บอกตัวเองซ้ำๆ ว่าแอลคือหนึ่งในพระเจ้าเทียมเท็จที่ดื้อรั้นและบ้าคลั่งตามบันทึกของสภาเวทมนตร์และการรักษาที่ได้ผลสำหรับพระเจ้าเทียมเท็จเหล่านี้ก็คือการใช้ไฟฟ้าบำบัด แต่ลูเซียนยังคงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับแอลกันแน่

ลูเซียนสงสัยว่าแอลถึงกับมีพลังอำนาจมากขึ้นด้วยหรือไม่

มันไม่เป็นไปตามวิทยาศาสตร์ ไม่สิ ไม่เป็นไปตามอาร์คานาศาสตร์เลยสักนิดสำหรับลูเซียน โชคดีที่เขาเตรียมใจมาพอควรสำหรับการเปลี่ยนแปลงผิดปกติใดๆ ก็ตามภายในอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ หลังจากสงบจิตใจลง เขาก็เริ่มสังเกตปฏิกิริยาของแอลและจดรายละเอียดทั้งหลายลงในห้องสมุดห้วงจิต

ลูเซียนลอบมองไปทางฟรานซิสที่ยืนอยู่ข้างกาย และก็ได้เห็นว่าฟรานซิสกำลังมองมาทางเขาพร้อมกับรอยยิ้มมึนงง เห็นได้ชัดว่าฟรานซิสเองก็ประหลาดใจเหมือนกับลูเซียน แต่ในวินาทีถัดมา ฟรานซิสก็ดูเหมือนจะยอมรับมันได้และหันกลับไปจับตามองแอลอย่างตั้งอกตั้งใจด้วยบรรยากาศคุ้มคลั่งที่แผ่ออกมาเล็กน้อย

ลูเซียนพอจะเข้าใจว่าฟรานซิสกำลังคิดอะไรอยู่ หากว่าฟรานซิสเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านศาสนศาสตร์และปรัชญาดังที่กล่าวอ้าง การเปลี่ยนแปลงของเทพเจ้าย่อมจุดประกายความสนใจเขาอย่างแน่นอน และนี่ก็อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมฟรานซิสจึงเลือกที่จะนำเสนอแอลโดยใช้ทฤษฎีส่วนหนึ่งของพระเจ้าแห่งสัจธรรม

แต่หากเป็นเช่นนี้ ลูเซียนก็ยิ่งสับสนว่าฟรานซิสมาจากที่ใดกันแน่ ผู้ที่มีทั้งพลังอำนาจและความเข้าใจลึกซึ่งในศาสนศาสตร์ส่วนใหญ่จะมาจากศาสนจักร แต่จนถึงตอนนี้ ฟรานซิสกลับคอยแต่จะประพฤติตัวดั่งผู้ที่ดูหมิ่นศาสนาอย่างเต็มที่

ลูเซียนถอนสายตากลับมาแล้วถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “เทพเจ้าแห่งการฟื้นฟู ความอุดมสมบูรณ์ และการไถ่บาปผู้ยิ่งใหญ่ ข้าไม่ค่อยเข้าใจ…”

แอลกล่าวด้วยท่าทางสงบนิ่งและใบหน้ายิ้มแย้มดังเดิม “หากพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ข้าได้ค้นพบตัวตนที่แท้จริง ข้าได้เห็นการมีอยู่ที่ไร้คำพรรณนาใดของจักรวาลและภาพจำลองของมันบนโลกแห่งวิญญาณและโลกคนเป็น ไม่ว่าจะเทพเจ้าแห่งไฟและการทำลายหรือเทพเจ้าแห่งการฟื้นฟู ความอุดมสมบูรณ์ และการไถ่บาป ต่างก็มีต้นกำเนิดเดียวกัน จากการมองเห็น รับรู้ และเชื่อมั่นของมนุษย์ ภาพจำลองจึงมีหลากหลายรูปแบบ แต่มีเพียง ‘ตัวตน’ เดียวเท่านั้น ข้าได้ค้นพบตัวตนที่แท้จริงของข้า และตอนนี้ข้าก็สามารถควบคุมได้ทั้งอะวันโดและแอล ทั้งสองคือสองรูปร่างที่ผสานเข้าด้วยกัน”

