ภาคที่ 1 บทที่ 153 บทส่งท้ายภาค

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 153 บทส่งท้ายภาค

การสารภาพรักกับกู่ชิงลั่วไม่ใช่สิ่งที่เขาวางแผนไว้มากนัก หากแต่กลับส่งผลลัพธ์เป็นอารมณ์อย่างไม่หยุดหย่อน

วันที่สามหลังจากคืนสำคัญวันนั้น ข่าวหนึ่งก็มาถึงหูเขา

กู่ชิงลั่วกำลังจะกลับไปยังเมืองหลงซี

ข่าวนี้ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกราวกับมีคนฟาดอย่างแรงที่ศีรษะ

เขาไม่รู้ว่านี่เป็นเรื่องที่นางตัดสินใจไว้นานแล้วหรือไม่ หรือเป็นการตัดสินใจที่เกิดหลังจากเรื่องในคืนนั้น

เขาทำบางอย่างผิดไปหรือ? เขาไม่อาจรู้ได้

เขาพยายามติดต่อชิงลั่ว แต่ไร้การตอบกลับจากนาง

เขากลับไปรอยังภูเขาดานหลังคฤหาสน์ทุกวัน แต่กู่ชิงลั่วก็ไม่เคยปรากฏตัวขึ้นมาเลย

ราวกับว่าหลังจากเรื่องวันนั้นจบลง นางก็ไม่ต้องการเห็นหน้าซูเฉินอีก ทำให้ซูเฉินรู้สึกราวกับส่วนหนึ่งในใจตนถูกฉีกกระชากออก

ในที่สุดวันที่ตระกูลกู่ต้องออกเดินทางอย่างเป็นทางการก็มาถึง

ตระกูลหลินส่งคนมากมายออกมาส่งกู่ชิงลั่ว

ซูเฉินนั่งรออยู่ ณ สถานที่ที่เขาสารภาพเรื่องทุกอย่างกับนางเพียงลำพัง

เขาหวังเพียงว่ากู่ชิงลั่วจะมา เขาจะได้พูดคุยกับนางสักสองสามคำ หากแต่นางกลับไม่มา เขารออยู่เช่นนั้นทั้งวัน สุดท้ายก็ต้องพบกับความผิดหวัง นางจากไปโดยไม่ลาเขาสักคำ

และในวันนั้น ซูเฉินก็ได้ลิ้มรสชาติความเจ็บปวดจากการจากถูกตัดสัมพันธ์เป็นครั้งแรก

แท้จริงแล้วไม่อาจเรียกว่าถูกตัดสัมพันธ์ได้ อย่างไรความรักของคนทั้งสองก็จบลงตั้งแต่ยังไม่ทันได้ผลิบานเสียด้วยซ้ำ

ซูเฉินไม่เข้าใจเหตุใดเรื่องราวจึงกลายเป็นเช่นนี้ เขาคิดว่ากู่ชิงลั่วเองก็ชอบเขา แม้เขาจะสารภาพรักและล้มเหลว แต่เขาก็คิดว่านางยังเต็มใจเป็นสหายกับเขาต่อ แต่หากเป็นเช่นนั้นแล้ว เหตุใดนางจึงจากไปไม่เอ่ยคำลาสักคำ ? เรื่องเช่นนั้นไม่ตรงตามหลักเหตุผลยิ่ง

เรื่องเช่นนี้ไม่ได้เป็นไปตรงกับความเข้าใจเรื่องชีวิตมนุษย์ของซูเฉินเลยแม้แต่น้อย

ซูเฉินจึงเริ่มเข้าใจในที่สุดว่าคนบางคนหรือของบางอย่างไม่อาจใช้หลักเหตุผลในการทำความเข้าใจได้

ความพยายามใฝ่หาอำนาจและผลประโยชน์ ยามเมื่อเผชิญหน้ากับความรักแล้วกลับไร้ประโยชน์

ความรักนั้นเป็นดั่งม้าป่าตัวหนึ่ง มันไม่ฟังเหตุผลใด มีแต่จะมุ่งหน้าไปตามใจมันต้องการ ไม่ถูกกดอยู่ภายใต้จริยธรรมหรือผลประโยชน์อันใดทั้งสิ้น