“ท่านเทพเจ้า ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” ฟรานซิสถามด้วยความเป็นห่วง ทว่ามุมปากเขากลับกระตุกขึ้นโดยไม่ให้ผู้ใดเห็น

“ข้ารู้สึกดี ข้ารู้สึกดีกว่าครั้งไหนๆ” แอลตอบด้วยความมั่นใจเปี่ยมล้น

ลูเซียนรู้สึกว่าแอลอาจต้องกินยารักษาโรคสักอย่าง ในสายตาเขา ดูเหมือนว่าแอลคนปัจจุบันจะสร้างบุคลิกที่สามขึ้นมาเพื่อควบคุมสองบุคลิกก่อนหน้า

เมื่อเห็นว่าเลเวียธานและฟรานซิสยังมีสีหน้าเป็นกังวล แอลจึงลอบถอนหายใจกับตนเอง ไม่ว่ามนุษย์จะชาญฉลาดเพียงใด สติปัญญาของพวกเขาก็ยังห่างไกลจากเหล่าเทพเจ้าผู้แข็งแกร่ง ดังนั้นแอลจึงตัดสินใจแสดงพลังให้เห็น

แอลทำให้ทั้งห้องมืดลง เปลี่ยนทั้งพื้นที่ให้กลายเป็นมิติแห่งความตาย หมอกสีดำหนาพวยพุ่งขึ้น ภายในนั้นมีปีศาจซ่อนตัวอยู่ ซากศพเน่าเปื่อยทำให้ผืนดินได้รับสารอาหาร พืชพรรณนานาชนิดบนพื้นในห้องเติบโตอย่างบ้าคลั่ง ในขณะที่บรรยากาศเริ่มกลายเป็นเงียบงันและสงบสุข

การฟื้นฟู ความอุดมสมบูรณ์ และการไถ่บาป… แอลหาใช่ร่างอวตารของเทพเจ้าแห่งไฟอีกต่อไป ในตอนนี้เขาได้กลายเป็นเทพเจ้าแห่งการฟื้นฟู ความอุดมสมบูรณ์ และการไถ่บาป ผู้ที่พลังเลื่อนขั้นขึ้นไปยังระดับแปด เทียบเท่าอัศวินอาภา แต่แอลยังคงอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์ พลังที่เขาใช้ได้ในตอนนี้ควรจะอยู่ในระดับเจ็ด

เทวภาพของแอลได้เปลี่ยนไปแล้ว มันเป็นเพราะการตื่นรู้ของตัวแอลเองใช่หรือไม่ หรือเป็นเพราะเทพเจ้าแห่งการฟื้นฟู ความอุดมสมบูรณ์ และการไถ่บาป เริ่มมีผู้ศรัทธาเลื่อมใสเพิ่มขึ้นแล้วกันแน่

ลูเซียนจดโน้ตลงไปอย่างระมัดระวัง บันทึกทุกอย่างที่เห็นพร้อมกับออกความเห็นไว้ข้างๆ กัน

‘หากเป็นอย่างแรก เช่นนั้นโลกนี้ก็บ้าคลั่งยิ่งกว่าที่ข้าคิดไว้ เพราะการเปลี่ยนแปลงนั้นคล้ายกับโลกแห่งปัญญาของเราแต่ดูจะผิดปกติกว่ามาก และมันหมายความว่าเส้นทางของอาร์คานาศาสตร์ยังคงทอดยาวอีกไกล แต่หากเป็นอย่างหลัง เช่นนั้นระบบในทางทฤษฎีเกี่ยวกับโลกนี้ก็สามารถสร้างขึ้นได้โดยใช้ข้อสันนิษฐานต่างๆ ที่ยังไม่ผ่านการทดลองในที่นี้ แต่ว่า ส่วนสำคัญยังหาไม่พบ ต้องระมัดระวังกับการสำรวจเพิ่มเติม ความยโสโอหังจะทำให้ศีรษะระเบิดได้’

‘หากว่าข้อสันนิษฐานอย่างแรกถูกต้อง เช่นนั้นโลกนี้ก็อาจดำเนินไปภายใต้หลักการมานุษยวิทยาที่เข้มแข็ง[1]’

‘หากเป็นอย่างหลัง ก็สามารถตั้งข้อสันนิษฐานได้ว่า มนุษย์ทุกคนมีพลังจิต แต่บางคนมีพลังแข็งแกร่งกว่า ในขณะที่บางคนมีพลังค่อนข้างน้อย ส่วนกลุ่มที่มีพลังมากกว่าระดับทั่วไปจะสามารถใช้การเข้าฌานเพื่อควบคุมและใช้พลังจิต ดังนั้นจึงได้กลายเป็นนักเวท สำหรับผู้ที่ไม่มีพรสวรรค์ในด้านพลังจิตและไม่มีเงินพอหรือหาน้ำยากระตุ้นพลังไม่ได้ พวกเขาก็จะทำตามคำสั่งและคำชี้แนะที่เหมือนๆ กันจากเทวสถานและสวดภาวนา ดังนั้นเวลาที่พวกเขาสวดภาวนา พลังจิตก็จะปรับให้เป็นคลื่นความถี่เดียวกันและยังมารวมตัวกันอีกด้วย’

‘หากว่าเทพเจ้ามีเอกลักษณ์แยกออกมาอยู่แล้ว เช่นนั้นพลังจิตชนิดพิเศษนี้ หรือควรจะเรียกว่าพลังแห่งศรัทธา ก็จะมารวมตัวกันที่ตัวเทพเจ้า ความปรารถนาแต่ละอย่างสร้างเทวภาพที่แตกต่างกันไป และแต่ละเทวภาพก็ใช้พลังจิตชนิดพิเศษคนละอย่างกันเพื่อให้มีความสามารถคล้ายเวทมนตร์คาถาที่สอดคล้องกันและเสริมพลังให้กับพวกเขาเอง’

‘นี่อาจเป็นคำอธิบายที่เหมาะสมว่าเพราะเหตุใดศาสนจักรจึงต้องการผู้ศรัทธา แต่หากว่าพระเจ้าแห่งสัจธรรมมีอยู่จริง แล้วมีพลังแข็งแกร่งถึงเพียงนั้น เหตุใดสภาเวทมนตร์จึงยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ เหตุใดพระเจ้าแห่งสัจธรรมจึงยอมให้ศาสนจักรแบ่งแยกเป็นสองฝ่าย เหตุใดจึงมีโลกแห่งปัญญาอยู่ เหตุใดพระเจ้าแห่งไอน้ำจึงไม่สามารถมีตัวตนได้แม้ว่าจะมีคนแคระมากมายเป็นผู้เลื่อมใสศรัทธา เหตุใดพระเจ้าแห่งสัจธรรมจึงมีขอบเขตพลังเทวภาพจำเพาะ’

‘…ตามความเชื่อส่วนใหญ่ที่ทางสภามีร่วมกัน พลังจิตคือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดพิเศษ หรืออีกนัยหนึ่งคือ มันเป็นแสงชนิดหนึ่งที่เรามองไม่เห็น เช่นนั้นเหตุใดดวงจิตจึงสามารถแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดพิเศษออกมาได้เล่า’

‘…สำนักศาสตร์มืดและแม่เหล็กไฟฟ้ามีคำอธิบายคร่าวๆ ว่ามันมีสาเหตุมาจากการรวมกันของสนามแม่เหล็กไฟฟ้าและธาตุบางธาตุ…’

เมื่อเขาเขียนมาถึงประโยคนี้ ลูเซียนก็ชะงักไปเพราะจู่ๆ ความคิดแปลกประหลาดก็ผุดขึ้นในใจเขา

สักวันหนึ่ง พระเจ้าแห่งสัจธรรมอาจมีช่องวิทยุเป็นของพระองค์เอง

“ยินดีต้อนรับ นี่คือ วิทยุเอฟเอ็ม พระเจ้าแห่งสัจธรรม…”

นั่นมันแปลกมากๆ

แม้ว่าลูเซียนจะขีดเขียนอะไรมากมายภายในห้องสมุดห้วงจิต แต่โลกแห่งความเป็นจริงนั้นเพิ่งผ่านไปไม่กี่วินาทีเท่านั้น บรรยากาศรอบๆ ตัวแอลเริ่มเปลี่ยนไปอีกครั้ง เปลวเพลิงที่ลุกโชติช่วงรุนแรงเข้าครอบคลุมพื้นที่ พลังแห่งการทำลายล้างทำให้พืชพรรณที่เพิ่งเติบโตเหี่ยวแห้งลง