ในวันนั้นซูเฉินได้เรียนรู้บทเรียนครั้งสำคัญ ความรักกับเหตุผลนั้นเป็นคนละสิ่งอย่างกัน ไม่อาจเข้ากันได้

บางคนยังกล่าวว่าผู้ที่ไม่เคยเศร้าโศกเสียใจกับความรักมาก่อนยังไม่นับว่าเป็นผู้ที่มีความรอบรู้เพียงพอ

ซูเฉินที่มีประสบการณ์เศร้าใจกับรักครั้งแรกมาแล้ว ในตอนนี้นับว่าเป็นผู้มีความรอบรู้และมีประสบการณ์มากยิ่งขึ้น

หากแต่สำหรับเขาแล้ว ประสบการณ์ครั้งนี้นับน่าปวดใจนัก

หลังจากกู่ชิงลั่วจากไปแล้ว ซูเฉินก็ขังตนเองอยู่ในห้องนานถึงสามวัน

เป็นวันที่สี่ที่เขาก้าวเท้าเดินออกมาจากห้องของตนเอง

ในวันนั้น เขาเดินทางไปทำความเคารพท่านแม่ และไม่ว่าจะพบเจอใครก็จะทักทายด้วยรอยยิ้ม กระทั่งผู้ที่เคยล่วงเกินกันในอดีตเขาก็ยังทักทายด้วยรอยยิ้มสุภาพ ราวกับว่าเรื่องบาดหมางในอดีตพลันสลายหายไปราวกับควันกลุ่มหนึ่ง ซูฉางเช่อรู้สึกสบายใจขึ้นมาก ในใจเชื่อว่าซูเฉินยอมปล่อยวางเรื่องในอดีตลงแล้ว ยอมกลับสู่ตระกูลอีกครั้งหนึ่ง

หากแต่ความดีใจของเขามีอายุสั้นนัก เพียงหนึ่งวันมันก็สลายหายไปราวกับเมฆหมอก

เป็นเพราะวันต่อมา ซูเฉินก็พากังเหยียนเดินทางจากไป

เขาทิ้งไว้เพียงจดหมายฉบับหนึ่ง บอกว่าต้องการออกไปท่องใต้หล้าด้วยนัยน์ตาตนเอง จุดมุ่งหมายของเขาคือชายแดนเมฆาเคลื่อน

ที่นั่นคือสถานที่ที่ถูกขบวนอสูรทำลายล้าง ทุกซอกทุกมุมมีแต่อันตรายซ่อนอยู่ ยามถังหงรุ่ยรู้ข่าวนางก็แทบเป็นลมล้มไป

หากแต่เมื่อซูเฉินตัดสินใจจะจากไปแล้ว เขาก็ไม่เหลือร่องรอยใดไว้อีก ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจตามหาเขาพบ

สองเดือนต่อมาก็มีจดหมายจากแดนไกลฉบับหนึ่งส่งมายังตระกูลซู

เป็นจดหมายจากซูเฉิน

ในจดหมายเล่าถึงชีวิตของเขาที่ชายแดนเมฆาเคลื่อน เขาเล่าให้ถังหงรุ่ยฟังว่าตนเองปลอดภัยดี ดังนั้นนางไม่ต้องเป็นกังวลไป ทั้งยังบอกกับนางว่าเป็นเพราะเขาอยู่ห่างไกลมาก จึงไม่อาจกลับตระกูลซูได้ทัน

ดังนั้นเขาจะเดินทางไปยังเมืองฉางผานและไปยังสถาบันมังกรซ่อนเร้นเลย ทั้งยังบอกให้นางช่วยส่งหมิงชูและโจวหงไปที่นั่นด้วย สุดท้ายเขายังอุตส่าห์ไถ่ถามถึงสมาชิกคนอื่น ๆ ในตระกูล คำกล่าวถามเหล่านั้นใช้คำสุภาพนัก หากแต่คำเหล่านั้นกลับเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งความแปลกแยกแตกต่าง ไม่ใช่คำที่มาจากใจ

หลังจากได้อ่านจดหมายของเขา ถังหงรุ่ยก็ถอนหายใจออกมา “โตเป็นผู้ใหญ่แล้วสินะ”