‘ไฟและการทำลาย ระดับแปด เทียบเท่าอัศวินอาภา แต่ยังอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์…’

คำต่างๆ ยังคงปรากฏขึ้นในสมุดภายในห้องสมุดห้วงจิตของลูเซียน

‘แต่ดูเหมือนว่าพลังของแอลจะเพิ่มขึ้นจริงๆ เขาได้หลอมรวมกับอะวันโดแล้ว…’

มันต้องเกี่ยวข้องกับจิตใจเป็นแน่ ดังนั้นลูเซียนจึงเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงมาจากการตื่นรู้อย่างฉับพลันของแอล ลูเซียนแอบคิดในใจว่ามันเหมือนกับการรักษาผู้พิการจากเหตุผลทางจิตใจ

ในฐานะจอมเวท ลูเซียนรู้สึกได้ว่าความปรารถนากระตือรือร้นในการทำวิจัยกำลังลุกโชนในใจเขา เขาอยากจะรู้ลึกรู้จริงเกี่ยวกับพระเจ้าเทียมเท็จที่ยืนอยู่ตรงหน้าในตอนนี้ เขามิอาจรู้ได้ว่าการจับตัวพระเจ้าเทียมเท็จกลับไปที่อัลลินแล้วตัดเป็นส่วนๆ เพื่อทำการวิจัยจะส่งผลอะไรหรือไม่ แต่เขามั่นใจว่าการสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิดโดยที่ไม่มีผู้ใดจับได้ แล้วคอยกระตุ้นกับบันทึกการเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นวิธีการที่มีประสิทธิทภาพกว่ามาก

เพื่อศึกษาสัตว์ป่า นักวิจัยควรเข้าไปอยู่ในป่า การศึกษาพระเจ้าเทียมเท็จก็เช่นเดียวกัน

ในตอนนั้นเอง ลูเซียนก็ได้ยินเสียงฟรานซิสถอนหายใจแผ่วเบา ฟรานซิสยิ้มและกล่าวชม “ข้าขอแสดงความยินดีจากใจจริงขอรับ ท่านเทพเจ้า! ท่านได้ค้นพบตัวตนที่แท้จริงแล้ว และตอนนี้ท่านก็คือพระผู้เป็นเจ้าเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น!”

“พระผู้เป็นเจ้าเพียงหนึ่งเดียวงั้นหรือ” แอลถามด้วยความมึนงง

“ท่านคือภาพจำลองของพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงขอรับ ไม่ว่าเทพองค์ใดต่างก็เป็นพระเจ้าเทียมเท็จเมื่ออยู่ต่อหน้าท่าน ท่านคือพระผู้เป็นเจ้าเพียงหนึ่งเดียว พลังของท่านครอบคลุมไปทั่วทั้งโลก พระเจ้าเทียมเท็จบางองค์ขโมยพลังของท่านไปในตอนที่ท่านสับสน แต่ตอนนี้ถึงเวลาที่ท่านจะนำมันกลับมาและทวงคืนบัลลังก์สูงสุด” ฟรานซิสกล่าวชื่นชมอย่างหลงใหล

ลูเซียนเองก็สับสนเล็กน้อย ‘พระผู้เป็นเจ้าเพียงหนึ่งเดียวหรือ นี่ฟรานซิสกำลังพูดถึงพระเจ้าแห่งสัจธรรมอยู่หรือเปล่า’

แอลขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย “เจ้ากำลังจะบอกว่าข้าควรสังหารพวกเขาและฉวยเอาความเป็นเทพมาอย่างนั้นรึ เช่นนั้นก็ไม่เหลือพันธมิตรเลยน่ะสิ” ดูเหมือนว่าเขายังพอจะหลงเหลือสติอยู่บ้าง

“ไม่จำเป็นขอรับ ท่านเทพเจ้า พระผู้เป็นเจ้าเพียงหนึ่งเดียวต้องการเพียงผู้รับใช้ พระองค์จะมอบพลังส่วนหนึ่งให้กับผู้รับใช้ ให้พวกเขาทำงานและคิดแทนพระองค์ แต่ผู้รับใช้จะมิได้มีสถานะเทพเจ้า และไม่ครอบครองเทวภาพใดๆ เทพที่เชื่อฟังคำสั่งท่านสามารถได้รับโอกาสนี้ แต่พวกเขาจะเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตครึ่งเทพเท่านั้น ท่านไม่จำเป็นต้องสังหารพวกเขาขอรับ” ฟรานซิสกล่าว

“สื่อกลางระหว่างพระเจ้าและมนุษย์… แล้วข้าควรเรียกพวกเขาว่าอะไรหรือ” แอลเข้าใจที่ฟรานซิสพูดและถามด้วยความสนใจอย่างยิ่ง

ฟรานซิสแย้มยิ้มเอาใจ “เทวทูตขอรับ และจะแบ่งเป็นหลายลำดับขั้น เพื่อที่พวกเขาจะมีโอกาสได้เลื่อนขั้นขอรับ”

สีหน้าลูเซียนยังคงเดิม แต่หัวใจเขาพลันเต้นรัวแรงเมื่อได้ยินข้อเสนอของฟรานซิส ‘นี่ฟรานซิสกำลังพยายามจะสร้างพระเจ้าแห่งสัจธรรมอีกคนหรือไง! ชายที่ชื่อฟรานซิสคนนี้คือใครกันแน่ เขากำลังศึกษาความลับของพระเจ้าแห่งสัจธรรมอย่างนั้น หรือว่ามีเป้าหมายอื่นกันแน่’

“ดี” แอลระเบิดเสียงหัวเราะอย่างชอบใจ “ข้าคือพระผู้เป็นเจ้าเพียงหนึ่งเดียว!”

ระหว่างที่แอลหัวเราะอยู่นั้น ฟรานซิสก็ลูบหางคิ้วเบาๆ โดยที่ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มลึกลับ ลูเซียนเบนสายตาหนีและยืนยันแผนการว่าเขาจะต้องทำการทดลองอย่างลับๆ กับแอลต่อไป นั่นคือเฝ้าสังเกตการณ์ กระตุ้น และบันทึก

เสียงหัวเราะหยุดไป แล้วดวงตาของแอลก็กลับมาฉายชัดถึงความสงบนิ่ง “นักบวชของเทพเจ้าแห่งปัญญา เทวีแห่งความรัก และพระแม่แห่งปฐพีได้ส่งข้อความมาหาข้า พวกเขายืนยันว่าเทพเจ้าแห่งดวงจันทร์และเทพเจ้าแห่งยมโลกจะมาโจมตีเจ้าคืนนี้เพื่อลวงให้ข้าปรากฏกาย สร้างโอกาสให้พวกเขาสังหารข้า”

“ความเป็นเทพสูงสุดของข้ายังฟื้นฟูกลับมาไม่เต็มที่ เราอาจพ่ายแพ้หากเผชิญหน้ากับเทพเจ้าแห่งดวงจันทร์และเทพเจ้าแห่งยมโลกจังๆ อีกอย่าง เรายังมิรู้ได้ว่านี่คือกับดักหรือไม่” แอลไม่อาจลืมเลือนการทรยศหักหลังในอดีตได้

“ตอนโต้วาที ตัวตนที่แท้จริงของข้าถูกเปิดเผยออกไป และตอนนี้เทพเจ้าแห่งสงครามก็หวาดกลัวข้า หากว่าข้ายังยึดตามแผนเดิม มันคงจะเสี่ยงอันตรายอย่างยิ่ง เราควรจะจากไปในตอนนี้แล้วเฝ้ารอโอกาสในวันหน้าดีหรือไม่ เจ้าคิดเห็นอย่างไร ฟรานซิส เลเวียธาน” แอลถาม

“ไม่นะ!” ฟรานซิสและลูเซียนโพล่งตอบอย่างพร้อมเพรียงกัน

……………………………..

[1] เอกภพย่อมมีการพัฒนา ทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาขึ้นมาคอยสังเกตการณ์สิ่งต่างๆ เป็นกระบวนการที่ต้องเกิดขึ้น เพราะสาเหตุอะไรบางอย่างในขั้นตอนการเกิดและพัฒนาเอกภพ หลีกเลี่ยงไม่ได้